ตายจากกาไปเกิดเป็นเปตรมีชื่อว่า
กากะเปตร
เมื่อครั้งองค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ เวลานั้นพระองค์ประทับอยู่ที่เวฬุวันมหาวิหาร ในกรุงราชคฤห์มหานคร
เวลานั้นพระโมคคัลลาน์กับพระลักขณะ จำพรรษาอยู่บนยอดเขาคิชฌกูฏ ในตอนเช้าทั้งสององค์ก็ลงมาเพื่อไปบิณฑบาต ขณะเดินมาอยู่ดี ๆ ปรากฏว่าพระโมคคัลลาน์ยิ้มออกมาเฉย ๆ พระลักขณะเห็นพระโมคคัลลาน์ยิ้มออกมาเฉย ๆ จึงถามว่า พระคุณเจ้ายิ้มเรื่องอะไร
เวลานั้นปรากฏว่าพระโมคคัลลาน์ท่านเห็นอหิเปตรกับกากะเปตรอยู่ข้างหน้า แต่ท่านไม่ตอบเพราะพระลักขณะซึ่งเป็นปฏิสัมภิทาญาณเหมือนกันท่านไม่เห็น ส่วนพระโมคคัลลาน์ท่านเป็นอัครสาวกมีความเข้มข้นกว่าจึงเห็น
ความเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณมีกำลังไม่เท่ากันคือ
๑. ปฏิสัมภิทาญาณขั้นปกติ มีกำลังต่ำ
๒. ปฏิสัมภิทาญาณขั้นมหาสาวก มีกำลังเป็นทิพย์สูงกว่า
๓. ปฏิทาภิทาญาณขั้นอัคครสาวก มีกำลังสูงกว่าพระมหาสาวก
ฉะนั้น บรรดาท่านผู้ที่ฝึกมโนยิทธได้ความเป็นทิพย์ จึงมีความรู้สึกไม่สม่ำเสมอกัน ใช้จิตมาก ๆ ใช้ปัญญาน้อย ความแจ่มใสของจิตก็น้อย การเห็นก็ไม่ค่อยจะตรง ไม่ชัดเจนแจ่มใส
ต่อมาเทื่อกลับจากบิณฑบาต ฉันข้าวเสร็จ พระโมคคัลลาน์เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระสงฆ์ ปละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท เมื่อพระพุทธเจ้าเทศน์จบ พระลักขณะก็ถามพระโมคคัลลาน์ต่อหน้าพระพุทธเจ้า ถามว่า
เมื่อเช้าพระคุณเจ้ายิ้มเดินมาแล้วยิ้มเฉย ๆ ผมถามท่าน ท่านบอกให้ถามต่อหน้าองค์สมเด็จพระบรมครู อยากจะถามว่าเมื่อเช้าท่ายิ้มเพราะเรื่องอะไร
พระโมคคัลลาน์จึงตอบว่า
เมื่อเช้าที่เรายิ้มเพราะเห็นเปตร ๒ เปตร คือเปตรกับกาะเปตร
เมื่อพระโมคคัลลาน์กล่าวเพียงเท่านี้ พระพุทธเจ้าก็ทรงรับรองว่า
อิเปตรก็ดี กากะเปตรก็ดี มีจริง ๆ ตามที่พระโมคคัลลาน์ว่า ตถาคตเห็นเปตรทั้งสองนี้มาตั้งแต่บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธญาณ ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ก็ยังไม่มีคนอื่นเห็น ตถาคตจึงไม่พูดเพราะไม่มีพยาน เวลานี้พระโมคคัลลาน์เห็นแล้วตถาคตมีพยาน ตถาคตก็ขอยืนยัน
ต่อจากนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงกล่าวถึงกรรมของเปตรทั้งสอง แต่วันนี้จะพูดถึงกรรมของกากะเปตรเรื่องเดียวก่อน
องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงกล่าว่า
