เล่มที่ ๘ ชื่อปริวาร ( เป็นพระวินัยปิฏก)
พระไตรปิฎกเล่มนี้ ๘ นี้ เป็นเล่มสุดท้ายของวินัยปิฎก และมีข้อความที่พึงนำมาย่อไว้เพียงเล็กน้อยเพราะข้อความในเล่มนี้เป็นการย้อนไปกล่าวถึงพระไตรปิฎก ตั้งแต่เล่มที่ ๑ ถึงเล่มที่ ๗ ที่กล่าวมาแล้วนั้นเอง เป็นแต่การย้อนกล่าวในครั้งนี้ เท่ากับประมวลความสำคัญที่น่ารู้ต่าง ๆ มากล่าว ไว้ มีหัวข้อใหญ่ ๆ อยู่ ๒๑ ข้อด้วยกัน คือ :-
๑. มหาวิภังค์โสฬสมหาวาร เป็นการย้อนกล่าวถึงศีลของภิกษุ ๒๒๗ ข้อ ทีละข้อ อันปรากฏในวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ และ ๒ ซึ่งมีชื่อว่ามหาวิภังค์ โดยตั้งประเด็นไว้ ๒ ส่วน ส่วนละ ๘ ประเด็น รวมเป็น ๑๖ ประเด็น ( โสฬสมหาวาร). ส่วนแรกกับส่วนหลัง ความจริงก็พ้องกันทั้งแปดประเด็น เป็นแต่ว่าส่วนแรกพิจารณาถึงการทำผิดโดยตรง ส่วนหลังพิจารณาถึงผลอันเนื่องมาจากเหตุ คือการทำความผิด หรือกล่าวตาม
ศัพท์ที่ปรากฏก็คือ ส่วนหลังพิจารณาปัจจัย คือการทำความผิดนั้น ๆ เป็นปัจจัยหรือเป็นเหตุให้เกิดอะไรขึ้น. ประเด็น ๘ ประเด็นซึ่งมีอยู่ใน ๒ ส่วนนั้น คือ
๑. กัตถปัญญัติติวาร ประเด็นที่ว่า บัญญัติไว้ ณ ที่ไหนหมายถึงสถานที่ ซึ่งทรงบัญญัติสิกขาบท รวมทั้งบุคคลผู้เป็นต้นเหตุให้บัญญัติสิกขาบท, เรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นต้น
๒. กตาปัตติวาร ประเด็นที่ว่า เมื่อทำความผิดนั้น ๆ ลงไปแล้ว จะต้องอาบัติอะไรบ้าง เช่น ภิกษุลักทรัพย์ในกรณีเช่นไร ต้องอาบัติปาราชิก
อาบัติถุลลัจจัยและอาบัติทุกกฏ
๓. วิปัตติวาร ประเด็นที่ว่าการทำความผิดนั้น ๆ จะเป็นศีลวิบัติ ความบกพร่องทางศีล หรือาจารวิบัติ ความบกพร่องทางความประพฤติ เป็นต้น
๔. สังคหิตวาร ประเด็นที่ว่า การทำความผิดนั้น ๆ สงเคราะห์หรือจัดเข้ากับกองอาบัติอะไร
  ๕. สมุฏฐาน ประเด็นที่ว่า การทำความผิดนั้นเกิดขึ้น หรือมาสมุฏฐานทางกาย, วาจา, หรือใจ
๖. อธิกรณวาร ประเด็นที่ว่า การทำความผิดนั้น ๆ เป็นอธิกรณ์ประเภทไหน ใน ๔ ประเภท
๗. สมถวาร ประเด็นที่ว่า การทำความผิดที่เป็นอธิกรณ์นั้น ๆ จะระงับด้วยวิธีระงับ ๗ อย่าง ข้อไหนบ้าง
๘. สมุจจยวาร คือกล่าวซ้ำ ๗ ข้อแรกอีกครั้งหนึ่ง. ในส่วนที่ ๒ อีก ๘ ประเด็น ก็ทำนองเดียวกัน เพียงแต่เปลี่ยนหลักการเล็กน้อยว่า เพราะปัจจัยแห่งการทำความผิดนั้นจะมีผลเป็นอย่างไรบ้าง.
๒. ภิกขุนีวิภังค์โสฬสมหาวาร เป็นการย้อนกล่าวถึงศีลของนางภิกษุณีแต่ละข้อ อันปรากฏในวินัยปิฎก เล่มที่ ๓ ซึ่งมีชื่อว่าภิกขุนีวิภังค์ โดยตั้งปนะเด็นไว้เป็น ๒ ส่วน ส่วนละ ๘ ประเด็น เช่นเดียวกับของภิกษุ.
