พระอนาคตวงศ์
กัณฑ์ที่ ๑

 


พระอาริยเมตไตรย
ต่อ ๒

       ฝ่ายว่า มหาปุโรหิตผู้ใหญ่ของสมเด็จพระเจ้าสังขจักร์นั้น เป็นมหาพราหมณ์ประกอบไปด้วยอิสสริยะยศเป็นอันมาก หาผู้เปรียบเสมอมิได้ มีนามชื่อว่าสุตพราหมณ์

        นางพราหมณีผู้เป็นภรรยานั้นมีนามว่า นางพราหมณีวดี ฯ ในกาลนั้น สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้า รับอาราธนานิมนต์แห่งฝูงเทพดาทั้งหลาย ก็จุติลงมาจากดุสิตสวรรค์เทวโลก ลงมาถือเอาปฏิสนธิในครรภ์แห่งนางพราหมณวดีภรรยาแห่งมหาปุโรหิตพราหมณ์ผู้ใหญ่ในวันบัณณสีอุโบสถ เพ็ญเดือน ๘ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เวลาปัจจุสสมัยใกล้รุ่ง พร้อมด้วยอัศจรรย์ทั้งหลาย ๑๒ ประการ

        เทพดาพากันกระทำสักการบูชาดังห่าฝนตกลงมาในอากาศ แล้วมีปรางค์ปราสาททั้ง ๓ ผุดขึ้นมา เพื่อจะให้เป็นที่สำราญ แห่งพระบรมโพธสัตว์เจ้า ปราสาท ๑ ชื่อว่าศิริวัฒนะ ปราสาท ๑ ชื่อว่าสิทธัตถะ ปราสาท ๑ ชื่อว่า จันทกะปรางค์ปราสาททั้ง ๓ นี้เป็นที่จำเริญพระศิริสวัสดิมงคล ควรจะให้สำเริจประโยชน์ทุกประการ

        ปรากฏงามดังดวงจันทร์ แล้วหอมฟุ้งไปด้วยกลิ่น อันหอมมิรู้ขาดเดียระดาษไปด้วยนางนาฏพระสนมประมาณ ๗ แสน ส่วนสมเด็จพระอัครมเหสีแห่งสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย บรมโพธิสัตว์เจ้านั้น ทรงพระนามว่า พระจันมุขีเป็นประธานแห่งนางบริวารทั้ง ๗ แสน มีพระราชโอรสองค์ ๑ ทรงพระนามว่า พราหมณ์วัฒนกุมาร

        เมื่อพระมหาบุรษผู้ประเสริฐ ทรงพระสำราญแรมอยู่ในปรางค์ปราสาททั้ง ๓ ควรแก่ฤดูโดยนิยมดังนี้ ฯ จนพระองค์มีพระชนม์ได้ ๘ หมื่นปี แล้วจึงเสด็จขึ้นสู่รสแก้วอันเป็นทิพย์วิมานมีศิริหาเสมอมิได้ เสด็จไปประพาสอุทยานทอดพระเนตรเห็นจตุรนิมิตร์ทั้ง ๔ ประการนี้เป็นเทวทูตยังธรรมสังเวชให้เกิดขึ้นก็มีพระทัยน้อมไปในบรรพชาพิจรณาเห็นเพศสมณะนั้นเป็นอารมณ์

       ในขณะนั้นอันว่าปรางค์ปราสาทแก้วซึ่งทรงพระสำราญยับยั้งอยู่นั้น ก็ลอยไปในอากาศเวหาพร้อมทั้งพระราชโอรสและหมู่นิกรอนงนางกัลยาทั้งหลายไปกับ ทั้งปรางค์ปราสาท ครั้งนั้นเปรียบประดุจดังว่า พระยาสุวรรณหงส์ทองอันบินไปในอากาศเวหา

