การฝึกญาณ ๘
คุณพรนุช คืนคงดี - ครูฝึก
การฝึกทิพจักขุญาณ
ฝึกปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
ฝึกจุตูปปาตญาณ
ฝึกเจโตปริยญาณ
ฝึกอดีตตังญาณ
ฝึกปัจจุปันนังสญาณ
ฝึกอนาคตังสญาณ
ฝึกยถากรรมมุตาญาณ
ฝึกเจโตปริยญาณ
ครู ต่อไปเป็นเจโตปริยญาณ การใช้ทิพจักขุญาณรู้กำลังใจของตัวเองและบุคคลอื่น เวลานี้เห็นอทิสสมานกายของเราเองไหมคะ แต่งตัวยังไง...?
ศิษย์ :เห็นแล้ว แต่งตัวเหมือนเทวดา
ครู :และอทิสสมานกายของเพื่อนที่ไปด้วยกันล่ะมีไหม...?
ศิษย์ :มีแต่งตัวเหมือนกัน
ครู : อทิสสมานกายที่เราเห็นนั้น จะซ้อนอยู่ในกายเนื้อของแต่ละบุคคลที่ยังไม่ตาย อาศัยเราได้ทิพจักขุญาณจะเห็นอทิสสมานกายได้
ขณะนี้เรารู้จักแล้วใช่ไหมคะว่า สัตว์นรกรูปร่างยังไง เปรต อสุรกาย มีรูปร่างเป็นยังไง สัตว์เดรัจฉาน คนเราก็รู้แล้ว เทวดา พรหม เราก็พบมาแล้วว่ามีรูปร่างเป็นยังไง แม้กระทั้งพระอริยเจ้าที่เข้าพระนิพพานแล้วเราก็เคยพบมาแล้ว ดังนั้นถ้าเรามองคน ตาก็กระทบกายเนื้อ แต่ถ้าอาศัยทิพจักขุญาณก็จะเห็นอทิสสมานกายของบุคคลนั้นภายในได้ภาพที่ปรากฏบอกลักษณะชัด อันแสดงถึงคุณธรรมของเขาได้
ครู :ขณะนี้ขอให้ทุกคนมองภาพสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ชัด ขอบารมีสมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ช่วยให้เห็นภาพตามความเป็นจริง เมื่อข้าพระพุทธเจ้ามองคน ถ้าบุคคลนั้นเขาตายเดี๋ยวนั้นจะไปเกิดในนรก อทิสสมานกายของเขาที่ปรากฏกับใจของข้าพระพุทธเจ้าจะมีรูปร่างเช่นไรพระพุทธเจ้าข้า ขอดูภาพ
ศิษย์ :เป็นรูปคนผอม ทรุดโทรม ไม่มีผ้านุ่ง ผ้าห่มซีดเซียว ดำ
ครู :เหมือนอะไรที่เราเคยพบมาแล้ว เมื่อวานนี้
ศิษย์ :สัตว์นรก
ครู :ใช่ ต่อไปขอดูอีกครั้งถ้าบุคคลบางคนที่มองดูถ้าภาพอทิสสมานกายปรากฏแก่เราเป็นแบบเทวดา แสดงว่าบุคคลนั้นเขาตายเดี๋ยวนั้นจะไปไหน กราบทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความรู้สึกของอารมณ์ใจแรกคือคำตอบ
ศิษย์ :ไปสวรรค์
ครู :คุณลุงล่ะคะ เห็นเป็นยังไง ไปทางไหน...?
ศิษย์ :ไปเป็นเทวดาครับ
ครู :คนอื่น ๆ รู้สึกว่ายังไงคะ...?
ศิษย์ :เหมือนกันค่ะ
ครู :ถูกแล้ว ภาพอทิสสมานกายที่ซ้อนอยู่ในกายเนื้อของแต่ละคนบ่งบอกถึงความดีความชั่วของคนนั้นได้เลย
ครู :ต่อไปสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าท่านสอนไว้อีกอย่างหนึ่ง นั้นก็คือ นอกจากจะเห็นอทิสสมานกายของเราหรือใครแล้ว ก็สามารถเห็นกำลังใจหรือกระแสจิตเป็นดวงกลม ๆ แล้วดูสีของจิตในขณะนั้นได้ด้วย
ครู :ให้ขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงโปรดเนรมิตให้เห็นจิตของข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า เห็นภาพหรือยัง...?