๓. สมุฏฐานสีสสังเขป เป็นการรวบรวมสิกขาบททั้งหมดมากล่าวเฉพาะเรื่องสมุฏฐาน คือทางกาย, ทางวาจา , หรือทางจิต โดยจัดเป็นหมวดหมู่ว่า พวกใดบ้างเกิดจากสมุฏฐาน ๑ หรือสมุฏฐาน ๒ หรือสมุฏฐาน ๓ หรือสมุฏฐานผสมอื่น ๆ ในข้อ ๓ ข้อนั้น.
๔. กติปุจฉาวาร เป็นการตั้งคำถามว่า เรื่องนั้น ๆ ทีเท่าไร เช่น อาบัติมีเท่าไร แล้วตอบเป็นประเด็น ๆ ไป เป็นต้น.
๕. วีสติวาร ( แปลตามศัพท์ว่า ๒๐ วาระ ถอดความว่า ตั้งประเด็นในการวินิจฉัยไว้ ๑๐ ประเด็น) เป็นการตั้งคำถาม แล้วตอบในเรื่องเกี่ยวกับอาบัติ, ที่เกิดแห่งอาบัติ, อธิกรณ์ , วิธีระงับอธิกรณ์ เป็นต้น รวม ๒๐ ประเด็น.
๖. ขันธกปุจฉา คำถาม คำตอบ เกี่ยวกับขันธกะ คือหมวดต่าง ๆ ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ ถึงเล่มที่ ๗ คือทั้งมหาวัคค์และจุลลวัคค์ รวมทั้งสิ้น ๒๒ หมวด หรือ ๒๒ ขันธกะ ว่าในแต่ละหมวดนั้น ๆ กล่าวถึงอาบัติไว้กี่ประเภท.
๗. เอกุตตริกะ เป็นการชี้แจงเรื่องเกี่ยวกับพระวินัยด้วยตัวเลข คือ หมวด ๑ มีอะไรบ้างที่เป็นข้อเดียว หมวด ๒ มีอะไรบ้างที่เป็น ๒ ข้อ หมวด ๓ มีอะไรบ้างที่เป็น ๓ ข้อ ดังนี้เรื่อยไปจนถึงหมวด ๑๑ มีอะไรบ้าง ที่เป็น ๑๑ ข้อ เช่น อุโบสถ ๒ คือ ๑๔ ค่ำ กับ ๑๕ ค่ำ, ปวารณา ๒ คือ ๑๔ ค่ำ กับ ๑๕ ค่ำ , เป็นต้น กรรม ๒ คือ อปโลกนกรรม ( การบอกกล่าว) ญัตติกรรม ( การเสนอญัตติ) เหล่านี้เป็นต้น ก็อยู่ในหมวด ๒ รองเท้า ๑๑ ชนิดที่เป็นของไม่ควรมีอะไรบ้าง บุคคล ๑๑ ประเภทไม่ควรไหว้มีอะไรบ้าง เหล่านี้เป็นต้น ก็อยู่ในหมวด ๑๑.
๘. อุโปสถาทิ ปุจฉาวิสัชชนา คำถาม คำตอบเรื่องอุโบสถ เป็นต้น เช่น ถามว่า อะไรเป็นเบื้องต้นเป็นท่ามกลาง เป็นที่สุดแห่งการทำอุโบสถ แล้วตอบว่า ความสามัคคีเป็นเบื้องต้น การกระทำเป็นท่ามกลาง และการจบเป็นที่สุดแห่งการทำอุโบสถ. ถามว่า อะไรเป็นเบื้องต้น เป็นท่ามกลาง เป็นที่สุดแห่งการบวช ตอบว่า บุคคลเป็นเบื้องตน การเสนอญัตติ ( ขอทาบทามสงฆ์) เป็นท่ามกลาง กัมมวาจา ( การสวดประกาศข้อความตกลงใจ หรือขออนุมัติสงฆ์) เป็นที่สุด.
๙. อัตถวเสปกรณ์ กล่าวถึงการที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทเพื่อประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ ๑. เพื่อความดีงามแห่งสงฆ์ ๒ . เพื่อความผาสุกแห่งสงฆ์ ๓. เพื่อข่มคนที่เก้อยาก ( หน้าด้าน) ๔. เพื่ออยู่สบายของภิกษุผุ้มีศีลเป็นที่รัก ๕. เพื่อป้องกันอาสวะ ( กิเลสที่หมักหมมในจิต) ปัจจุบัน ๖. เพื่อป้องกันอาสวะในอนาคต ๗. เพื่อความเลื่อมใสของคนที่ยังไม่เลื่อมใส ๘ . เพื่อความเลื่อมใสยิ่งขึ้นของผู้เลื่อมใสแล้ว ๙. เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑๐. เพื่ออนุเคราะห์พระวินัย.