        ฝ่ายฝูงเทพดาทั้งหลายในหมื่อนจักรวาล ก็ชวนกันถือเครื่องสักการะบูชา เหาะตามมากระทำสักการะบูชาในอากาศเวหา แน่นเนื่องกันมาเป็นอเนกอสงไขยทั้งท้าวพระยามหากษัตริย์ทั้งหลาย ๘ หมื่อน ๔ พันพระนครก็ดี และชาวนิคมประจันตประเทศชนบททั้งหลายก็ดี

        ได้ชวนกันมากระทำการบูชาด้วยดอกไม้และของหอมมีประการต่าง ๆ เต็มเดียระดาษกลาดเกลื่อนไปทั้งชมพูทวีป เหล่าพวกอสูรทั้งหลาย ก็เข้าแวดล้อมพิทักษ์รักษาปรางค์ปราสาท ฯ ฝ่ายพระยานาคราชนั้น กระทำการบูชาด้วยแก้วมณี พระยาสุวรรณราชปักษีกระทำสักการบูชาด้วยแก้ว อันเป็นเครื่องประดับตน

       พระยาคนธรรมทั้งหลายนั้นกระทำการบูชา ด้วยเครื่องทิพย์ดุริยางค์ฟ้อนรำมีประการต่าง ๆ ฯ ปางเมื่อองค์สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรยเจ้าเสด็จออกบรรพชานั้น ฝูงเทวดา อินทร์ พรหม ยมยักษ์ และมนุษย์ นาค ครุฑ คนธรรพ ทั้งหลายกระทำสักการบูชาทั้งพระยาบรมจักรพรรตราธิราชเจ้าผู้ประเสริฐ และพร้อมด้วยเหล่านางสนมนางในนับมิได้ และโยธาหาญหมู่จตุรงค์องค์ที่พยุหะเสนาอเนกนับมิได้ เสด็จไปที่ใกล้แห่งสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์

        ครั้งนั้นมหาชนทั้งหลายทั้งปวง มีความปรารถนาจะทรงบรรพชาแล้วก็ลอยไปในอากาศ กับด้วยพระบรมโพธิสัตว์เจ้าด้วยเดชานุภาพแห่งบรมจักร์

        และอนุภาพแห่งพระศรีอาริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์นั้น ครั้นเสด็จถึงควงไม้ พระศรีรัตนมหาโพธิ คือไม้กากะทิงแล้ว ปรางค์ปราสาทแก้วก็เลื่อนลอยลงจากอากาศใกล้ในที่ปริมณฑลไม้มหาโพธินั้น ฝ่ายเท้ามหาพราหมก็เชิญซึ่งพานผ้ากาสาวะพัตร์ กับเครื่องบริกขารทั้ง ๘ น้อมเข้าไปถวายสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์แล้วพระองค์จึงชักเอาพระแสงดาบแก้วตัดพระเกศเกล้าให้ขาด แล้วโยนขึ้นไปในอากาศเวหาก็ถือเครื่องบริกขารทั้ง ๘ ประการ ทรงเพศบรรพชาเสร็จแล้ว

       ส่วนว่าบริวารทั้งหลายทั้งปวงทั้ง ก็ชวนกันบรรพชาบวชตามสมเด็จพระโพธิสัตว์เจ้าเป็นอันมาก ฝ่ายพระมหาบุรุษราช องค์พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้านั้น กระทำความเพียรอยู่ที่ใกล้พระมหาโพธิสิ้นประมาณเจ็ดวัน

       ในเมื่อ เวลาเย็นพระองค์ก็เสด็จเข้าไปสู่ควงไม้พระมหาโพธิขึ้นทรงนั่งเหนือรัตนอปราชิตบัลลังก์พระที่นั่งแก้ว แล้วทรงพระคำนึงระลึกถึงบุพพชาติของพระองค์ด้วยปุพเพวาสญาณ ทรงเห็นโดยลำดับกันประจักแจ้งในปฐมมยาม ฯ ครั้นล่วงเข้ามัชฌิมยามทรงเห็นซึ่งจติปฏิสนธิแห่งสัตว์ทั้งหลาย ด้วยทิพย์จักษุฌาน ฯ ครั้นล่วงไปในปัจฉิมมยามที่สุดนั้น พระองค์พิจารณาซึ่ง ปัจจัยการ อันประกอบไปด้วยองค์ ๒ ประการ

