พระอนาคตวงศ์
กัณฑ์ที่ ๑

 


พระอาริยเมตไตรย
ต่อ ๔

       เมื่อพระบรมโพธิสัตว์ผู้ทรงพระอุตสาหะในพระศาสนาได้ทรงฟังสามเณรออกวาจาว่าองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ก็ถึงวิสัญญีภาพสลบลงอยู่กับที่ ครั้นพระองค์ได้สติขึ้นมา จึงตรัสถามสามเณรอีกว่า ดูก่อนสามเณรผู้เจริญ

        บัดนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายับยั้งอยู่ในฐานะที่ใดหรือ สามเณรจึงกราบทูลว่า สมเด็จพระมหากรุณาธิคุณเจ้า เสด็จยับยั้งอาศัยอยู่ในบุพพารามวิหาร อันมีอยู่อุตตรทิศ แต่กรุงอินทปัตต์มหานครนี้ไปไกลกันประมาณ ๑๖ โยชน์

       ได้ทรงฟังสามเณรแจ้งความว่าสมเด็จพระพุทธเจ้าบังเกิดแล้วในโลก จึงตรัสว่าดูก่อนสามเณร ผิว่าองค์สมเด็จสัพพัญญูเจ้าเสด็จอยู่ในฐานทิศใดเราก็จะไปในประเทศทิศนั้น ฯ สมเด็จพระเจ้าสังขจักร์บรมบพิตร์ผู้ประเสริฐ หาความเอื่อเฟื้อในศิริราชสมบัติบรมจักร์ของพระองค์ไม่ ด้วยพระทัยนั้นผูกพันอยู่ในการที่จะได้พบเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นยิ่งอย่างอุกษฏ์

       ก็กระทำการรภิเษกสามเณรนั้น ให้สึกออกเสวยราชศิริราชสมบัติแทนพระองค์เป็นพระยาอันประเสริฐ ครั้นกระทำการราชาภิเษกสามเณรแล้วเอกโกว แต่พระองค์เดียวเสด็จโดยอุตตราภิมุขมีพระทัยฉะเพาะต่ออุตตรทิศ ตั้งพระทัยไปสู่บุพพารามวิหาร อันเป็นที่ประทับแห่งองค์สมเด็จพระสิริมิตรสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้า

       สมเด็จบรมสังขจักร์จอมทวีปเป็นสุขมาลชาติ พระสรีรกายนั้นระเอียดอ่อนเป็นอันดี เมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปตามมรรหนทางแต่พระบาทเปล่า เวลาวันเดียวพระบาททั้ง ๒ ข้างก็ภินทนาการแตกออก จนพระโลหิตไหลตามฝ่าพระบาททั้ง ๒ เมื่อพระบาททั้ง ๒ ทำลายจะดำเนินไปมิได้แล้ว ในกาลนั้น

        พระองค์ก็ลุกนั่งคุกเข่าคลานไปทีล่ะน้อย ค่อยคมนาการไปตามหนทางที่สามเณรชี้บอกมานั้น จะได้ละความเพียรเสียก็หามิได้ครั้นล่วงไปถึง ๔ วันพระหัตถ์ซ้ายขวา และพระชงฆ์ ทั้ง ๒ ข้างนั้นก็แตกช้ำโลหิตไหลออกมา จะคุกคลานต่อไปก็มิได้ให้เจ็บปวดแสนสาหัส เห็นเป็นขัดสนพระทัยนักแล้ว

       ถึงกระนั้นพระองค์ก็มิได้คิดท้อถอยย้อนรอยกลับคืนพระนครก็หาไม่ อาตมาต้องไปให้ถึงสำนักองค์สมเด็จพระผู้ทรงพระภาคเจ้าให้จงได้ ครั้นพระองค์คุกคลานไปมิไดแล้วก็ลงพังพาบไถลไปแต่ทีละน้อย ด้วยพระอุระของอาตมา ได้รับทุกขเวทนา เหลือที่จะอดกลั้น

        แต่พระองค์ทรงยึดเหนี่ยวเอาพระพุทธคุณของสมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นอาราณ์ ด้วยพระเจตนาจะใคร่พบเห็นพระผู้เป็นอธิบดีอันใหญ่ยิ่ง แล้วพระองค์ก็ทรงอดกลั้นซึ่งทุกขเวทนานั้นเสีย หาเอื้อเฟื้ออาลัยในร่างกายของพระองค์ไม่ ฯ

