พระอนาคตวงศ์
กัณฑ์ที่ ๑

 


พระอชิตะ
ในอนาคตกาลจะมาตรัสรู้เป็นพระอาริยเมตไตรย

      สมัยหนึ่ง พระบรมครูเสด็จสู่กรุงกบิลพัสดุ์เป็นวาระที่ ๒ พระนางมหาปชาบดีโคตมีพระน้านางทรงจินตนาว่า จำเดิมแต่พระลูกเจ้ามาสู่พระนครนี้ เรามิได้ถวายสิ่งใดเลย ฉะนั้น เราจะถวายจีวรสาฎกเถิด แล้วจึงทรงทำผ้าสาฏก ซึ่งพระนางได้ทรงกระทำด้วยหัตถ์ของพระนางเองทั้งหมดโดยเริ่มจากเก็บฝ้ายนั้นด้วยพระหัตถ์ใส่ลงในผอบทองแล้วก็ทรงเลือก ทรงหีบ ทรงดีด ทรงปั่น ด้วยพระหัตถ์มิให้ผู้อื่นกระทำ ปรากฏว่าเส้นด้ายนั้นละเอียดปราณีตยิ่งนัก และมีสีเหลืองอร่ามดุจสีทองคำธรรมชาติ

     แล้วจึงรับสั่งให้หาช่างหูกฝีมือเอกมาให้บริโภคซึ่งปราณีตโภชนาหารอันระคนด้วยจตุมธุรส และให้ตกแต่งกายนุ่งห่มด้วยวัตถาภรณ์เป็นอันดี ที่โรงหูกนั้นก็ให้ดาดเพดานในเบื้องบนห้องพวงดอกไม่มีพรรณต่าง ๆ ให้น่ารื่นรมณ์แห่งใจ แล้วเสด็จลงไปสู่โรงหูกกับนางในข้าราชบริพารทั้งหลาย ทอดพระเนตรการทอผ้าวิเศษนั้นทุกวันมิได้ขาด จนการทอผ้าสำเร็จได้ผ้าสาฏก ๒ ผืน ยาว ๑๔ ศอก กว้าง ๗ ศอกเสมอกัน มีพรรณงามรุ่งเรืองสุกพรรณนา เนื้อผ้าก็ละเอียดมีมุทุสัมผัสเป็นอันดี และภูษาทั้งคู่นี้เป็นพัสตราภรณ์อันหาค่ามิได้ สมควรแก่ที่สมเด็จพระจอมไตรโลกนาถจะทรง

     พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า

     “ ดูกรพระมาตุจฉาซึ่งมีคุณแก่เราตถาคต ! วัตถยุคคลอันประเสริฐนี้ขอให้พระมาตุจฉาจงถวายแก่สงฆ์เถิด จะเกิดมีผลานิสงส์มากยิ่งกว่าถวายอุทิศแก่เราตถาคต ด้วยว่าเมื่อได้ถวายภูษาทั้งคู่แก่สงฆ์แล้ว ย่อมได้ชื่อว่าเป็นการบูชาเราตถาคตและสงฆ์ทั้งปวง”

     พระนางก็อ้อนวอนถึงสามครั้งสามคราพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงตรัสเช่นเดิม พระนางจึงทรงถือเอาภูษาทั้งคู่เข้าไปสู่ที่ใกล้องค์พระสารีบุตรธรรมเสนาบดี ซึ่งสถิตอยู่ ณ เบื้องขวาสมเด็จพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้า ประณตน้อมเข้าถวายด้วยจิตศรัทธา แต่แล้วก็กลับถูกองค์พระธรรมเสนาบดีซึ่งทราบถึงพระพุทโธบายปฏิเสธเสียด้วยคำว่า

     “ ดูกรพระพุทธมาตุจฉามหาปชาบดี ! การที่พระองค์จะถวายแก่อาตมาภาพนี้ อาตมารับมิได้เพราะการมิสมควร ขอพระองค์จงทรงถวายภิกษุรูปอื่นต่อไปเถิด”