ทั้งสองตนนั้นมีตัวยาว ๒ ๕ โยชน์ ( ๑ โยชน์มี ๔๐๐ เส้น) เปตรทั้งสองมีสภายเหมือนกันคือ มีไฟลุกตั้งแต่หังพุ่งไปหาหางและไปก่อตัวขึ้นจากหางพุ่งไปหาหัว ไฟก่อตัวขึ้นตรงกลางตัวรวมไปทั้งหัวทั้งหางและกลางเสร็จ รวมความว่าเปตรทั้งสองนี้จมอยู่ในกองเพลิงตลอดเวลา สำหรับอหิเปตรนั้นมีรูปร่างคล้ายคน แต่หัวเป็นงู ( อหิแปลว่างู) ส่วนกากะเปตรนั้นมีหัวเป็นคนแต่หัวเป็นกา
แล้วพระพุทธเจ้าก็ตรัสบุพกรรมของกากะเปตรนี้ทำบาปอะไรไว้ เรื่องมีดังนี้
ถอยหลังไปกัปนี้เองสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า
สมเด็จพระพุทธกัสสป เวลานั้นบรรดาประชาชนทั้งหลายตั้งใจถวายอาหารแก่พระสงฆ์ สมัยนั้นเขาจะถวายพระองค์ไหนก็รับบาตรจากท่านไป เมื่อชาวบ้านเขารับบาตรจากพระเถระไปแล้ว ก็นำอาหารที่มีรสเลศหมายความว่าอาหารที่ทำดีแล้วใส่บาตร ในขณะที่ใส่อาหารลงไปในบาตรนั้น ยังไม่ทันจะถวายพระ ก็มีกาตัวหนึ่งจับอยู่บนยอดไม้มองเห็นอาหารในบาตรเป็นที่ชอบใจ จึงได้โฉบลงมาคาบเอากับข้าวในบาตรไปเต็มปากตามกำลังที่จะนำไปได้ แล้วก็ไปยืนกิน
พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า กาทำบาปเพียงเท่านี้ เมื่อตายจากความเป็นกาก็ไปเกิดเป็นกากะเปตร มีหัวเป็นคนตัวเป็นกายาว ๒๕ โยชน์ มีไฟไหม้ก่อตัวทางหัวพุ่งไปถึงหาง ไฟไหม้ก่อตัวทางหางพุ่งมาทางหัว ไฟไหม้ก่อตัวตรงกลางลามไปทั่วตัว ต้องไหม้อยู่อย่างนี้นับเป็นพุทธันดร
และพระองค์ตรัสอีกว่า อาการที่กาขโมยอาหารเขากิน ถึงแม้ข้าวนั้นยังไม่ได้เป็นของสงฆ์คือยังไม่ได้ประเคนพระ ยังเป็นเจตนาที่จะถวายพระอยู่ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ของบุญ ยังไม่เป็นอาหารของสงฆ์ จึงได้มาเกิดเป็นกากะเปตรอยู่ในแดนของเปตร
พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่าอาหารที่ถวายสงฆ์แล้ว ถ้าขโมยกินอย่างนี้เป็นขโมยข้าวสงฆ์ จะมีโทษมากกว่านี้มาก จะไปเกิดเป็นสัตว์นรกก่อนในอเวจีมหานรก หรือข้าวที่เขาถวายพระเสร็จแล้ว เขาจะนำไปเลี้ยงคน ตอนนั้นถ้าฉกฉวยเอาไปกินเป็นส่วนตัวก็ถือว่าเป็นขโมยของสงฆ์เหมือนกัน แต่ถ้าท่านอนุญาติว่ากินได้อันนี้ไม่มีโทษเพราะพระให้แล้ว มีหลายท่านถามว่า
กินข้าววัดต้องชำระหนี้สงฆ์ไหม
ถ้าขโมยกินต้องชำระหนี้สงฆ์ ถ้าพระให้กินไม่ต้องชำระหนี้สงฆ์ คือพระให้ให้ไม่เป็นหนี้ รวมความว่าการที่เกิดมาเป็นคนได้ต้องอาศัยศีล ๕ และกรรมบถ ๑๐
จะมีทรัยพย์สินข้าง ก็เพราะผลของทาน
จะมีปัญญาบ้าง ก็เพราะการอบรมธรรม
และเกิดมาเป็นคนแล้วกลับทำความชั่ว ก็ต้องกลับไปเกิดเป็นสัตว์นรก กว่าจะมาเกิดเป็นคนใหม่ก็ยังใช้เวลาอีกนานเป็นการถอยหลัง ทางที่ดีควรจะก้าวหน้าต่อไป อย่างน้อยจากการเป็นคนแล้วก็ไปเกิดบนสวรรค์เป็นเทวดาหรือนางฟ้า ไปเป็นพรหมก็ยิ่งดีกว่า ไปพระนิพพานดีถึงที่สุด...