พระอนาคตวงศ์
กัณฑ์ที่ ๑

 


พระอาริยเมตไตรย
ต่อ ๓

       ลำดับนี้จะพรรณนาไม้พระศรีรัตนมหาโพธิต่อไป อันว่าต้นไม้กากะทิงที่เป็นไม้ศรีมหาโพธินั้นมีปริมณฑลไปได้ ๑๒๐ ศอก มีกิ่งทั้ง ๕ โดยรอบคอบนั้นก็ได้ ๑๒๐ ศอก แต่ต้นขึ้นไปสุดปลายกิ่งนั้นได้ ๒๔๐ ศอก โดยสูงโดยสะกัดเป็นปริมณฑลเหมือนกัน มีใบสดเขียวอยู่เป็นนิจจกาล ทรงดอกและเกษรหอมฟุ้งขจรมิรู้ขาด เปรียบประดุจดอกปาริชาติในดาวดึงสาสวรรค์ก็เหมือนกัน ฯ

       สมเด็จพระสัพพัญญูองค์พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้าทรงทวัตติงสมหาปุริสลักษณะประกอบไปด้วยพระฉัพพรรณรังสีพระพุทธรัศมี ๖ ประการ สว่างออกจากพระสรีรกายเป็นอันงามประดุจดังท่อธารสุวรรณธาราน้ำทองอันไหลหลังออกมา เต็มไปเปี่ยมบริบูรณ์ไปด้วยสุขทุกเมื่อ มีสติระลึกถึงพระพุทธคุณเป็นอารมณ์เนือง ๆ ด้วยเดชานุภาพพระพุทธคุณนั้น

        มนุษย์ทั้งหลายได้บริโภคซึ่งโภชนาอาหารแต่เนื้อแห่งเข้าสารสาลี อันบังเกิดมีมาเอง ได้ประดับประดาสรีกายและผ้านุ่งผ้าห่มเครื่องอาภรณ์ต่าง ๆ แต่ต้นไม้กามพฤกษ์ประพฤติเลี้ยงชีวิตเป็นบรมสุข ฯ ปางเมื่อพระองค์ผู้ทรงสวัสดิภาคเป็นอันงาม ทรงพระนามว่า พระศรีอริยะเมตไตรยเจ้า ตรัสแสดงพระธรรมสัทธรรมเทศนา พระธรรมจักกัปปวัตนสูตรนั้น

       มนุษย์และเทวดาทั้งหลายได้ซึ่งธรรมภิสมัยมรรคและผลธรรมวิเศษ ประมาณ ๓ แสนโกฏิ ฯ อันว่าองค์พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้า ทรงสร้างพระบารมีมาสิ้นกาลช้านานถึง ๑๖ อสงไขยกำไลแสนมหากัปป์ มีศีลบารมีทานเป็นบารมีเป็นต้นเต็มบริบูรณ์ กองพระบาารมีทั้งหลายที่สำเร็จเป็นองค์พระสรรเพ็ชญ์ พุทธเจ้านั้นคือ พระบารมีของพระองค์ครั้ง ๑ ปรากฏชัดเจนเป็นบรมัตถบารมี อันยิ่งยอดกว่าพระวารมีทั้งปวง ฯ

       สมเด็จพระพุทธเจ้าของเราจึงนำมาซึ่งอดีตนิทาน แห่งกองพระบารมีของพระสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยมาตรัสพระสัทธรรมเทศนาแก่พระสารีบุตรเถระเจ้าว่า อตีเต กาเล ในกาลล่วงลับมาแล้วช้านาน มีองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระสิริมิตรได้ตรัสในโลก

       ครั้งนั้นองค์พระศรีอาริยเมตไตรยได้เสวยศิริราชสมบัตในเมืองอินทปัตต์มหานคร ทรงพระนามว่าบรมสังขจักร์เสด็จทรงนั่งอยู่ภายใต้เศวตฉัตร พระองค์มีพระทัยปราถนาว่าผู้ใดมาบอกข่าวว่า พระพุทธรัตนะ มีพระธรรมรัตนะ บังเกิดมีแล้ว พระองค์ก็จะสละศิริราชสมบัติบรมจักร์ พระราชทานให้แก่บุคคลผู้นั้นแล้วพระองค์ก็จะเสด็จพระราชดำเนินไป ยังสมเด็จพระพุทธเจ้า ฯ

