พระอนาคตวงศ์
กัณฑ์ที่ ๑

 


พระอาริยเมตไตรย

        ( เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิสาขาย สตฺตวีสติโก ฏิธนปริจฺจาเคน การิเต ปุพฺพาราเม วสฺสาวาสํ วสนุโต อชิตตฺเถรํ อารพฺภ ทส โพธิสตฺตาติ อิมํ ธมฺมเทสนํ กเถสีติ ฯ)

       ( บัดนี้จะได้ วิสัชชนาในเรื่องพระอนาคตวงศ์โดยพุทธภาษิตปริยาย มีเนื้อความตามบาลีว่า เอกํสมยํ ) ครั้งหนึ่งสมเด็จพระสรรเพ็ชญ์พุทธเจ้าเสด็จยับยั้งอาศัยใกล้กรุงสาวัตถีมหานคร วสนุโต

        เมื่อสมเด็จพระชินวรผู้ทรงญาณสำราญพระอิริยาบท เข้าพระพรรษาอยู่ในบุพพาราม อันพระวิสาขา สร้างถวายสิ้นทรัพย์ ๒๗ โกฏิ ฯ

       ( บาลีและข้อความในวงเล็บทุกแห่งได้เพิ่มขึ้นเมื่อ พ. ศ. ๒๔๗๔ เพื่อให้เทศน์ได้สดวก )

       ครั้งนั้น พระองค์ ทรงปรารถซึ่งพระอชิตเถระผู้หน่อ บรมพุทธธางกูรอริยเมตไตรยเจ้าให้เป็นเหตุ พระโลกเชฏฐ์ จึงตรัสพระธรรมเทศนาสำแดงซึ่งพระโพธิสัตว์ทั้ง ๑๐ องค์ อันจะมาตรัสเป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ฯ

        ครั้งนั้นพระธรรมเสนาสารีบุตรเถระเจ้า จึงกราบทูลอาราธนา พระองค์ก็นำมาซึ่งอดีตนิทาน แห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าทั้ง ๑๐ พระองค์ ทั้งจะลงมาตรัสในอนาคตกาลเบื้องหน้าต่อไป เป็นใจความว่า เมื่อศาสนาพระตถาคตครบ ๕๐๐๐ ปีแล้ว

        ฝูงสัตว์ก็มีอยู่ถอยลง คงอยู่ ๑๐ ปีเป็นอายุขัย ครั้งนั้นแล จะบังเกิดมหาภัยเป็นอันมาก มีสัตถันตะระกัปป์มนุษย์ทั้งหลายจะวุ่นวายเป็นโกลาหล เกิดรบพุ่งฆ่าฟันซึ่งกันและกัน จะจับไม้และใบหญ้ากลายกลับเป็นหอกดาบแหลนหลาว อาวุธน้อยใหญ่ไล่ทิ่มแทงกัน

        ฝูงมนุษย์ทั้งหลายที่มีปัญญา ก็หนีซุกซ่อนตัวอยู่ในซอกห่วยหุบเขา จะเหลือก็แต่มนุษย์ที่มีปัญญา นอกกว่านั้นแล้วก็ถึงซึ่งพินาศฉิบหายเป็นอันมาก เมื่อพ้น ๗ วันล่วงไปแล้ว มนุษย์ทั้งหลายที่เร่นซ่อนอยู่นั้น เห็นสงบสงัดเสียงคนก็ออกมาจากที่เร้นซ่อน

       ครั้นเห็นซึ่งกันและกันก็มีความสงสารรักใคร่กันเป็นมาก เข้าสวมกอดกอดรัดร้องไห้รักกันไปมา บังเกิดมีความเมตตากรุณากันมากขึ้นไป ครั้นตั้งอยู่ในเมตตาพรหมวิหาร แล้วก็อุตสาหะรักษาศัล ๕ จำเริญกรรมฐานภาวนาว่า อยํอตฺตภาโว อันกายของอาตมานี้ อนิจฺจํ หาจริงมิได้ ทุกฺขํ