๑๐. คาถาสังคณิกะ หมวดหรือชุมนุมแห่งคาถาคือคำฉันท์ ที่แสดงคำถาม คำตอบของพระอาจารย์ ผู้สังคายนาพระวินัยว่า สิกขาบทเท่าไรที่ยกขึ้นสวด ( ปาฏิโมกข์) และพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ในกี่นคร มีนครอะไรบ้าง และในนครไหนบัญญัติไว้กี่สิกขาบท. ( คำประพันธ์นี้มีประโยชน์ช่วยความจำได้ดียิ่ง. ทั้งส่วนวินัยของภิกษุและภิกษุณี).
๑๑. อธิกรณเภท ว่าด้วยประเภทแห่งอธิกรณ์ การรื้อฟื้นอธิกรณ์ มูลแห่งอธิกรณ์ อาบัติที่เนื่องในอธิกรณ์ทั้งสี่ประเภท วิธีระงับอธิกรณ์ ( ซึ่งเคยกล่าวมาแล้วทั้งสิ้น เป็นแต่นำจัดเป็นหมวดหมู่ขึ้นใหม่).
๑๒. อปคคาถาสังคณิกะ หมวดหรือชุมนุมคาถาหรือบทประพันธ์อื่นอีก เป็นการประพันธ์คำอธิบายเป็นคำฉันท์ เพื่อช่วยความจำ เกี่ยวกับการโจทฟ้อง การถามให้ระลึก เป็นต้น รวมทั้งลักษณะที่จะนับว่าเป็นอลัชชี.
๑๓. โจทนากัณฑ์ ว่าด้วยวิธีโจทฟ้องว่าจะทำอย่างไร ภิกษุผู้โจท ผู้ถูกโจทและสงฆ์จะควรทำอย่างไร.
๑๔. จูฬสงความ ว่าด้วยปฎิบัติของภิกษุผู้ถูกฟ้อง เท่ากับเป็นผู้สู่สงความ ความเจียมตนปฏิบัติอย่างไร ตลอดถึงการฟ้อง การวินิจฉัย.
๑๕. มหาสงความ ว่าด้วยข้อปฏิบัติหรือหน้าที่ที่ควรรู้อื่นอีกของภิกษุฟ้อง ซึ่งเท่ากับเป็นผู้เข้าสู่สงคราม มีรายละเอียดมากขึ้นกว่าที่กล่าวมาแล้วในข้อ ๑๔.
๑๖. กฐินเภท ประเภทแห่งกฐิน ใครกราลไม่ได้ ใครกราลได้ กฐินไม่เป็นอันกราลอย่างไร เป็นอันกราลอย่างไร รวมทั้งหัวข้อควรจำต่าง ๆ เกี่ยวกับกฐิน ( ความจริงกล่าวไว้แล้วในพระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลี เล่ม ๔ แต่นำมาตั้งเป็นหมวดเป็นหมู่ให้จำง่ายอีก).
๑๗. อุปาลิปัญจกะ ว่าด้วยคำกราบทูลถามของพระอุบาลี พระดำรัสตอบของพระผู้มีพระภาคซึ้งเป็นข้อกำหนด ๕ ข้อตลอด รวมทั้งสิ้น ๑๔ หมวด หรือ ๑๔ วรรค คือหมวด ๑ ว่าด้วยภิกษุที่ไม่ควรให้นิสสัย คือไม่ควรรับไว้ในปกครอง หมวด ๒ ว่าด้วยภิกษุที่ถูกลงโทษแล้ว ไม่ควรระงับการลงโทษ หมวดที่ ๓ ว่าด้วยภิกษุผู้ไม่ควรว่าคดีในสงฆ์ หมวดที่ ๔ ว่าด้วยการแสดงความเห็นแย้ง ( ทิฏฐาวิกัมม์) อย่างไรไม่เป็นธรรม อย่างไรเป็นธรรม
หมวดที่ ๕ ว่าด้วยภิกษุผู้โจทฟ้องภิกษุอื่น หมวดที่ ๖ ว่าด้วยการประพฤติธุดงค์ ๑๓ ข้อ ( ขัดเกลากิเลส) มีการอยู่ป่า เป็นต้น หมวดที่ ๗ ว่าด้วยการพูดปด หมวดที่ ๘ ว่าด้วยการให้โอวาทแก่นางภิกษุณี หมวดที่ ๙ ว่าด้วยอุพพาหิกา คือการมอบหมายให้แยกออกไปทำการแทนสงฆ์ หรือการตั้งผู้แทนสงฆ์ไปวินิจฉัยเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ในเมื่อที่ประชุมใหญ่ไม่สามารถวินิจฉัยได้ เพราะมีเสียงอื้ออึง เป็นต้น ( เทียบด้วยการตั้งกรรมาธการหรืออนุกรรมการ ) ภิกษุผู้ควรได้รับมอบหมายงานนี้ ควรประกอบด้วยคุณสมบัติ ๕ อย่างมีอะไรบ้าง.