ศิษย์ :เห็นแล้ว ขาวสว่างดี มีแสงออกด้วย
ครู :ใช่ เราอยู่ที่วิมานพระพุทธเจ้านี่ จิตสะอาดที่สุดก็จะมีลักษณะแบบนี้แหละ
ตอนนี้ให้ขอบารมีพระพุทธองค์และท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านผู้มีพระคุณทั้งหมดช่วย ขอดูภาพกระแสจิตของข้าพระพุทธเจ้าเอง ในสมัยที่เป็นปถถุชนคนธรรมดายังมีอารมณ์หนาแน่นด้วยกิเลสยามที่มีความทุกข์ใจ กลุ้มใจ กำลังใจจะมีสีอะไรพระพุทธเจ้าข้า ขอพระพุทธองค์ช่วย
ศิษย์ :เห็นเป็นวงกลมทึบ สีดำ
ศิษย์ :ทึบ สีเทา ๆ
ครู :คนอื่น ๆ เห็นเป็นยังไงคะ...?
ศิษย์ :สีดำ มืด มัว
ครู :ถูกแล้ว ยามกลุ้มใจ กังวลใจ มีความทุกข์จิตจะมีสีอย่างที่เห็นนี่ ถ้าดำมากก็กลุ้มมาก ถ้าสีเทา ๆ ก็กลุ้มน้อยหน่อย
ต่อไปยามที่ปุถุชนดีใจ เพราะได้ลาภ ได้ของขวัญที่เป็นวัตถุ สีของจิตจะมีสีเป็นอย่างไร ขอดูภาพ
ศิษย์ :แดง ทึบ
ศิษย์ : สีเลือดหมู สีเหมือนน้ำล้างเนื้อ
ศิษย์ :สีชมภู
ครู :ใช้ได้ เวลาดีใจ จะมีสีแดง ถ้าดีใจน้อยก็จะชมภู ถ้าขณะที่ปุถุชนอารมณ์เฉย ๆ สบาย ๆ ไม่ได้กลุ้มใจและไม่ทุกข์ใจอะไร กำลังใจจะมีสีอะไร...?
ศิษย์ :สีขาว
ครู :ถูกต้อง สีขาวเหมือนผ้าขาว
ครู :ต่อไปขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วยให้เห็นภาพกระแสจิตของข้าพระพุทธเจ้าสมัยที่มีศีลบริสุทธิ์ดูซิ
ศิษย์ :สีขาวขุ่น แต่ขอบ ๆ เริ่มมีสีใส ๆ
ครู : สีใส ๆ คืออะไรคะ ความรู้สึกของจิตว่าเป็นอะไร
ศิษย์ : ใสเหมือนแก้ว นิดหน่อย บาง ๆ
ครู :ตกลงมีแก้วเคลือบอยู่นะคะ
ครู :ถ้าเริ่มเจริญสมาธิถึงอุปจารสมาธิล่ะคะ...?
ศิษย์ :ก็ใสมากขึ้นอีกหน่อย
ครู : ถ้าจิตเข้าถึงฌานที่ ๑ ล่ะ
ศิษย์ :เป็นแก้วลึกเข้าไปอีกหน่อย
ครู :ถึงครึ่งดวงได้หรือยัง...?
ศิษย์ :ยัง ครึ่งของครึ่งดวงได้
ครู : ถูกต้อง ถ้าจิตเข้าถึงฌานที่ ๒ จะมีลักษณะเป็นยังไงขอดูภาพต่อไปซิคะ
ศิษย์ : แก้วใสถึงครึ่งดวงแล้ว
ครู :คนอื่นเห็นเป็นยังไงคะ...?