       ครั้งนั้นสมเด็จพระสิริมิตรสัพพัญญูผู้ปประเสริฐพระองค์ทรงพระมหากรุณา เล็งแลดูสัตว์โลกทั้งหลายดัวยสัพพญญุญาณ ก็รู้แจ้งเห็นด้วยกำลังความเพียรแห่งบรมสังขจักร์นั้นเป็นอุกฤษฏ์ยิ่งโดยวิเศษแล้วก็มิใช่อื่นมิใช่ไกล เป็นหน่อพระพุทธธางกูรพุทธพงศ์อันเดียวกันกับพระตถาคต สมควรที่พระตถาคตจักเสด็จไปสู่ที่ใกล้แห่งบรมสังขจักร์

       เมื่อพระองค์ทรงพระดำริแล้ว ก็เสด็จพระพุทธดำเนินมาด้วยพระศิริลาสเป็นอันงาม แล้วพระองค์กระทำ อิทธิฤทธิ์นิรมิต พระบวรกายของพระองค์ให้อันตรธานสูญหายกลับกลายเป็นมาณพหนุ่มน้อย ขึ้นขับรถทวนมรรคามาฉะเพาะหน้าแห่งสมเด็จบรมสังขจักร์นั้น แล้วพระพุทธสัพพัญญูเจ้าจึงร้องถามไปว่า ผู้ใดมานอนอยู่กลางทางขวางหน้ารถเราจงหลีกไปเสียเราจะขับรถไป ฯ

       ฝ่ายพระบรมโพธิสัตว์ จึงตรัสตอบมีพระพุทธฏีกาว่า “ ดูก่อนนายสารถีผู้ขับรถ ท่านจะมาขับเราไปให้พ้นจากหนทางนั้น ด้วยเหตุใดหรือ ตัวเราผู้รู้จักคุณสมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ยิ่งนัก ชอบแต่นายสารถีจะยั้งรถของท่านให้หลีกเราเสียจึงจะสมควร ถ้าท่านไม่หลีกก็ให้ท่านขับรถไปเหนือหลังเราเถิด ซึ่งจะให้เราหลีกนั้นเราหาหลีกไม่ ”

       องค์สมเด็จพระสัมพัญญูจึงมีพระพุทธฏีกาว่า “ ถ้าท่านจะไปยังสำนักพระพุทธเจ้าแล้ว จงขึ้นรถไปกับเราเถิดเราจะพาท่านไปให้ถึงสำนักสมเด็จพระพุทธเจ้าให้สมดังความปราถนา ”

       พระขัติยาจึงตรัสตอบว่า “ ถ้าท่านเอ็นดูกรุณาเรา ๆ ก็มีความยินดีสาธุอนุโมทนาด้วยท่าน ” ว่าแล้วหน่อพระพิชิตมารก็อุตสาหะดำรงทรงพระกายขึ้นสู่รถแห่งสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็หันหน้ารถไปตามมรรค พาพระยาสังขจักร์ไป

        ครั้นถึงกึ่งกลางมรรคหนทาง สมเด็จอมรินทราธิราชกับองค์ดวงสุชาดาผู้เป็นอัครมเหสีนั้นได้นำเอาโภชนาอาหารอันเป็นทิพย์กับน้ำทิพย์ลงมาถวาย และจำแปลงเพศเป็นบุรุษยืนอยู่ตรงหน้ารถแล้วร้องว่า “ ดูก่อนนายสารถีผู้เจริญเอ๋ย ท่านอยากข้าวน้ำโภชนาอาหารหรือ เราจะให้ ”

       เมื่อโกสีย์อมรินทราธิราชกับนางสุชาดากล่าวดังนั้น สมเด็จพระพสัพพัญญูเจ้า ซึ่งแปลงเพศเป็นนายสารถีขับรถจึงตรัสตอบว่า “ มานพผู้เจริญบุรุษผู้ทุพลภาพผู้หนึ่งมาในรถเราด้วย มีความลำบากเวทนานัก ท่านจะให้ข้าวน้ำแก่เราท่านก็ให้เถิด เราจะให้ เราจะได้ให้แก่บุรุษทุพลภาพนั้นบิโภค ”

       ท้าวโกสีย์อมรินทร์กับนางสุชาดาก็ถวายข้าวน้ำโภชนาหารอันเป็นทิพย์ แก่องค์สมเด็จพระมหาบุรุษสัทธรรมสารถีผู้ประเสริฐ พระองค์ก็ประทานให้แก่พระบรมโพธิสัตว์บรมสังขจักร์ได้เสวยข้าวน้ำโภชนาอาหารอันเป็นทิพย์

        ครั้นพระองค์เสวยอิ่มหน่ำสำเร็จแล้ว ด้วยเดชะข้าวน้ำอาหารอันเป็นทิพย์อุปัทวโทมนัสทุกขเวทนาในสรีรกาย ก็อันตรธานหายไปสิ้น พระองค์ก็มีสรีรกายอันเป็นสุขเสมอเหมือนแต่กาลก่อน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็พาพระยาสังขจักร์ไปใกล้บุพพารามวิหารแล้ว