ในกาลนี้ พระพุทธโฆษาจารย์เจ้าจะสังวรรณนาอรรถพระคาถาที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสวิสัชนา จึงดำเนินเนื้อความว่า สีเล ปติฏาย นโร สปญฺโญ สัตว์โลกที่มีปัญญา อันมาพร้อมด้วยปฏิสนธิ อันเป็นไตรเหตุ อันบังเกิดแก่กุศลธรรม ปฏิบัติบำเพ็ญศีลกระทำให้ศีลของตนบริบูรณ์มิให้ด่างพร้อย จึงได้ชื่อว่าตั้งอยู่ในศีล
เมื่อตั้งอยู่ในศีลแล้ว ก็อุตสาหะกระทำความเพียร ที่จะยังกิเลสทั้งหลายให้ร้อนจำเดิมแต่ต้น แลให้ร้อนไปโดยภาคทั้งปวง
อนึ่งสัตว์ผู้นั้นมีปัญญาอันแก่กล้าชื่อว่า เนปกปัญญา ในบทคือเนปกปัญญานี้ คือองค์สมเด็จพระศาสดาตรัสเทศนา ประสงค์เอาปัญญา อันประกอบด้วยวิธีจะรักษาพระกรรมฐาน แท้จริงในปัญหาพยากรณ์นี้พระพุทธองค์ประสงค์เอาปัญญา ๓ ประการ
ปัญญาที่หนึ่งนั้น ประสงค์เอาปัญญาที่มาพร้อมด้วยปฏิสนทธิอันเป็นไตรเหตุ
ปัญญาที่สองนั้น ประสงค์เอาวิปัสสนาปัญญา อันพิจารณาเห็นพระไตรลักษณ์
ปัญญาที่สามนั้น ประสงค์เอาปริหาริกปัญญา อันกำหนดกิจทั้งปวงมีกิจที่จะเล่าเรียนพระกรรมฐานทั้งสอง คือพระสมถกรรมฐานและพระวิปัสสนากรรมฐาน
สัตว์นั้นได้นามชื่อว่า ภิกษุ เพราะเหตุว่าเห็นภัยในสังสารวัฏประกอบด้วยโยนิโสมนสิการเจริญพระสมาธิ คือเล่าเรียนกสิณบริกรรม แลเจริญวิปัสสนาให้เห็นว่า ปัญจวิธขันธ์ทั้ง ๕ เป็นอนิจจัง เป็นทุกขังเป็นอนัตตา โส อิมํ วิชฏเย ชฏํ สัตว์ที่ได้นามชื่อว่าภิกษุนั้นย่อมประกอบด้วยธรรม ๖ ประการ คือ ศีล ๑ สมาธิ ๑ ปัญญาทั้ง ๓ มีสหชาติปัญญาอันเป็นไตรเหตุเป็นอาทิ แลความเพียรยังกิเลสให้ร้อน ๑ เป็น ๖ ประกอบด้วยกันดังนี้ พึงถางชัฏคือตัณหานี้
มีคำอุปมาว่า บุรุษอันประกอบด้วยกำลัง ยืนอยู่เหนือพื้นปฐพียกขึ้นซึ่งศาสตราอันตนลับอานไว้เป็นอันดี พึงถางเสียซึ่งพุ่มไม้ไผ่อันใหญ่อันชัฏไปด้วยหนามหนา เสยฺยถาปิ นาม ชื่อว่ามีอุปมาฉันใด ก็มีอุปไมยเหมือนหนึ่งสัตว์คือภิกษุในพระพุทธศาสนายืนอยู่เหนือปฐพี กล่าวคือศีล ยกขึ้นซึ่งศาสตรา กล่าวคือวิปัสสนาอันตนลับอานแล้วเป็นอันดี เหนือศิลากล่าวคือความเพียรพึงดัดเสียแห่งตน
อนึ่งพระภิกษุจะถางเสียได้ซึ่งชัฏคือตัณหา ก็ถางเสียได้ในขณะแห่งตนได้พระอรหัตตมรรค ในขณะที่ได้สำเร็จแก่พระอรหัตตผลแล้ว พระภิกษุนั้นก็ได้ชื่อถางชัฏคือตัณหาสำเร็จแล้ว เป็นอัคคทักขิไณยบุคคล ควรจะพึงรับทานอันเลิศแห่งสัตว์อันอยู่ในมนุษย์โลก กับด้วยสัตว์อันอยู่ในเทวโลกเหตุการณ์ดังนั้น องค์สมเด็จพระผู้ทรงพระภาค จึงโปรดประทานพระสัทธรรมเทศนาแก่เทพยดานั้นด้วยบาทพระคาถามีคำกล่าวว่า สีเล ปติฏาย นโร สปญฺโญ เป็นอาทิ เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้
