หลวงพ่อฤษีลิงดำ
เปตรญาติพระเจ้าพิมพิสาร
“ ได้ตายจากคนไปเป็นเปรต ”
    “ มีพระราชาองค์หนึ่งมีพระราชโอรส ๔ พระองค์ พระราชามีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและลูกชายก็เลื่อมใสด้วย เวลาที่พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระพุทธสาวกมาพักในพระราชนิเวศน์เขตพระราชฐาน พระราชโอรสทั้ง ๔ พระองค์ก็เลี้ยงดูพระด้วยความเลื่อมใส แต่งานเลี้ยงพระเป็นงานใหญ่เพราะพระที่ติดตามพระพุทธเจ้ามีจำนวนมาก การเลี้ยงพระจึงเป็นงานหนัก ฉะนั้นจัดงานเลี้ยง จัดเงินในพระคลังออกมาจับจ่ายใช้สอยเลี้ยงพระคนของพระ ต่อมานายเสมียนเห็นว่าถ้าได้ญาติของเรามาช่วยในการนี้จะดีมาก ความจริงนายเสมียนนั้นเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต ไม่คิดคดโกง แต่บรรดาญาติทั้งหลายในตอนต้นก็ช่วยงานด้วยดี

   ด้วยความซื่อสัตย์บริสุทธิ์ พอนาน ๆ เข้าก็คิดว่าเรื่องบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ที่พระพุทธเจ้าเทศน์ไม่มีความหลาย นรกสวรรค์อยู่ที่ไหนมองไม่เห็น คนตายแล้วก้แล้วกันไป แต่เวลาที่มีชีวิตอยู่นี้ให้มันมีความสบายก้แล้วกัน ตัวมิจฉาทิฏฐิมันเกิด ก็เริ่มจัดการตามระเบียบ เงินที่ให้มาเลี้ยงพระก็กันเข้ากระเป๋าเสียบ้าง ของซื้อมา ๑๐ ชิ้นก็แจ้งว่าซื้อมา ๕ ชิ้น ของราคา ๑ บาทก็มาแจ้งว่าราคา ๒ บาท เวลาทำของให้พระ ของดีรสอร่อยก้กินเสียก่อนบ้าง ให้ลูกหลานกินก่อนบ้าง กีดกันเอาของพระไปไว้บ้านบ้าง ทำมาแบบนี้เป็นปกติ เป็นอันรู้กันว่าทุจริต คดโกงของสงฆ์

   เมื่อบุคคลมั้งหลายเหล่านี้ตาย นายเสมียนไปเกิดเป็นเทวดา บรรดาญาติทั้งหลายเหล่านั้นไปสู่อเวจีมหานรกสิ้นระยะเวลากัปหนึ่ง เมื่อพ้นจากอเวจีมหานรกแล้วผ่านนรกบริวาร ๔ ขุม และ ก็มายมโลกียนรกอีก ๑๐ ขุม นรกมีกี่ขุมลงหมด พ้นจากนรก ๑๐ ขุม นรกมีขุมลงหมด พ้นจากนรก ๑๐ ขุมแล้วก็มาเป็นเปรตอีก ๑๒ จำพวก เปรต ๑๑ จำพวกไม่มีโอกาสจะโทมนาส่วนกุศล

   พอมาถึงเปรตระดับที่ ๑๒ คือ ปรทัตตูปชีวีเปรต พวกนี้มีกรรมไม่มาก ไม่มีหนอนกินไม่มีไฟไหม้ ไม่มีหอกเสียบแทง แต่ทว่าต้องเดินหิวหาอะไรกินไม่ได้ รออย่างเดียว คือใครเขาจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้บ้าง ถ้าได้รับการโมทนาก็มีความสบาย ถ้าที่ไหนทำบุญแล้วไม่ได้บุญเปรตพวกนี้ก็ไม่ไปล้อมอยู่ ถ้าใครทำบุญแล้วเป็นเปตรพวกนี้จะไปยืนล้อมอยู่สะพรั่งรอบ ๆ บริเวณนั้น คอยโอกาสที่ได้รับโมทนา