หมวดที่ ๑๐ ว่าด้วยการระงับอธิกรณ์ หมวดที่ ๑๑ ว่าด้วยสงฆ์แตกกัน ตอนที่ ๑ หมวดที่ ๑๒ ว่าด้วยสงฆ์แตกกัน ตอนที่ ๒ หมวดที่ ๑๓ ว่าด้วยภิกษุผู้เป็นเจ้าถิ่นหรือประจำอยู่ในวัด หมวดที่ ๑๔ ว่าด้วยการกราลกฐิน .
๑๘. สมุฏฐาน ว่าด้วยสมุฏฐานแห่งอาบัติและการออกจากอาบัติ.
๑๙. ทุติคาถาสังคณิกะ หมวดหรือชุมนุมคาถาหรือคำฉันท์ที่ ๒ เป็นการประพันธ์หัวข้อ และคำอธิบายเกี่ยวกับพระวินัย เพื่อจำง่ายอีกหลายอีกประเด็น ยากกว่าที่เคยมีมาแล้วในตอนต้น ( ความจริงน่าจะเรียกว่าตอน ๓ เพราะข้างต้นมี ๒ ตอนอยู่แล้ว ได้แก่หมายเลข ๑๐ กับเลข ๑๒ แต่อาจจะถือว่า ๒ ตอนแรกรวมเป็น ๑ ตอนก็ได้).
๒๐ . เสทโมจนคาถา คาถาเหงื่อแตก คือคำประพันธ์ตั้งปัญหาวินัยให้คิดชนิดยาก ๆ ( แบบกลเถรอดเพล คือคิดไม่ออกจนอดข้าวกลางวัน ) รวม ๔๓ ข้อ และมิได้เฉลยไว้ (คำอธิบายมีอยู่ในอารรถกา).
๒๑. ปัญจวัคค์ ว่าด้วยเรื่องต่าง ๆ รวม ๕ หมวด หรือ ๕ วรรค คือวรรคที่ ๑ ว่าด้วยกรรม คืการทำกรรมของสงฆ์ชนิดต่าง ๆ วรรคที่ ๒ ว่าด้วยความมุ่งหมายในการบัญญัติสิกขาบท วรรคที่ ๓ ว่าด้วยการบัญญัติให้ทำสิ่งนี้ในทางพระวินัย วรรคที่ ๔ ว่าด้วยสิ่งที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้แล้วว่ามีความมุ่งหมายอย่างไร
วรรคที่ ๕ ว่าด้วยการสงเคราะห์หรือการรวม ( SYNTHESIS ) เรื่องต่าง ๆ รวม ๙ ประเภท.
( ได้กล่าวไว้แล้วว่า พระไตรปิฎก เล่ม ๘ อันมีชื่อว่าปริวารนั้น ไม่มีอะไรใหม่ เป็นแต่นำเรื่องที่ปรากฏในพระไตรปิฎก เล่ม ๑ ถึงเล่ม ๗ นั้นเอง มากล่าวใหม่ โดยจัดหมวดหมู่ หรือตั้งประเด็นต่าง ๆ รวมทั้งให้จำง่ายเข้าใจง่าย ในที่นี้จึงได้ขยายความให้พิสดารอย่างเล่มอื่น ๆ คงย่อรวบรัด พอให้เห็นหมวดหมู่และหน้าตาของพระไตรปิฎกเล่มนี้).
วินัยปิฎกเริ่มแต่เล่มที่ ๑ ถึงเล่มที่ ๘ จบลงเพียงเท่านี้ ต่อไปเป็นสุตตันตปิฎก ตั้งแต่เล่มที่ ๙ ถึงเล่ม ๓๓ รวม ๒๕ เล่ม.
|