ตตฺรายํ ยาย ปญฺญาย สปญโญติ วุตฺโต ตตฺรายสฺส กรณียํ นตฺถิ ปุริมกมมานุภาเวเนว หิสฺส สา สิทฺธา
อาตาปี นิปโกติ เอตฺถ วุตฺติวริยวเสน ปน เตน สาตจฺจ การินา ปญฺญาวเสน จ สมปชานการิน หุตฺวา สีเล ปติฏาย จิตฺตปญฺญาวเสน วุตฺตา สมถวิปสุสนา ภาเวตพฺพาติ
อิมํ ตตฺร ภควา สิลสมาธิปญฺญามุเขน วิสุทฺธิมคคํ ทสฺเสติ
พระสัทธรรมเทศนาสืบลำดับวาระพระบาลีมา มีเนื้อความว่าองค์สมเด็จพระศาสดา ตรัสเทศนาในพระคาถาว่า สปญฺโญ พระโยคาวจร ภิกษุประกอบด้วยปัญญาอันใด กิจที่พระโยคาวจรภิกษุจะพึงกระทำในปัญญานั้นบมิได้มี เหตุดังฤๅ เหตุว่า ปัญญานั้นย่อมสำเร็จแ่ก่พระโยคาวจรภิกษุนี้ ด้วยอานุภาพแห่งกุศลกรรม ที่พระโยคาวจรภิกษุสันนิจจยาการก่อสร้างมาแล้วแต่ปุริมภพปางก่อน
ในบทคือ อาตาปี นิปโก องค์สมเด็จพระผู้ทรงพระภาคตรัสเทศนาด้วยสามารถ ศีล สมาธิ ปัญญา หวังจะให้พระโยคาวจรเจ้ามีความอุตสาหะกระทำเนือง ๆ กระทำให้มากด้วยวิริยะพยายาม แลกระทำตนให้รู้รอบคอบด้วยปัญญา แล้วพึงเจริญสมถะแลวิปัสสนา
ในพระคาถานี้ องค์พระผู้มีพระภาค ตรัสเทศนาชื่อว่าพระวิสุทธิมรรค คือหนทางพระปรินิพพาน ด้วยศีล สมาธิ แลปัญญาเป็นประธาน
เอตฺตา หิ ติสฺโส สิกฺขา แท้จริง สิกขาทั้ง ๓ คืออธิศีล สิกขา อธิจิตตสิกขา อติปัญญาสิกขา องค์สมเด็จพระผู้ทรงพระภาคทรงแสดงด้วยเทศนามีประมาณเท่านี้
อนึ่ง ติวิธกลฺยาณสาสนํ คำสั่งสอนที่จะให้ปฏิบัติ แลคำสั่งสอนที่จะให้ตรัสรู้ธรรมวิเศษ มีคุณอันบัณฑิตพึงนับ ๓ ประการ คือมีคุณอันบัณฑิตนับในต้น แลท่ามกลางแลที่สุด แลอุปนิสัยแห่งไตรวิชชา แลการที่จะเว้นจากลามกทั้ง ๒ คือกามสุขัลลิกานุโยคกระทำความเพียรให้ติดอยู่ในกามสุข อัตตกิลมถานุโยคกระทำความเพียรให้ตนได้ความลำบาก
แลการที่พึงเสพซึ่งมัชฌิมปฏิบัติอันเป็นท่ามกลาง องค์สมเด็จพระบรมศาสดา ก็ทรงแสดงด้วยเทศนามีประมาณเท่านี้
อนึ่ง อปายาทิสมติกฺกมนุปาโย อุบายที่จะล่วงเสียซึ่งเตภูมิกวัฏมีบังเกิดในจตุราบายเป็นอาทิ แลสละกิเลสด้วยอาการทั้ง ๓ มีวิขัมภนปหานเป็นประธาน
แลธรรมอันเป็นข้าศึกแก่วิตก แลวิจารเป็นอาทิ แลการที่จะชำระเสียซึ่งสังกิเลสทั้ง ๓ แลจะประพฤติปฏิบัติให้เป็นอุปนิสัยแก่มรรค แลผลมีพระโสดาปัตติมรรคเป็นต้น องค์สมเด็จพระบรมศาสดาก็ทรงแสดงด้วยเทศนามีประมาณเท่านี้