   ปรทัตตูปชีวิเปรตที่เป็นญาติของพระเจ้าพิมสารนั้นท่องเที่ยวมานานหลายกัป ได้เข้าไปหาพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า

   “ ข้าพระพุทธเจ้าอดข้าวอดน้ำมานานเหลือเกินแล้ว เวลานี้เห็นข้าวของกองไว้ พอจะกินเข้าไปมันก็เป็นแกลบแล้วมีไฟลุก เห็นน้ำอยากน้ำพอวิ่งเข้าไปจะกินน้ำ น้ำก็แห้งกลายเป็นแกลบและเป็นไฟลุกกินไม่ได้ เมื่อไรข้าพระพุทธเจ้าจะมีข้าวมีน้ำกินกับเขาสักที ”

   ความจริงบุญของพระพุทธเจ้าเหลือหลาย ถ้าจะช่วยก็เหลือที่จะช่วยได้ แต่ว่าอำนาจของกรรมบังคับ เปรตพวกนี้จึงยังไม่มีโอกาสจะได้โมทนาส่วนกศล พระองค์ก็ต้องทรงอุเบกขาและทรงทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณว่าอีก ๙๑ กัป จะมีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งมีพระนามว่า “ สมเด็จพระสมณโคดม” ทรงอุบัติขึ้นในโลก และญาติของเปรตทั้งหลายเหล่านี้ที่เป็นนายเสมียนกำลังเป็นเทดาอยู่ จะกลับลงเกิดเป็นพระราชามีพระนามว่า “ พระเจ้าพิมพิสาร ” ในประเทศมคธ จะเป็นผู้อุปถัมภ์ของพระพุทธเจ้าและเป็นพระสหายกันมาก่อน เมื่อพระเจ้าพิมพิสารทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลให้กับเปรตทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อโมทนาแล้วก็จะพ้นจากความเป็นเปรตไปเกิดเป็นเทดา เมื่อเปรตทั้งหลายทราบจากองค์องค์สมเด็จพระประทีปแก้วว่าอีก ๙๑ กัปจะได้กินข้าวกินน้ำมีความความสุขก็ดีใจ มีความรู้สึกคล้าย ๆ กับว่าเวลา ๙๑ กัปเป็นวันพรุ้งนี้

   ต่อมาเมื่อสมเด็จสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระนามว่า “ สมเด็จพระสมณโคดม ” ทรงอุบัติขึ้นในโลก และ พระเจ้าพิมพิสาร มีความเลื่อมใสนิมนต์พระพุทธเจ้ามาประทับที่พระเวฬวันมหาวิหารสร้างวัดถวายเป็นวัดแรกในพระพุทธศาสนา และก็เลี้ยงดูพระตลอดเวลาแต่ไม่เคยอุทิศส่วนกุศลไม่เคยกรวดน้ำ บรรดาเปรตทั้งหลายเหล่านี้ไปยืนคอยในบริเวณเขตพระราชฐานของพระเจ้าพิมพิสารทุกวัน ไม่เห็นให้สักที หนักเข้า ๆ ทนไม่ไหวก็เลยส่งเสียงร้องให้ปรากฏในคืนหนึ่งที่พระเจ้าพิมพิสารจะเข้านอนในห้องบรรทม พระเจ้าพิมพิสารก็แปลกใจ ในตอนเช้าท่านไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเช้าไปกราบทูลให้ทรงทราบ

   องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสว่า “ เสียงนั้นเป็นเสียงเปรตญาติของพระองค์ "

   และทรงเล่าเรื่องต่าง ๆ ที่ผ่านมาในอดีตให้ฟังโดยละเอียด พระเจ้าพิมพิสารก็มีความสงสารจึงนิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสาวกทั้งหลายประมาณ ๕๐๐ รูป ที่อยู่ในพระเชตวันมหาวิหารเข้าไปฉันในพระราชนิเวศน์ พอพระฉันเสร็จพระเจ้าพิมพสารก็กรวดน้ำตามพิธีของพราหมณ์ จะให้อะไรใครต้องเอาน้ำราดลงไปแสดงถึงการให้