ศิษย์ :เหมือนกัน
ครู :ถ้าจิตเข้าฌานที่ ๓ ล่ะคะ สภาพอารมณ์จิตจะเป็นเช่นไร ขอบารมีสมเด็จพระจอมไตรช่วยให้เห็นภาพตามความเป็นจริง
ศิษย์ :เป็นแก้วลึกเข้าไปอีก เลยครั่งแล้ว
ครู :ถ้าจิตเข้าถึงฌานที่ ๔ ซึ่งเป็นฌานโลกีย์
ศิษย์ :เป็นแก้วใสหมดดวง
ครู :ต่อไปขอทุกคนเข้าไปกราบนมัสการสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขอบารมีพระพุทธองค์ช่วยให้เห็นสีของจิตของข้าพระพุทธเจ้าเมื่อเป็นพระโสดาบันพระเจ้าข้า... ข้างหน้า แล้วดูภาพที่ปรากฏข้างหน้า
ศิษย์ : สว่างมากขึ้นจากเดิม มีแสงออกรอบ ๆ
ครู :แสงที่ออกมารอบ ๆ เป็นประกายนั้นแหละค่ะ แสดงถึงความเป็นพระอริยเจ้า ที่กำลังเห็นอยู่ในเวลานี้เป็นพระโสดาบัน มีประกายแค่ไหนคะ ดูภาพ
ศิษย์ :ไม่ถึงครึ่งดวง
ครู : สัก ๑ ใน ๔ ของดวงได้ไหมคะ...?
ศิษย์ :ได้ครับ
ครู :ดูไว้ให้ติดใจว่า ความเป็นพระอริยเจ้า เขาดูกันที่จิตมีประกายหรือไม่ เขาไม่ได้ดูที่การแต่งกาย ไม่ได้ดูที่ความรู้ ฐานะ จริยา ซึ่งเป็นสิ่งภายนอก ถ้าเราไม่ได้เจโตปริยญาณก็ดูกันที่จิต หรืออทิสสมานกายนี่ละ
ต่อไปขอบารมีสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงโปรดให้ข้าพระพุทธเจ้าเห็นกระแสจิตของข้าพระพุทธเจ้าเองเมื่อเป็นพระสกิทาคามี
ศิษย์ :สว่างมากขึ้นจากเดิม มีประกายมากขึ้น
ครู :ถึงครึ่งได้หรือยังคะ...?
ศิษย์ : ได้แล้วค่ะ
ครู :นี่เป็นพระสกิทาคามี ต่อไปขอองค์สมเด็จพระชินสีห์ช่วยให้เห็นกระแสจิตของข้าพระพุทธเจ้าเองเมื่อเป็นพระอนาคามีพระพุทธเจ้าข้า
ศิษย์ : มีประกายเพิ่มขึ้นอีก
ครู :มีประกายหมดดวงหรือยังคะ..?
ศิษย์ :ยังค่ะ ยังเหลืออีกนิดหน่อยตรงกลางดวง
ครู :ใช้ได้นะคะ ต่อไปขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วยให้ข้าพระพุทธเจ้าเห็นกำลังจิตของข้าพระพุทธเจ้ายามเมื่อตัดกิเลสเป็น สมุจเฉทปหาน มีกำลังใจเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ ขอดูกำลังใจขณะนั้นชัด ๆ พระพุทธเจ้าข้า
ศิษย์ :สว่างหมดทั้งดวง เหมือนดวงประกายพรึกแล้ว
ครู :คนอื่น ๆ เห็นเป็นยังไงบ้างคะ...?
ศิษย์ :สว่างหมดดวง มีประกายออกมากที่สุดครับ
ครู :จำภาพไว้นะคะ หลวงพ่อท่านแนะนำพวกเราให้ดูกำลังจิตของเรา ตื่นเช้าขึ้นมาดูว่าสว่างเท่านี้หรือยัง ถ้ายังไม่เท่าก็ขับกำลังใจ ตัดสินใจว่าเราไม่ต้องการเกิดอีกต่อไปแล้ว ตัดจริง ๆ นะ การเกิดเป็นคน เป็นเทวดา เป็นพรหม ไม่เอา ขอไปพระนิพพานแห่งเดียว แล้วดูกระแสจิตของตัวเองว่าสว่างถึงที่สุดแบบนี้หรือยัง ถ้าได้แล้วก็ทรงกำลังใจแบบนี้สักครู่ จิตจะสะอาดทีละน้อย ๆ ทุกวันก็จะทรงตัว สังเกตใจของตัวเราเวลานี้ รู้สึกเป็นยังไงบ้างคะ...?
