แลพิธีที่สำแดงพระธาตุกรรมฐานโดยนัยพิศดารมีในราหุโลวาทสูตร แลธาตุวิภังค์นั้น ก็เหมือนกันกับนัยที่สำแดงแล้วในมหาหัตถิปโทปมสูตร จะได้แปลกได้เปลี่ยนกันก็หาบ่มิได้ ติกฺขปญฺญสฺส ภิกฺขุโน พระภิกษุผู้จำเริญพระธาตุกรรมฐานนี้ ถ้ามีปัญญาแหลมปัญญากล้าแล้ว จะพิจารณาโดยพิสดาร ว่าเกศานี้เป็นปฐวีธาตุประการ ๑ โลมาก็เป็นปฐวีธาตุประการ ๑ นขาก็เป็นปฐวีประการ ๑ จะพิจารณาโดยนัยพิสดารเป็นอาทิดังปรากฏเห็นเป็นเนิ่นช้าเพราะเหตุว่าปัญญานั้นกล้า ปัญญาเฉียบแหลมอยู่แล้ว เหตุดังนั้นพระภิกษุที่ปัญญากล้านั้นสมควรจะพิจารณาแต่โดยสังเขปว่า
ยํ ถทฺธลกฺขณํ ธรรมชาติอันใดมีลักษณะกระด้าง ธรรมชาติอันนั้นแลได้ชื่อว่าปฐวีธาตุ ยํ อาพนฺธนลกฺขณํ  ธรรมชาติอันใดมีลักษณะอันเอิบอาบซาบซึมมีอาการอันไหลหลั่ง ธรรมชาติอันนั้นแลได้ชื่อว่า อาโปธาตุ ยํ ปริปาจนลกฺขณํ ธรรมชาติอันใดกระทำให้ยับให้ย่อย ธรรมชาติอันนั้นแลได้ชื่อว่า เตโชธาตุ ยํ วิตฺถมฺภลกฺขณํ  ธรรมชาติอันใดมีลักษณะอันค้ำชูอังคาพยพให้เสำเร็จดิจ ลุกนั่งยืนเที่ยวธรรมชาติอันนั้นแลได้ชื่อว่าวาโยธาตุ เอวํ มนสิกโรโต  พระภิกษุผู้มีปัญญาแหลมปัญญากล้านั้น เมื่อกระทำมนสิการแต่โดยนัยสังเขปนี้ ก็ยิ่งอาจจะยังพระธาตุกรรมฐานให้ปรากฏแจ้งในสันดานได้ นาติติกฺขปญฺญาสุ แลพระภิกษุที่มีปัญญามิสู้กล้าหาญนั้น เมื่อกระทำมนสิการโดยนัยสังเขปดังนี้ พระกรรมฐานยังบ่มิได้ปรากฏแจ้งยังมืดมนอนธการอยู่ก็พึงกระทำมนสิการพระธาตุกรรมฐาน โดยนัยพิศดาร เหมือนนัยที่สำแดงมาแล้วในเบื้องต้น พระกรรมฐานจึงปรากฏเป็นอันดีเปรียบภิกษุ ๒ รูปสังวัธยายบาลี ไปยาลย่อเข้าเป็นอันมาก องค์หนึ่งปัญญากล้า องค์หนึ่งปัญญามิสู้กล้า องค์ที่มีปัญญากล้านั้นสังวัธยายไปครั้ง ๑ บ้าง ๒ ครั้งบ้าง ภายหลังก็รวบรัดย่อเข้าด้วยอุบาย ไปยาลย่อเข้า ที่เหมือน ๆ กันในท่ามกลางนั้นไปยาลย่อเข้าเสีย สังวัธยายแต่ที่สุดข้างโน้นข้างนี้ สังวัธยายแต่ที่แปลก ๆ กัน อาการที่สังวัธยายนั้นจบเร็ว บาลีนั้นก็ชำนาญตลอดทั้งเบื้องต้นแลเบื้องปลาย เพราะเหตุที่มีปัญญากล้า