     เมื่อได้รับการปฏิเสธฉะนี้ พระนางจึงทรงเลื่อนที่เข้าไปถวายแด่พระมหาโมคคัลลานเถระเจ้า ซึ่งสถิตอยู่ ณ เบื้องซ้ายแห่งองค์สมเด็จพระจอมไตรโลกนาถ แต่พระผู้เป็นเจ้าก็มิได้รับกลับปฏิเสธเสียด้วยถ้อยคำเหมือนองค์พระธรรมเสนาบดี พระนางจึงเลื่อนที่ถวายพระอรหันตอสีติมหาสาวกทั้งหลายต่อ ๆ ลงไปโดยลำดับ ก็มิได้มีพระผู้เป็นจ้ารูปใดรับแต่สักองค์หนึ่ง จนตราบเท่าถึงพระภิกษุหนุ่มนามว่า พระอชิตะ ซึ่งเป็นพระสังฆนวกะนั่งอยู่ในที่สุดท้ายสงฆ์ทั้งปวง เมื่อน้อมเข้าไปถวาย พระอชิตะหนุ่มก็รับภูษาวิเศษทั้งคู่นั้นทันที

      พระอชิตราชกุมารผู้มีวาสนาใหญ่ก็ได้มาเฝ้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยและนั่งเป็นพระสังฆนวกะอยู่ ณ ที่ประชุมนั้น เมื่อทัศนาการเห็นพระนางมหาปชสบดียื่นภูษาเข้ามาถวายตรงหน้า ท่านก็กรุณารับเอาโดยประสงค์ที่จะรักษาศรัทธาของพระนางไว้ จนเป็นเหตุให้พระนางเจ้าทรงเกิดความน้อยใจไปใหญ่โต

     สมเด็จพระบรมศาสดาผู้ทรงคุณใหญ่ เมื่อทอดพระเนตรเห็นพระมาตุจฉาเสียพระทัยทรงพระโทมนัสในการบำเพ็ญทานพิเศษครั้งนี้จึงทรงมีพระดำริว่า ในกาลบัดนี้ สมควรที่เราตถาคตจะกระทำให้สมเด็จพระมาตุจฉาทรงคลายจากโทมนัสเสียใจ จะให้มีแต่ความชื่นใจยินดี ในวัตถุทานพิเศษนี้โดยยิ่ง แล้วจึงมีพระพุทธฏีกาตรัสเรียกใช้พระอานนท์ว่าเธอจงไปเอาบาตรของเราตถาคตมา พระอานนท์ก็รีบไปนำเอาบาตรทรงนั้นมาถวายพระองค์ทรงรับเอาบาตรแล้วทรงกระทำพุทธาธิษฐานว่า

     “ พระสาวกทั้งปวง แม้จะทรงฤทธิ์ปานใดจงอย่าถือเอาบาตรนี้ได้เลย ให้พระอชิตะภิกษุหนุ่มผู้มีวาสนา จงถือเอาบาตรนี้ได้แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น”

     ทรงกระทำพระพุทธาธิษฐานฉะนี้ ก็ทรงเหยียดยื่นพระหัตถ์ข้างที่ถือบาตร ทันใดบาตรนั้นก็ลอยขึ้นไปในกลีบเมฆแล้วอันตรธานไปมิได้ปรากฏจึงทรงโปรดให้ภิกษุทั้งหลายไปนำเอาบาตรนั้นมา จะมีภิกษุสาวกรูปใดสามารถหรือไม่ ในลำดับนั้น พระธรรมเสนาสารีบุตรองค์อัครสาวกเบื้องขวากระทำอัญชลีแล้วกราบทูลว่า ข้าพระองค์ของพระบรมพุทธานุญาตนำเอาบาตรทรงนั้นมาถวาย แล้วพระผู้มีพระภาคเจ้าก็เหาะขึ้นไปในอากาศเที่ยวแสวงหาซึ่งบาตรด้วยอิทธิ์ฤทธิ์ก็มิได้พบ จึงกลับลงมากราบทูลให้ทรงทราบซึ่งอาการที่ไม่พบนั้น บรรดาพระอสีติมหาสาวกทั้งหลายที่เหลือ