ศิษย์ :สบาย เบา โปร่ง ไม่ห่วงอะไรทั้งนั้น
ครู :ถ้าร่างกายที่นั่งอยู่ข้างล่าง มันเกิดตายเดี๋ยวนี้ล่ะ...?
ศิษย์ :เฉย ๆ มันจะตายก็ช่างมัน ไม่เสียดาย
ครู :เป็นอารมณ์ที่จะต้องทำให้เกิดขึ้นบ่อย ๆ นะคะ วันละ ๑ นาที ก็ยังดี
ต่อไปนึกถึงบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และท่านผู้มีพระคุณช่วยให้เห็นภาพกำลังใจของข้าพระพุทธเจ้าเมื่อยามที่ลงไปอยู่ในร่างกายตามปกติ กำลังใจจะเป็นอย่างไรขอดูภาพตามความเป็นจริงพระเจ้าข้า
ศิษย์ (พระ) : พอจะมีประกายอยู่บ้าง
ศิษย์ : แสงสว่างเรือง ๆ น้อย ๆ พอสว่าง ๆ
ครู : แต่ละคนดูกระแสจิตของตัวเอง แล้วเทียบกับที่เราดูภาพผ่านมาสักครู่นี้ กระแสจิตของเราเทียบได้กับปุถุชน หรือผู้ทรงฌานโลกีย์ หรือพระอริยเจ้าดูเอาเอง และก็ควรจะขับกำลังใจให้สว่างถึงที่สุดไว้ทุกวัน วันละเล็กละน้อยก็ยังดี
ครู :ตอนนี้ทุกคน ขอบารมีพระพุทธเจ้าช่วยให้เห็นอทิสสมานกายของข้าพระพุทธเจ้าอีกครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าข้า
ศิษย์ :เห็นแล้ว
ครู :สวยเท่าเดิมหรือยัง...?
ศิษย์ :เกือบเท่า
ครู :เข้าไปกราบนมัสการองค์สมเด็จพระพิชิตมาร ขอบารมีพระพุทธองค์ช่วยให้อทิสสมานกายของข้าพระพุทธเจ้าสว่างไสว เทียบเท่ากับพระอรหันต์ด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า แล้วดูซิสว่างขึ้นไหม..?
ศิษย์ :สว่างมากขึ้นแล้ว สวยกว่าคนเดิม
ครู :นี่เราอาศัยบารมีพระพุทธเจ้าช่วยนะคะ จำเอาไว้เลยว่า ยามที่เรามีปัญหาขัดข้องอันใด ก็ขึ้นมากราบขอบารมีพระพุทธองค์ช่วย ขอบารมีท่านพ่อ ท่านแม่ช่วย ถ้าเราทำจนคล่องคนเดิมผ่านไปหรือได้ยินชื่อก็ดูที่จิตได้เลย เป็นการดูเพื่อซ้อมอารมณ์เท่านั้น ส่วนใหญ่เขาดูจิตตัวเองมากกว่า
ฝึกอดีตตังญาณ
ครู :ต่อไปเป็น อตีตังสญาณ ดูเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอดีตที่ผ่านมาแล้วจะกี่อสงไขยกัปก็ได้ เราก็สามารถรู้ได้ โดยอาศัยบารมีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วยให้กำลังทิพจักขุญาณของเราแจ่มใส เราก็พบเหตุการณ์ต่าง ๆ แม้ประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของบุคคลหรือของสถานที่ ก็สามารถรู้ได้ ไหนลองบอกมาซิ อยากดูเหตุการณ์ตอนไหน เรื่องอะไรดีคะ... หลวงพี่ว่ายังไงคะอยากดูเหตุการณ์ตอนไหนดี..?
ศิษย์ (พระ) :อยุธยา
ครู :ตอนไหนดีคะ..?