ฝ่ายภิกษุองค์ที่มีปัญญามิสู้กล้านั้น สังวัธยายเรียงบทออกไปทุกบท ๆ บ่มิได้ย่อเข้า ด้วยอุบายไปยาล สังวัธยายนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เข้าใจว่าสังวัธยายโดยไปยาล สังวัธยายโดยย่อนั้นไม่พอปาก ว่าแต่ครั้ง ๑-๒ ครั้งนั้นไม่ชำนาญปาก เอามั่นเอาคงบ่มิได้ อันไม่ไปยาลเสียแล้วสังวัธยายซ้ำแล้วซ้ำเล่าเอามากเข้าว่านั้นแลบาลีชำนิชำนาญมั่นคงดีตกว่าอาการที่สังวัธยายนั้นจบเข้า จะได้เหมือนพระภิกษุที่มีปัญญากล้านั้นหาบ่มิได้ ภิกษุที่มีปัญญากล้านั้น เห็นว่าสังวัธยายซ้ำแล้วซ้ำเล่า การที่จะไปยาลเสียก็ไม่ไปยาล อย่างนี้นี่เมื่อไรจะจบ อาการที่พระภิกษุทั้ง ๒ รูปสังวัธยายบาลี มีอารมณ์มิได้ต้องกัน เพราะเหตุที่ข้างหนึ่งปัญญากล้า ข้างหนึ่งปัญญามิสู้กล้า ยถา อันนี้แลมีอุปมาฉันใด พระภิกษุผู้จำเริญพระธาตุกรรมฐานนี้ ที่มีปัญญากล้าก็ควรจะกระทำมนสิการโดยพีธีสังเขปที่มีปัญญามิสู้กล้า ก็ควรกระทำมนสิการโดยพิศดารมีอุปไมยดังพระภิกษุ ๒ รูปสังวัธยายบาลี ข้าง ๑ พอใจย่อ ข้าง ๑ พอใจพิศดาร เพราะเหตุที่มีปัญญากล้าแลมิสู้กล้าโดยนัยที่สำแดงมานี้ เหตุดังนั้นพระภิกษุผู้มีปัญญากล้า จำเริญพระธาตุกรรมฐานนั้น เมื่อเข้าไปในที่สงัดอยู่แต่ผู้เดียวแล้ว ก็พึงพิจจารณารูปกายแห่งตนโดยนัยสังเขปว่า สภาวะหยาบสภาวะกระด้างมีในกายนี้เป็นปฐวีธาตุ สภาวะเอิบอาบซาบซึมหลั่งไหล มีในกายนี้เป็นอาโปธาตุ สภาวะร้อนวะกระทำให้แก่ให้ย่อมมีในกายนี้เป็นเตโชธาตุ สภาวะค้ำชูอังคาพยพในกายนี้เป็นวาโยธาตุพิจรณาดังนี้แล้ว พึงกระทำมนสิการกำหนดกฏหมายให้เห็นว่า รูปกายแห่งตนนี้เป็นกองแห่งธาตุบ่มิได้เป็นชีวิต เมื่อกระทำกองเพียรสอดส่องส่องปัญญา พิจารณาประเภทแห่งธาตุด้วยประการฉะนี้ อุปจารสมาธิก็จะบังเกิดจะได้สำเร็จอุปจารสมาธิได้รวดเร็วบ่มิได้เนิ่นช้า จะได้สำเร็จแต่เพียงอุปจารสมาธิบ่มิอาจที่จะล่วงตลอดขึ้นไปถึงอัปปนาสมาธินั้นได้ เพราะเหตุพระธาตุกรรมฐานมีอารมณ์เป็นสภาวธรรม อธิบายว่าอารมณ์นั้นไปลงไปหาที่ยั่งที่หยุดบ่มิได้ เปรียบเหมือนแลลงไปในเหวอันลึกบ่มิได้เห็นพื้น เมื่อหยั่งอารมณ์ไปไม่มีที่ยั่งหยุดดังนี้ จิตนั้นหาที่ตั้งบ่มิได้ พระอัปปนาสมาธิจึงไม่บังเกิดในสันดานจึงได้สำเร็จอยู่แต่เพียงอุปจารสมาธิ
