พระอนาคตวงศ์
กัณฑ์ที่ ๔

 


พระดิสสะ
หน้า ๓

       ครั้นสำเภาแล่นไปในเบื้องหน้า จนถึงเวลาเที่ยงคืนน้ำในท้องมหาสมุทร์เป็นสีพราย เปรียบเหมือนดอกไม้ไฟ เจ้ารามกุมารสำคัญในใจว่าเพลิงดอกไม้ไฟนั้นมีอยู่ในท้องมหาสมุทร์ถ้าเราลงไปได้นำขึ้นมา ความทราบถึงพระบิดา ก็จะยกศิริราชสมบัติให้แก่เรา คิดแล้วก็โจนลงไปในท้องมหาสมุทร์และปลาใหญ่ก็กินกุมารนั้นเสีย ฯ

       ครั้นเวลารุ่งสว่างขึ้นมา ถึงตะวันเที่ยงสำเภาเล่นไป เจ้าปมาทกุมารนั้น เห็นดวงอาทิตย์ปรากฏในท้องมหาสมุทร์ ก็สำคัญว่า ทองคำเนื้อ บริสุทธิ์ปราศจากราคี มีอยู่ในน้ำ ถ้าเราลงไปดำเอาขึ้นมาได้ เห็นว่าชัยชนะจะพึงมีแก่อาตมา ถ้าพระบิดาทรงทราบ ก็จะยกศิริราชสมบัติให้แก่เรา คิดแล้วก็โจนน้ำดำลงไปและปลาใหญ่ก็กินกุมารนั้นเสีย ฯ

       สำเภาแล่นไปอีกจนถึงเมืองหนึ่งเข้า เจ้าธัชชกุมารนั้นขึ้นไปในเมือง เพื่อจะสำแดงศิลปศาสตร์ของตน จึงร่ายมนฅ์แล้วก็แปลงกายเป็นอสรพิษเลื้อยไปในท่ามกลางมหาชนทั้งหลาย ชาวเมืองเห็นงูร้ายเลื้อยมาดังนั้นก็ชวนกันกลุ้มรุมตีด้วยไม้ค้อนก้อนดิน กระทำให้พินาศฉิบหายตายอยู่ในที่นั้น ฯ

       ตกว่าพระราชกุมารทั้งสี่ตายสิ้น ด้วยศิลปศาสตร์ของอาตมาอันหาปัญญสำคัญมิได้ ด้วยคิดวิปลาสผิดไป ก็ได้ซึ่งความฉับหายดังนี้ ยังเหลืออยู่แต่เจ้าธรรมเสนกุมารผู้เป็นพี่ชายอาศัยอยู่ในเมืองนั้น ยังมีพระฤๅษีทั้งหลายประมาณ ๘ หมื่น มาแต่ป่าหิมพานต์ เหาะมาโดยอากาศเวหาลงในเมืองนั้น

        แล้วก็เข้าไปโคจรบิณบาตในท่ามกลางเมือง เจ้าธรรมเสนกุมารทัสสนาเห็นพระดาบสทั้งหลายเดินตามกันมาเป็นอันมาก จึงคิดว่าเรารู้วิชาการศิลปศาสตร์มาแต่สำนักตักศิลา ก็เรียนมามากอยู่แล้ว ยังไม่สามารถเหาะไปในอากาศได้ พระดาบสทั้งหลายเหล่านี้ ล้วนแต่เพาะได้ด้วยกันสิ้นทุกองค์ จเป็นเหตุใดกันหนอ จำเราจะเข้าไปไต่ถาม พระดาบสดูสักหน่อย คิดแล้วเจ้าธรรมเสนก้เข้าไปหาพระดาบสทั้งหลายแล้วถามว่า

       “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายผู้เจริญ พระผู้เป็นเจ้านี้เหาะได้ด้วยเพตุใดหรือ ” พระดาบสทั้งหลายจึงตอบว่า “ ดูก่อนมาณพพระฤๅษีทั้งหลายเหล่านี้ ย่อมไปอาศัยอยู่ในมหาวันต์ราวป่าใหญ่แล้วก็ได้ซึ่งวิชชาการเหาะได้ในอากาศ เหตุดังนั้นเราจึงได้มาถึงเมืองนี้ ฯ ” เจ้าธรรมเสนกุมารจึงว่า ข้าพเจ้าก็มีศิลปศาสตร์เชี่ยวชาญชำนาญอยู่ ในเมืองจำปากนครหาผู้จะเสมอมิได้ เหตุไรข้าพเจ้าจึงมิอาจจะเหาะเหินเดินไปได้ในอากาศได้ ถ้าข้าพเจ้ารู้วิชชาศิลปศาสตร์เหาะได้ ด้วยอุบายของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะขอเป็นทาษพระผู้เป็นเจ้า ๆ จงกรุณาข้าพเจ้าด้วยเถิด ฯ

       พระดาบสได้ฟังพระราชกุมารว่าดังนั้นก็มีความเอ็นดูกรุณา แล้วก็แสดงอิทธิฤทธิ์พากุมารธรรมเสนนั้น เหาะไปยังป่าหิมพานต์ ให้ธรรมเสนราชกุมารบวชเป็นดาบส แล้วสอนให้กระทำสมณะบริกรรมภาวนาเจริญฌาน ยังอภิญญาณสมาบัติให้บังเกิดบริบุรณ์ได้ซึ่งตาทิพย์ รู้จิตผู้อื่นระลึกชาติแต่หนหลังได้ ทรงอิทธิฤทธิ์เป็นศิลปศาสตร์อันประเสริฐ

       พระดาบสธรรมเสนนั้นได้ซึ่งของอันวิเศษแล้ว ก็คิดว่าเราจะไปแสดงศิลปศาสตร์ให้พระราชบิดาเห็นเป็นอัศจรรย์ คิดแล้วก็ลาพระดาบสทั้งหลายด้วยวาจาว่าจะไปแสดงศิลปศาสตร์แก่พระราชบิดา ก็กราบนมัสการลาพระดาบสซึ่งอาจารย์ทั้งหลาย แล้วจึงเข้าฌานกระทำอิทธิ์ฤทธิ์เหาะมาในอากาศเวหา มีหน้าฉะเพาะเมืองจำปากะ ฯ