ศิษย์(พระ) : ตอนพระนเรศวรรบกับพม่า
ครู :รู้สึกคนชอบดูตอนนี้กันมาก เพราะเป็นตอนที่ไทยเป็นเอกราช คนไทยมีอิสรภาพและมีความภาคภูมิใจมาก เอ้า ! ทุกคนทำอารมณ์ในสบาย ๆ เห็นพระพุทธเจ้าชัดไหมคะ..กราบนมัสการพระพุทธองค์
ศิษย์ :เห็นชัด กราบแล้ว เห็นตัวเราด้วย
ครู :ขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วยให้เห็นภาพเหตุการณ์ตอนที่พระนเรศวรกระทำยุทธหัตถี ชนช้างกับพระมหาอุปราชกษัตริย์พม่า เหตุการณ์ตอนนั้นเป็นที่ประทับใจของคนไทยทั้งชาติ เป็นความภาคภูมิใจที่ได้รับชัยชนะ ขอดูภาพเหตุการณ์ตอนนั้นพระพุทธเจ้าข้า
ศิษย์ (แม่ชี) : เห็นคนมากมาย มีช้างหลายเชือก
ครู : หลวงตาเห็นอะไรบ้างคะ..?
ศิษย์ (พระ) :เห็นพระนเรศวรอยู่บนคอช้าง
ครู :ขอดูรูปร่างหน้าตาท่านได้ไหมคะ ขอดูซิคะว่าท่านหน้าตาเป็นไง..?
ศิษย์ :หน้าหนุ่มอ่อน ๆ ผิวก็ไม่ดำนี่คะ รูปหน้ารี ๆ รูปไข่
ศิษย์ (พระ) :หน้าคล้ายผู้หญิง สวย
ครู :ขอดูภาพตอนชนช้างเลยทีเดียว
ศิษย์ :ช้างพม่าขาหน้ามันไม่ถึงดินนี่ครับ
ครู :ทำไมล่ะคะ
ศิษย์ :ถูกงัดให้ลอยขึ้นแล้วหันด้านข้างมาทางพระนเรศวรแล้ว พระนเรศวรก็ฟันซีครับ
ครู :เอาอะไรฟันคะ...?
ศิษย์ :ใช้มีดยาว ๆ ฟัน
ครู :เขาเรียกง้าวนะคะ และพระมหาอุปราชเป็นยังไง เมื่อถูกฟัน
ศิษย์ :ฟุบไปแล้ว คนฮือเข้ามาล้อม เลยตอนนี้เกิดชุลมุนกันใหญ่ มีช้างอีกเชือกหนึ่งเข้าไปช่วยกันเอาพระนเรศวรออกมา ทหารที่พื้นดินฟันกันใหญ่เลย พักใหญ่แหละครับ หลังจากนั้นก็ถอยทัพกลับไป
ครู :ดูพื้นที่ตอนที่รบกันซิคะ อยู่ตรงที่เขาทำอนุสาวรีย์พระวเรศวรที่ดอนเจดีย์ ตรงนั้นใช่ไหมคะ..?
ศิษย์ :ไม่ใช่ครับ มันเลยไปทางเขตแดนด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือเล็กน้อย บริเวณนั้นไม่มีบ้านคนเลย มีต้นไม้เป็นทิวแถว มีบริเวณกว้างขวาง
ครู :ถ้าเราจะใช้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ดูว่าเราเองเคยเกิดสมัยนั้นหรือไม่ ก็ดูได้ โดยขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วยให้เห็นภาพ
ศิษย์ :มีภาพคนผู้ชายครับ เป็นทหารรบกับเขาด้วย
ครู :ตัวคุณละนั้น คุณละคะ..?
ศิษย์ :ไม่มีภาพเลยค่ะ
ครู :ก็แสดงว่าไม่ลงมาเกิด
ศิษย์ :ครูครับ อยากดูภาพชาวบ้านบางระจันรบกับพม่า
ครู :เอาซิ ทุกคนทำใจให้สบาย ๆ จับภาพสมเด็จพระพุทธเจ้าไว้ก่อน ดูท่านจนชัดเจนดีแล้ว ขอบารมีพระพุทธองค์ช่วยให้เห็นภาพ ชาวบ้านบางระจัน เริ่มตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาใกล้แตก อย่าลืมขอบารมีท่านปู่ ท่านย่า ท่านแม่ช่วยด้วยนะคะ ขอเห็นภาพตามความเป็นจริง
ศิษย์ :มีคนเป็นกลุ่มย่อย ๆ หนีออกจากกรุงศรีอยุธยากลุ่มหนึ่ง ขี่ม้าออกมา ส่วนหนึ่งออกทางน้ำเห็นภาพลอยน้ำชัดเจนครับ
ครู :ขอดูภาพกลุ่มคนที่ลอยน้ำออกมาซิคะว่าเป็นกลุ่มของใครเป็นหัวหน้า
ศิษย์ :นายจันหนวดเขี้ยว
ครู :ขอดูหน้าท่านซิคะ หน้าตานายจันหนวดเขี้ยวเป็นยังไง
ศิษย์ :หน้าก็สวย ยิ้มนี่ กินหมากด้วย
ศิษย์ :(พระ) หน้าเหมือนรัชการที่ ๑ ครับ
ครู :ถามท่านซิคะว่า ท่านคือบุคคลคนเดียวกันหรือเปล่า?