นัยหนึ่งสำแดงไว้เป็นอปรนัยว่า พระผู้เป็นเจ้าธรรมเสนาบดี มีความปรารถนาจะสำแดงให้เห็นแจ้งว่า ธาตุทั้ง ๔ ประการนี้ใช่สัตว์จึงสำแดงธรรมเทศนาจำแนกออกซึ่งโกฏฐาส ๔ ประการว่า อฏิญฺจ ปฏิจฺจ นหารุญฺจปฏิจฺจ สมญฺจ ปฏิจฺจ อากาโส ปริวาริโต รูปนฺเตฺวว สงฺขํ คจฺฉติ อธิบายว่าธรรมชาติอันใดได้นามบัญญัติชื่อว่ารูปนั้นอาศัยแก่โกฏฐาสทั้ง ๔ ประชุมกันคืออาศัยอัฐิประการ ๑ อาศัยแก่เส้นประการ ๑ อาศัยเนื้อประการ ๑ อาศัยหนึ่งประการ ๑ โกฏฐาสทั้ง ๔ มีอากาศแวดล้อมซ้ายขวาหน้าหลังแล้วกาลใดก็ได้ชื่อว่าเรียก ๆ ว่ารูปกาลนั้น โกฏฐาสทั้ง ๔ ซึ่งประชุมกันได้นามบัญญัติชื่อว่ารูปนั้น ถ้าพระโยคาพจรกุลบุตรมีปัญญากล้าพิจารณาเอาแต่สังเขปเท่านี้ ก็อาจจะได้สำเร็จอุปจารสมาธิมิได้เนิ่นช้า แลอาการที่จำเริญพระธาตุกรรมฐานนี้ กำหนดไว้เป็น ๔ ประการคือ สสัมภารสังเขป พิจารณาธาตุทั้ง ๔ โดยย่อเป็นต้น ปฐวีธาตุมีอาการกระด้างนั้นประการ ๑ สสัมภารวิภัตติ พิจารณาธาตุทั้ง ๓ โดยประเภทแผนกมีเกสาโลมาเป็นอาทินั้นประการ ๑ สัลลักขณสังเขปพิจาณาลักษณะแห่งธาตุโดยย่อนั้นประการ ๑ สัลลักขณวิภัตติพิจารณาลักษณะแห่งธาตุโดยแผนกนั้นประการ ๑ เป็น ๔ ประการดังนี้
อาการที่พิจารณาโดยสสัมภารสังเขป สัลลักขณะสังเขปนั้น สมควรแก่พระโยคาพจรที่มีปัญญากล้า อาการที่พิจารณาโดยสสัมภารวิภัตติ สัลลักขณวิภัตตินั้น สมควรแก่พระโยคาพจร ที่มีปัญญามิสู้กล้า ๆ นั้นพึงเรียนซึ่งอุคคหโกศล ๗ ประการมนสิการ ๑๐ ประการ โดยนัยที่สำแดงแล้วในกายคตาสติพึงพิจารณาโดยนัยพิสดารว่า อิเม เกสา นาม กว่าพิจารณาเหมือนพรรณนาในพระกายคตาสติ คือพิจารณาอาการ ๓๒ นั้นโดยปฏิกูลโดยวิภาคเป็นอาทิ พระธาตุกรรมฐานนี้สำเร็จด้วยพิจารณาอาการในกายเหมือนกันกับพระกายคตาสติแปลกกันแต่ที่กำหนดจิต ในกายคตาสตินั้นกำหนดจิตว่าอาการในกายสิ้นทั้งปวงนี้มีสภาวะปฏิกูลพึงเกลียดพึงชัง อิธ ธาตุวเสน ในพระธาตุกรรมฐานนี้กำหนดจิตว่า อาการในกายสิ้นทั้งปวงนี้มีสภาวะเป็นปฐวีธาตุ เป็นอาโปธาตุ เป็นเตโชธาตุ วาโยธาตุ ตกว่าต่างกันด้วยกำหนดจิตฉะเมื่อพระโยคาพจรกำหนดจิต พิจารณาโดยนิยมดังพรรณนามานี้ อันว่าธาตุทั้งหลายก็จะปลายปรากฏ เมื่อธาตุทั้งหลายปรากฏแล้วพิจารณาไปเนือง ๆ ก็จะสำเร็จแก่อุปจารสมาจิตดุจกล่าวแล้วในหนหลัง