     มีพระมหาโมคคัลลานเถระเป็นอาทิ ต่างองค์ก็ขอพระบรมพุทธานุญาตเพื่อรับอาสาแล้วก็เหาะขึ้นไปแสสวงหาบาตรบนอากาศ แต่ก็ไม่มีองค์ที่สามารถนำเอาบาตรทรงมาถวายสมเด็จพระพุทธองค์ด้วยอานุภาพแห่งตนนั้น ในที่สุดสมเด็จพระจอมโลกนาถจึงมีพระพุทธฏีกาตรัสสั่งพระอชิตสังฆนวกภิกษุว่า

     “ ดูก่อนอชิตะ ! ในกาลบัดนี้ ขอเธอจงแสดงความสามารถไปนำเอาบาตรของตถาคตมา”

     อชิตะภิกษุหนุ่มราชบุตรพระเจ้าอชาตสัตตุราช ซึ่งจะได้ตรัสเป็นสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยในอนาคตภายหน้า ได้สดับพระพุทฏีกาตรัสสั่งดังนั้น พระผู้เป็นเจ้าก็ให้เป็นสิ่งอัศจรรย์น่าแปลกใจดำริว่า ไฉนพระอสีติมหาสาวกทั้งหลาย แต่ล้วนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ปราศจากราคาทิกิเลส มีฤทธานุภาพมาก ทั้งชำนาญยิ่งในฌานอภิญญา จึงมิอาจแสวงหาซึ่งบาตรทรงขององค์พระสัพพัญญูเจ้าได้ ก็แลอาตมาผู้มีนามว่าอชิตะนี้ไซร้ เป็นสังฆนวกภิกษุใหม่ในสงฆ์ ยังมิได้บรรลุคุณวิเศษในพุทธศาสนาแม้แต่เพียงพระโสดาปัตติมรรคญาณขั้นต่ำ

      ซ้ำปราศจากฤทธิ์อันเกิดจากอภิญญาฌานสามาบัติแล้วสามารถนำมาเอาบาตรทรงมาถวายสมเด็จพระพุทธองค์ได้อย่างไร การที่สมเด็จพระจอมไตรโลกนาถทรงมีพระมหากรุณาดำรัสสั่งให้อาตมาไปนำเอาบาตรมาครั้งนี้ น่าที่จะมีเหตุการณ์อันใดอันหนึ่งเป็นมั่นคงอย่ากระนั้นเลย จำอาตมาจะกระทำตามพระพุทธดำรัสสั่งไปตามกำลังสติปัญญา จิตนาฉะนี้แล้ว พระผู้เป็นเจ้าอชิตะจึงน้อมกายถวายนมัสการสมเด็จพระบรมครู ซึ่งสถิตอยู่บนบวรพุทธอาสน์ แล้วค่อยดำเนินไปยืนในที่สุดบริษัท ทัศนาซึ่งนภากาศแล้ว ตั้งจิตกระทำสัตยาธิษฐานว่า

     “ อาตมาผู้มีนามว่าอชิตะนี้ จะได้เข้ามาบรรพชาในพระบวรพุทธศาสนาด้วยเหตุที่มีความปรารถนาในจตุปัจจัยลาภ หรือด้วยเหตุที่มิสามารถจะเลี้ยงชีพในฆราวาสวิสัยก็หามิได้ โดยที่แท้อาตมาเข้ามาบรรพชาด้วยตั้งใจจะประพฤติพรหมจรรย์ หมายมั่นจะได้ตรัสรู้ซึ่งสรรพธรรมเป็นพระสัพพัญญูในอนาคตกาล เพื่อจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ออกไปให้พ้นจากจตุรโอฆสงสาร เสมือนเช่นสมเด็จพระพิชิตมารเจ้าของบาตรบรมครูแห่งอาตมาขณะนี้

     “ อนึ่ง ตั้งแต่กาลบรรพชามา อาตมาก็พยายามรักษาศีลประพฤติพรหมจรรย์มิให้ด่างพร้อยขาดทำลาย ตั้งใจประพฤติให้บริสุทธิ์อยู่เป็นอันดี ด้วยเดชะแห่งสัจจะความจริงนี้ ขอให้บาตรทรงแห่งองค์สมเด็จพระชินสีห์เจ้าจงลงมาประดิษฐานอยู่ในหัตถ์ของอาตมา ซึ่งจะเหยียดออกไปโดยพลันในกาลบัดนี้ ”