        ในกาลนั้น ยังมีบุตรเข็ญใจผู้หนึ่งไปบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ในพระพุทธศาสนา ด้วยมารดาของสามเณรนั้นเป็นทาษทาษีอยู่ในตระกูลหนึ่ง สามเณรคิดจะแสวงหาทรัพย์ไปให้แก่มารดาให้พ้นจากการเป็นทาษทาษี จึงเที่ยวไปโดยลำดับจนถึงกรุงอินทปัตต์มหานคร ฝูงมหาชนชาวพระนคร ไม่รู้จักว่าสามเณรนั้นเป็นผู้ใดเป็นอย่างไร

       ครั้นเห็นเข้าก็สงสัยว่าเป็นมหายักษ์ ได้พากันจับไม้ไล่ทุบตีสามเณร ฯ สามเณรกลัวก็วิ่งหนีมหาชนเข้าไปจนถึงพระราชวัง ไปยืนอยู่ตรงพระพักตร์ของพระบรมสังขจักร์ พระองค์ ๆ จึงตรัสถามว่ามานพนี้มีนามใด สามเณรกราบทูลว่า อาตมาภาพมีนามว่าสามเณร พระองค์จึงตรัสถามว่าชื่อสามเณรกระนั้นหรือ สามเณรจึงกราบทูลว่า ข้าพเจ้ามีนามว่าสามเณรนั้น ด้วยเหตุว่าข้าพเจ้ามิได้กระทำบาปในภายนอก แล้วตั้งอยู่ภายในแห่งกุศล เหตุดังนี้จึงมีนามว่าสามเณร

       พระองค์ก็ทรงตรัสถามอีกว่า นามกรของท่านนั้นบุคคลผู้ใดให้แก่ท่าน ? สามเณรจึงกราบทูลว่า พระอาจารย์ของข้าพเจ้าให้แก่ข้าพเจ้า พระองค์จึงตรัสถามว่า อาจารย์ของท่านมีนามนี้หรือ สามเรณจึงกราบทูลว่า อาจารย์ของอาตมาท่านมีนามว่าภิกษุ พระองค์จึงตรัสถามอีกว่า ภิกษุกระนั้นหรือ สามเณรจึงกราบทูลว่าอาจารย์ของข้าพเจ้านั้นชื่อว่า รัตนะเป็นแก้วอันมีหาค่ามิได้

       ครั้นทรงสดับว่าพระสังฆรัตนะในพระพุทธศาสนาหาได้เป็นอันยากยิ่งนัก พระองค์ก็มีความชื่นชมยินดีหาที่อุปมามิได้ คำนึงอยู่ในพระหฤทัยว่า จะเสด็จลงจากอาศน์ไปนมัสการสามเณรที่ใกล้ด้วยความปิติ กายของพระองค์ก็ลอย ตกไปลงหน้าของสามเณร เดชะที่พระองค์มีพระหฤทัยเลื่อมใสในพระสังฆรัตนะ ดอกประทุมชาติก็บังเกิดผุดขึ้นรองรับพระองค์ไว้ มิให้ได้เป็นอันตราย

       พระองค์จึงถวายนมัสการสามเณรโดยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วจึงตรัสถามสามเณรต่อไปว่า พระสังฆรัตนะอาจารย์ของท่านนั้น เป็นบุคคลใดอยู่กรุงใดเมืองใด สามเณรก็ทูลว่า อาจารย์ของข้าพเจ้านั้น คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระสิริมิตรสัพพัญญู พระองค์โปรดประทาน ให้นามชื่อว่าพระสังฆรัตนะ แก่พระอาจารย์ของข้าพระเจ้า