       เป็นกองแห่งทุกข์ฝ่ายเดียว หาสัญญาสำคัญมั่นหมายมิได้ ด้วยกายอาตมาไม่มีแก่นสาร ฯ เมื่อมนุษย์ทั้งหลาย ปลงปัญญาเห็นในกระแสพระกรรมฐานภาวนาดังเนือง ๆ อายุของมนุษย์ทั้งหลายก็วัฒนาจำเริญขึ้นไป ที่มีอยู่ ๑๐ ปีเป็นอายุขัยนั้นค่อยทวีขึ้นไปถึง ๒๐ ปีเป็นอายุขัย

       ค่อยทวีขึ้นไปทุกชั้น จนอายุได้ ร้อย พัน หมื่น แสน โกฏิ จนถึงอสงไขยหนึ่ง ครั้นนานไปเห็นว่าไม่รู้จักความตายแล้ว ก็มีความประมาทมิได้ปลงใจในกอง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา อายุก็ถอยน้อยลงมาทุกทีจนถึง ๘ หมื่นปี ฝนตกเป็นฤดูคือ ๕ วันตก ๑๐ วันตก ในชมพูทวีปทั้งปวงมีพื้นแผ่นดินราบคาบสม่ำเสมอเป็นอันดี ฯ

       ครั้งนั้น กรุงพาราณสีเปลี่ยนนามชื่อว่าเกตุมมะดี โดยยาวได้ ๑๖ โยชน์โดยกว้างได้โยชน์ ๑ มีไม้กัลลปพฤกษ์เกิดทั้ง ๔ ประตูเมืองแก้ว ๗ ประการ ประกอบเปนกำแพงแก้ว ๗ ชั้นโดยรอบพระนคร

       ครั้งนั้นมหานฬกาลเทวบุตรก็จุติลงมาเกิดเป็นสมเด็จบรมจักรพรรตราธิราช ทรงพระนามว่าพระยาสังขจักร์ เสวยศิริราชสมบัติในเกตุมมะดีมหานคร ในท่ามกลางเมืองนั้นมีปรางค์ปราสาททองอันแล้วด้วยแก้ว ๗ ประการ

        ผุดขึ้นมาแต่มหาคงคา ลอยมายังนภาดลอากาศเวหา มาตั้งอยู่ในท่ามกลางพระนคร ปรางค์ปราสาทนี้ แต่กาลก่อนเป็นปรางปราสาทแห่งสมเด็จพระเจ้ามหาปะนาท ครั้นสิ้นบุญพระเจ้ามหาปะนาทแล้ว ปรางค์ปราสาทนั้นก็จมลงไปในคงคา เมื่อสมเด็จบรมจักร์จอมทวีปผู้ทรงพระนามว่า พระยาสังขจักร์ได้เสวยราชสมบัติในเกตุมมะดีนั้น ปรางค์ปราสาทก็ผุดขึ้นมาแต่มหาคงคา

       ด้วยอานุภาพแห่งบรมจักร์ ประดับไปด้วยหมู่พระสนมแสนสาวสุรางค์ทั้งหลายประมาณ ๘ หมื่น ๔ พันพระองค์ มีพระราชโอรสประมาณพันองค์

       พระราชโอรสผู้ใหญ่นั้น ทรงพระนามว่าอชิตราชกุมาร เจ้าอชิตราชกุมารนั้น เป็นปรินายกแก้ว แห่งสมเด็จพระราชบิดา ผู้เป็นพระยาบรมสังขจักร์อันบริบูรณ์ไปด้วยแก้ว ๗ ประการ คือจักร์แก้ว ๑ นางแก้ว ๑ แก้วมณีโชติ ๑ ช้างแก้ว ๑ ม้าแก้ว ๑ คฤหบดีแก้ว ๑ ปรินายกแก้ว ๑ อันสมบัติบรมจักร์นั้นย่อมมีทุกสิ่งทุกประการ เป็นที่เกษมสานต์ยิ่งนักเหลือที่จะพรรณนาในกาลนั้น ฯ