พระอนาคตวงศ์
กัณฑ์ที่ ๔

 


พระดิสสะ
เริ่มต้น

        ( สตฺถา “ สาริปุตฺต นรสีหสฺส สาสนกาเล อติกฺกนฺเต มหาปฐวิยา โยชนมตฺตํ อภิรุฬฺหาย มณฺฑกปฺเป ติสฺโส จ สุมงฺคโล จ เทฺว พุทฺธา ปุปฺปชฺชิสฺสนฺตีติ อิมํ ธมฺมเทสนํ กเถสีติ ) ฯ

        ( อนุสนธิพระธรรมเทศนา มีปุพพาปรสืบเนื่องมาโดยลำดับ บัดนี้จะได้วิสสัชชนา ในประวัติกาลแห่งสมเด็จพระพิชิตมารญาณสัพพัญญู ทรงพระนามว่า ดิสสะ ต่อไป ดำเนินเนื้อความว่า สตฺถา ) สมเด็จพระจอมโมลีศรีสรรเพ็ชร์พุทธเจ้าของเรา ตรัสแก่พระสารีบุตรเถระเจ้าว่า

        ในเมื่อสิ้นศาสนาพระนรสีหะแล้ว แผ่นดินมัณฑกัปป์ก็เกิดไฟประลัยโลก พินาศสังหารผลาญล้างโลกให้ฉิบหาย จนเกิดกัปป์ตั้งแผ่นดินขึ้นมาใหม่ในกาลนั้นเป็นสุญญกัปป์แผ่นดินหนึ่ง ในเมื่อสุญญกัปป์ฉิบหายล่วงแล้วและเกิดแผ่นดินขึ้นใหม่ มีนามว่า มัณฑกัปป์อีกเล่า พระเจ้า ๒ พระพุทธองค์จะบังเกิดในมัณฑกัปป์นั้น

        คือช้างราฬาคีรีหัตถีที่พระเทวทัตต์ให้พระเจ้าอชาตศัตรูปล่อยออกมาปรารถนาจะให้แทงองค์สมเด็จพระพุทธเจ้านั้น ก็เป็นบรมโพธิสัตว์สัพพัญญูเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระดิสสสัพพัญญู คือช้างปาลิไลยหัตถีนั้นตัวหนึ่งก็เป็นบรมโพธิสัตว์จักได้เป็นพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระสุมงคลพระพุทธเจ้าสองพระองค์นั้นได้ตรัสในมัณฑกัปป์อันเดียวกัน

        แต่ช้างธนบาลหัตถีคือราฬาคีรีนั้นจักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าก่อน ทรงพระนามว่า พระดิสสสัพพัญญูเจ้า เมื่อพระดิสสสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสนั้น พระองค์มีบวรกายสูงได้ ๘๐ ศอก ไม้ไทรเป็นไม้ศรีรัตนะมหาโพธิมีพระชนมายุยืนได้ ๘ หมื่นปีเป็นกำหนด พระพุทธรัศมีสว่างเสมอดังเปลวเพลิง อันสุกรุ่งเรื่องยังโลกธาตุทั้งปวง ให้สว่างไปสิ้นกลางวันกลางคืน

        พระพุทธรัศมีที่พุ่งผุดออกจากพระสรีกายเป็นเกลียวอันเดียวกัน แล้วก็แตกออกไปเป็นสีต่าง ๆ ก็มีพระพุทธรัศมีอย่างหนึ่ง เวียนเป็นทักขิณาวัฏฏ์ เวียนขวาขาวดุจสีสังข์ พระพุทธรัศมีอย่างหนึ่ง ปรากฏเป็นพุ่มกลุ่มออกไปเปรียบประดุจเศวตฉัตรก็มี พระพุทธรัศมีอย่างหนึ่งพุ่งพวยเรียวรีดเร็วออกไปนั้น

        เปรียบเหมือนชายธงก็มีพระพุทธรัศมีออกจากพระสรีรกาย แล้วล้อมพระองค์ไว้นั้น ห้อยย้อยแพรวพราวเป็นสายงามประดุจดังว่าระบายสายเศวตฉัตร ประมาณพันหนึ่งก็มี ตกว่าพระพุทธรัศมีทั้งหลาย ที่ออกจากสรีรกายนั้น ดูเป็นช่อพัวพันพระองค์อยู่โดยรอบคอบ ควรจเกิดมหัศจรรย์ยิ่งนัก ครั้งนั้นด้วยเดชะพระพุทธานุภาพเกิดไม้กัลปพฤกษ์ขึ้นมา ให้สำเร็จประโยชน์แก่หมู่มนุษย์ทุกสิ่งทุกประการ มิได้ขัดสนได้บริโภคเลี้ยงชีวิตประดับประดา สรรพาภรณ์ทั้งหลายทั้งปวงเป็นผาสุกภาพโดยสะดวก ฯ

        ดูก่อนสำแดงธรรมเสนาสารีบุตรอันว่าช้างนาฬาคีรีหัตถีบรมโพธิสัตว์นั้น ได้กระทำกุศลสร้างพระบารมีมาเป็น อันมากอยู่แล้วแต่กอง พระบารมีครั้งหนึ่ง ปรากฏเป็นยอดยิ่งพระบารมี เป็นปรมัตถคุณอันเลิศประเสริฐในโลกนี้ มีพระพุทธฏีกาฉะนี้แล้วจึงนำซึ่งอดีตนิทานมาตรัสพระสัทธรรมเทศนาว่า อตีเต กาเล ในอดีตกาลล่วงลับไปแล้วช้านาน