อปิจ อนึ่งโสด พระโยคาพจรกุลบุตรผู้จำเริญจตุธาตุววัตถานภาวนานั้นพึงกระทำมนสิการในธาตุทั้ง ๔ ด้วยมนสิการอาการ ๑๓ ประการ วจตฺถโต คือให้กระทำมนสิการโดยวิคคหะประการ ๑ กลาปโต ให้กระทำมนสิการโดยกลาปประการ ๑ จุณณโต ให้กระทำมนสิการโดยกิริยาที่กระทำให้เป็นจุณณประการ ๑ ลกฺขณาทิโต ให้กระทำมนสิการโดยลักษณะแลผลนั้นประการ ๑ สมุฏานโต ให้กระทำมนสิการโดยสมุฏฐานประการ ๑ นานตฺเตกตฺตโต ให้กระทำมนสิการโดยต่างกันแลเหมือนกันเป็นอันเดียวนั้นประการ ๑ วินิพพฺโภคา วินิพฺโภคโต ให้กระทำมนสิการโดยกิริยาที่พรากจากกัน แลบ่มิได้พรากจากกันประการ ๑ สภาควิสภาคโต ให้กระทำมนสิการที่เป็นสภาคแลวิสภาคประการ ๑ อชฺฌตฺติกพาหิรวิเสสโต ให้กระทำมนสิการโดยอัชฌัตติกวิเศษแลพาหิรวิเศษประการ ๑ สงฺตหโต ให้กระทำมนสิการโดยกิริยาประมวลเข้าประการ ๑ ปจฺจยโต ให้กระทำมนสิการโดยปัจจัยประการ ๑ อสมนฺนาหารโต ให้กระทำมนสิการโดยอสมันนาหารประการ ๑ ปจฺจยวิภาคโต ให้กระทำมนสิการโดยปัจจัยวิสภาคประการ ๑ สิริเป็นมนสิการอาการ ๑๓ ประการด้วยกัน
มนสิการอาการเป็นปฐมที่ว่า ให้กระทำมนสิการโดยวิคคหะนั้นเป็นประการใด อธิบายว่า ปฐวีธาตุนั้นมีนัยวิคคหะว่า ปฐวี ปตฺถตตฺตา ปฐวี แปลว่าธรรมชาติอันใด ได้นามบัญญัติชื่อว่าปฐวีธาตุนั้น ด้วยอรรถว่าแข็งกระด้าง พึงรู้ให้ทั่วไปในสรรพธาตุทั้งปวงเถิด สุดแท้แต่ว่าธาตุอันใดกระด้าง มีประมาณพอหยิบขึ้นได้ด้วยมือ ธาตุสิ่งนั้นได้ชื่อว่า ปฐวีธาตุ แลเอาโปธาตุนั้นมีอรรถวิคคหะว่า อปฺโปติ อาปิยติ อปฺปายาตีติ วา อาโป แปลว่า ธรรมชาติอันใดซึมซาบอาบเอิบไปในปฐวีธาตุเป็นอาทิ ธาตุสิ่งนั้นแลได้ชื่อว่ อาโปธาตุ แลเตโชธาตุนั้น มีอรรถวิคคหะว่า เตชยตีติ เตโช แปลว่าธาตุอันใดกระทำให้อบอุ่นเป็นไอเป็นควันบำรุงรักษาปฐวีธาตุเป็นอาทิ มิให้เปื่อยให้เน่าเผาอาหารให้ย่อย ธาตุอันนั้นได้ชื่อว่า เตโชธาตุ แลวาโยธาตุนั้น มีอรรถวิคคหะว่า วายตีติ วาโยแปลว่า ธาตุอันใดกระทำให้ไหวให้ยกมือยกเท้าให้สำเร็จอิริยาบถนั่งนอนยืนเที่ยว ธาตุอันนั้นแลได้ชื่อว่าวาโยธาตุ วิคคหะดังนี้ เรียกว่าวิเศษวิคคหะ อธิบายว่า สำแดงอรรถแห่งธาตุทั้ง ๔ นั้นให้แปลกกัน ๆ
ต่อ