   แต่ตามแบบฉบับของพระพุทธศาสนาการกรวดน้ำท่านเรียกอุทิศ “ อุทิศ ” แปลว่า “ เจาะจงเฉพาะ ”คือบุญนี้เรามีเจตนาส่งไปให้เจาะจงคนนั้น คนนี้ ไม่ต้องใช้น้ำก็ได้

   บรรดาเปรตทั้งหลายเมื่อได้รับโมทนาแล้ว อัตภาพแห่งความเป็นเปตรซีดเซียวก็หมดไปมีอาการผ่องใส มีความอิ่มเอิบ มีควาวมสุขความสบาย มีร่างกายสวยเหมือนเทวดา

   แต่ทว่าเปรตทั้งหลายเหล่านี้ในชาติก่อนไม่เคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนา เมื่อได้รับโมทนาแล้วร่างกายเป็นเทวดาแต่ไม่มีผ้านุ่ง ไม่มีเสื้อใส่ ก็มีความลำบากใจ ตอนกลางคืนก็เข้าไปหาพระเจ้าพิมพิสาร คราวนี้ไม่ร้องแต่ไปยืนให้เห็นร่างกายสดสวยงามแต่ไม่มีอะไรปิดกายเลย

   พอตอนเช้าพระเจ้าพิมพิสารก็ไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสว่า

   “ ไม่ใช่ใครเป็นเปรตพวกเดิม ได้รับโมทนาแล้วมีความสุขมีกายเป็นเทวดา แต่ขาดเสื้อผ้าเครื่องประดับเพราะว่าชาติก่อนไม่เคยบำเพ็ญกุศลเรื่องผ้าผ่อนสไบไว้ในพระพุทธศาสนา ”

   และทรงให้พระเจ้าพิมพิสารถวายผ้าแก่พระสงฆ์ ท่านจึงถวายผ้าหมดทั้งวัด ถวายอาหารใหม่แล้วอุทิศส่วนกุศลให้ บรรดาเทวดาที่มาจากเปรตทั้งหลายเมื่อได้รับโมทนาก็มีเครื่องประดับอันเป็นทิพย์ นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาบรรดาเปรตทั้งหลายเหล่านั้นก็ไม่รบกวนพระเจ้าพิมพิสารอีกเลย

   เวลานี้พวกทายกที่ชอบเอาของดี ๆ ถวายพระพุทธรูปมาก ๆ เวลาพระฉันเสร็จแล้วจะได้เอามากินกัน บางรายก็ยกของที่เขาถวายพระเข้าบ้าน บรรดาพุทธบริษัทจงจำไว้ว่าของสงฆ์ สมบัตินิดหนึ่งแม้จะเป็นก้อนอิฐนิดหนึ่ง กระเบื้องหัก ๆ ก้อนหนึ่งก็ตาม ถ้าเราถือไปเข้าบ้านอย่างนี้เป็นอาการขโมยของสงฆ์ ลูกหมากรากไม้ที่อยู่ในวัดเราจะไปขอพระขอเด็กวัดไม่ได้ เพราะเป็นของสงฆ์ สงฆ์ต้องประชุมกัน เมื่อประชุมกันแล้วตกลงกันว่าอย่างไรก็ต้องปฏิบัติไปตามนั้น จะขายหรือให้ใครต้องปฏิบัติตามนั้น แม้แต่ดอกไม้บูชาพระก็เหมือนกัน ถ้าท่านผู้ปลูกยังมีชีวิตขอเฉพาะท่านได้

   แต่ถ้าท่านผู้ปลูกตายไปแล้วหรือสึกไปแล้ว อันนี้เป็นของสงฆ์ ต้องเป็นเรื่องของสงฆ์วิมินฉัยไม่ใช่พระองค์ใดองค์หนึ่งเป็นผู้ให้ หรือไปขอกับเด็กวัด อันนี้ไม่ถูกต้อง ถ้าทำลงไปตายแล้วก็ไปอเวจีมหานรก

   ฉะนั้น เรื่องของสงฆ์นี่ต้องระวังให้มาก คนที่ลงอเวจีมหานรกมันเป็นของไม่ยาก....”

หน้า 1   หน้า 2   หน้า 3   หน้า 4