        ตามกระแสพระปฏิจสมุปบาทธรรม ด้วยสามารถอนุโลมตรัสรู้ตลอดกัน ในลำดับนั้นก็ได้สำเร็จแก่พระปรมาสัมโพธิญาณ ทรงพระนามว่า อรหังสัมมาสัมพุทธเจ้าเจ้าเป็นอาทิ ปรากฏเป็นพระพุทธคุณทั่วโลกธาตุ เห็นพระนิพพานอันมิได้รู้แก่รู้ตายเป็นธรรมาภิสมัย

        ให้บังเกิดแก่ฝูงเทพดาและมนุษย์ทั้ง ได้ตรัสรู้มรรคและผลหาประมาณมิได้ ฯ และองค์พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้าผู้ทรงพระภาคมีประเภทเป็นอันงามนั้น พระองค์มีพระกายสูงได้ ๘๘ ศอก พระองค์ใหญ่กว้างได้ ๒๕ ศอก ตั้งแต่ฝ่าพระบาทถึงพระชานุมณฑลเข่ามีประมาณ ๒๒ ศอก ตั้งแต่ฝ่าพระบาทถึงพระชามุณฑลขึ้นไปถึงพระนาภีประมาณ ๒๒ ศอก

        ตั้งแต่พระนาภีขึ้นไปถึงพระรากขวัญทั้ง ๒ ประมาณ ๒๒ ศอก ตั้งแต่พระรากขวัญขึ้นไปถึงพระเศียรเกล้าที่สุด ยอดพระอุณหิตเปลวพระพุทธรัศมีนั้น ประมาณ ๒๒ ศอก เสมอกันทั้ง ๔ ส่วน พระรากขวัญทั้ง ๒ แต่ละอันนั้นยาวได้ ๕ ศอก อันว่าพระหัตถ์ทั้ง ๒ ซ้ายขวานั้น ยาวได้ ๔๐ ศอก

        ในระหว่างภายในแห่งพระพาหาทั้ง ๒ ซ้ายขวานั้นมีประมาณ ๒๕ ศอก พระอังคุลีแต่ละอันยาวได้ ๕ ศอก ฝ่าพระหัตถ์แต่ละข้างกว้างได้ ๕ ศอก พระศอโดยกลมรอบมีประมาณ ๕ ศอก โดยยาวก็ ๕ ศอก พระโอษฐ์เบื้องบนเบื้องล่างกว้าง ๑๐ ศอกเสมอกันเป็นอันดี

        พระชิวหาอยู่ภายในพระโอษฐ์ยาว ๑๐ ศอก พระนาสิกสูงยาวลงมาได้ ๗ ศอก ดวงพระเนตรทั้ง ๒ โดยกว้าง ๗ ศอก แววพระเนตรทั้ง ๒ ที่ดำกลมเป็นปริมณฑลอยู่นั้น มีประมาณ ๕ ศอก พระขนงแต่ละข้างยาวได้ ๕ ศอก

        ในระหว่างพระขนงทั้ง ๒ กว้างได้ ๔ ศอก พระกรรณทั้ง ๒ แต่ละข้างยาวได้ ๗ ศอก ดวงพระพักตรนั้นเป็นปริณฑล กลมดังดวงพระจันทร์เมื่อวันเพ็ญมีประมาณกลมได้ ๒๕ ศอก พระอุณหิตที่เวียนเป็นทักขิณาวัฏฏ์รอบพระเศียรเป็นเปลวพระพุทธรัศมีขึ้นไปนั้น โดยกลมรอบได้ ๒๕ ศอก ฯ