ศิษย์ (พระ) :ท่านยกมือ
ครู :ท่านรับรองนะ เป็นอันว่า ที่ว่าชาวบ้านบางระจันนั้น ความจริงก็เป็นกลุ่มทหารหนีออกมาจากกรุงศรีอยุธยา เพราะเห็นว่าท่าเราต้องยับเยินแน่คราวนี้ ก็ออกมาสู้กับพม่าอยู่ภายนอก ก็ชักชวนชาวบ้านบางระจันร่วมด้วย แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นทหารโดยเฉพาะ หัวหน้าคือ นายจันหนวดเขี้ยว ขอดูภาพซิคะว่าท่านเป็นอะไรในกรุงศรีอยุธยา...?
ศิษย์ :นักรบ แต่งตัวนายทหารครับ
ครู :นั้นแหละ ไม่อย่างนั้น รวมคนไม่ได้ถึงขนาดนี้
ครู :ทุกท่านขอให้ใช้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณซิคะว่า เราเคยเกิดสมัยนี้ด้วยหรือไม่...?
ศิษย์ :โอ้โฮ รบอยู่ที่บางระจันแน่ะ มีภาพรบกันใหญ่เลย
ครู : ใช้อาวุธอะไรคะ..?
ศิษย์ :ดาบ ๒ มือ ดูฮึกเหิม ว่องไว
ศิษย์ : ครูครับ ผมตายในสนามรบครับ ถูกแทงตาย
ครู :นับเป็นวีรบุรุษแห่งค่ายบางระจันได้ เพราะคุณยอมสละชีวิตเพื่อดำรงความเป็นไทเอาไว้ น่าสรรเสริญ
ศิษย์ :เสียดายครับ
ครู :ทำไมคะ..?
ศิษย์ :ฆ่าพม่าได้ไม่กี่คน ตายซะได้
ครู :ก็ดีแล้วไม่บาปมากกว่านี้ ถ้าเราจะดูกันต่อไปก็จะเสียเวลามาก ขอตัดแค่นี้นะคะ
ฝึกปัจจุปันนังสญาณ
ครู :ต่อไปนี้เป็นปัจจุปันนังสญาณ ดูเหตุการณ์ปัจจุบัน ใครที่เรานึกถึงเขาอยู่ เขามีความสุข ความทุกข์ มีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปแล้ว ก็ย่อมทราบได้ แม้จะดูอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายก็ได้ ท่านที่เป็นหมอจะขอดูภาพอวัยวะภายในร่างกายแต่ละส่วน ๆ ว่าปกติของอวัยวะเป็นเช่นไร ถ้าเกิดผิดปกติขึ้นมา มีเชื่อโรค หรือทำงานผิดปกติจะมีสภาพเป็นอย่างไร และถ้าเกิดผิดปกติแล้วควรจะแก้ไขดำเนินการรักษาอย่างไร อารมณ์เราเป็นทิพย์อยู่แล้ว ถามท่านแม่ก็ได้ว่าควรจะแก้ไขรักษาอย่างไร
ตัวอย่าง คุณหมอท่านหนึ่งฝึกแบบนี้แหละที่วัดพุทธวราราม เมื่อเดนเวอร์ รัฐโคโรลาโด อเมริกา ท่านดูทุกส่วนตั้งแต่ศีรษะมาถึงเท้า อวัยวะภายในแต่ละส่วนดังกล่าวมาแล้วข้างต้น เร็วกว่าเอ๊กซเรย์และแน่นอน เพราะจิตสะอาด ย่อมรู้ได้ความความเป็นจริง แต่อย่าลืมว่า เราอาศัยบารมีพระพุทธเจ้าช่วย อาศัยบารมีท่านพ่อ ท่านแม่ ผู้มีพระคุณทั้งหมดช่วย