     เมื่อเสร็จจากการตังจิตเป็นสัตยาธิษฐานตามประสาปุถุชนผู้ไร้ฤทธิ์อิทธิปาฏิหาริย์ อชิตะภิกษุหนุ่มผู้ปราศจากอภิญญาฌานสมาบัติ ก็เหยียดหัตถ์ออกไปเบื้องหน้าโดยพลัน บัดนี้ ก็ควรจะเห็นเป็นอัศจรรย์ด้วยว่า บาตรทรงขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ซึ่งเป็นสิ่งปราศจากจิตวิญญาณ ก็มีอาการดุจจะแสดงซึ่งพระสัพพัญญฌาณนิมิต แด่พระอชิตราชบุตรสังฆนวกผู้ซึ่งจะได้ตรัสเป็นพระสัพพญญูเจ้าในอนาคตกาลโดยบันดาลตกลงมาเองคัคนาลัย ประดิษฐานอยู่ในหัตถ์พระอชิตภิกษุเป็นที่ประจักษ์แก่นัยนา มีอาการดุจจะออกวาจาเป็นภาษามนุษย์ให้พระสังฆนวกชินบุตรทราบว่า

     “ การที่ข้านี้หลบลี้ซ่อนเร้น ไม่ยอมเข้าไปอยู่ในอุ้งหัตถ์แห่งพระมหาสาวกทั้งหลาย แม่จะทรงคุณยิ่งใหญ่ เช่น พระธรรมเสนาสารีบุตรเป็นต้นนั้น ก็เพราะเหตุว่าข้านี้มิได้เป็นบริขารสาวก ข้านี้เป็นบาตรทรงสำหรับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีค่าเป็นพุทธบริขารโดยแท้ แต่พระผู้เป็นเจ้านี้สร้างพระบารมีมา มิใช่ว่าเพื่อจะเป็นพระสาวก หรือเพื่อจะเป็นพระปัจเจกโพธิ แท้จริงสร้างพระบารมีมาเพื่อจะได้เป็นสมเด็จพระสัญญูพุทธเจ้าในอนาคตกาลดังนั้น ข้านี้จึงยอมเข้ามาอยู่ในอุ้งหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้าได้ ”

     ภิกษุใหม่นามว่าอชิตราชบุตรผู้จะได้เป็นพระศรีอาริยเมตไตรย เมื่อได้รับบาตรสมความปรารถนาแล้วก็มีจิตผ่องแผ้วปีติโสมนัสค่อยประคองบาตรทรงตรงเข้าไปถวายสมเด็จพระจอมไตรโลกนาถเจ้า ยังความมหัศจรรย์ในให้เกิดแก่หมู่ชนในที่เฝ้านั้นเป็นมันมาก ฝ่ายสมเด็จพระมหาปชาบดีได้เห็นเหตุมหัศจรรย์ดังนั้น ก็พลันหมดสิ้นซึ่งความน้อยเนื้อต่ำใจในดวงหฤทัยมีแต่ปีติปราโมทย์

     บังเกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนาในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและภิกษุหนุ่มสังฆนวกนาวว่าอชิตะเป็นกำลังพลางดำริว่า “ พระสงฆ์สาวกในพระพุทธศาสนานี้ มีพระคุณยิ่งเป็นมหัตจรรย์นักดูเอาเถิด แต่เพียงพระสังฆนวกก็ยังกอบด้วยคุณวิเศษเห็นปานดั่งนี้ ท่านเป็นพระอรหันตมหาเถระที่ทรงอภิญญาวิธีจะมีคุณานุภาพและทรงคุณวิเศษเป็นดังฤๅ”

     ยิ่งทรงจิตนาไปพระนางเจ้าก็ยิ่งเกิดพลวศรัทธาอันยิ่งใหญ่จนพระอสุชนัยน์ไหลตกจากพระเนตรอยู่พราก ๆ เมื่อเห็นสมควรที่จะเสด็จออกไปจากที่นั้น จึงยกขึ้นซึ่งพระหัตถ์ประณตนมัสการสมเด็จพระสัพพัญญูแลพระสงฆ์สาวกทั้งหลาย แล้วพาบริวารเสด็จกลับคืนไปยังพระราชนิเวศน์สถาน