นอกจากนี้เราอาจดูทรัพย์สินใต้แผ่นดินได้ทันที มีตัวอย่างนักธรณีวิทยา ๒-๓ ท่าน ต้องการรู้แหล่งแร่ยูเรเนียมและได้เดินทางไปวัดท่าซุง มีโอกาสคุยกับหลวงพ่อและถามเรื่องนี้ที่ต้องการ หลวงพ่อท่านก็ให้ฝึกมโนยิทธิดูเอาเอง จะได้มั่นใจ ท่านก็ตกลง
ครั้งแรกของการฝึกก็สามารถไปได้ และก็ให้ดูแหล่งแร่ยูเรเนียมที่เมืองไทย ดูสถานที่พบแล้วดูลักษณะและปริมาณของแร่ รวมทั้งบริเวณที่มีอยู่มาก ตามภูเขา เชิงเขา แร่มีสีขาว และได้ดูที่หมาย คือต้นไม้เป็นที่สังเกต ครูก็แนะนำให้อยู่เพื่อฝึกอีกวันหนึ่งเพื่อให้มีความคล่องตัว แต่ปรากฏว่า พอวันรุ่งขึ้นก็ไปแล้ว ได้เค้าก็ไป เพราะแหล่งแร่ยูเรเนียมที่พบอยู่ในเขตจังหวัดอุทัยธานีนี่เอง คงไปดูสถานที่ และวางแผน นี่เป็นปัจจุปันนังสญาณที่เราได้รับประโยชน์
นอกจากนี้เราจะไปดางดวงอื่น ๆ ได้ทุกแห่งหน ดาวดวงใดมีสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีก็ดูได้ หรือเราจะไปเที่ยวประเทศไหนก็ได้ ทุกประเทศในโลกไม่ต้องเสียเงินค่าพาหนะภายในโลกมนุษย์เราจะเห็นได้ชัดเจนว่าเพราะเป็นของหยาบ จะดูภายในประเทศไทยเราก็ได้ น้ำมันดิบใต้แผ่นดินไทยมีแค่ไหนบริเวณใดบ้างเป็นเรื่องเล็ก
ตัวอย่างหลวงน้าที่มาจากจังหวัดกำแพงเพชรท่านฝึกได้แล้วและใช้กำลังทิพจักขุญาณได้พอสมควร ก็ให้ดูน้ำมันดิบที่จังหวัดของท่านมีสักแค่ไหน
ศิษย์ (พระ) :มีมากครับเป็นแอ่งลึกลงไป มีปริมาณมหาศาล สีน้ำตาลเข้ม
ครู :ที่เราเจาะเวลานี้ ตรงจุดใหญ่ไหม...?
ศิษย์ :ก็ตรงครับ แต่เจาะลึกไม่มาก ก็ดูดขึ้นมาได้ โอ้โฮข้างล่างเป็นบริเวณกว้างมาก เราถ้าจะรวยใหญ่แล้วนี่
ครู :นี่แหละค่ะ ความรู้ทางด้านทิพจักขุญาณมีประโยชน์มาก ไม่เพียงแต่ไปดูสวรรค์ นิพพาน นรกเท่านั้น การทำมาหากินก็จะคล่องตัวไปด้วย สมองก็แจ่มใส ถ้าเป็นนักเรียน นักศึกษาสบายมาก จำแม่น สอบไม่ตก ถ้าคนไทยทำได้สัก ๑ ใน ๑๐ เท่านั้น ประเทศไทยจะร่มเย็นเป็นสุขกว่านี้มาก เพราะคนที่เขาทำได้เขามาศีล ๕ บริสุทธิ์ ไม่มีการเบียดเบียนกัน ความรัก ความเมตตาก็มี เพราะมีความเข้าใจตามความเป็นจริง
|