ศาลา
หน้าแรก
คำแนะนำการฝึกมโนมยิทธิ
การฝึกมโนมยิทธิ๑
การฝึกมโนมยิทธิ๒
การฝึกมโนมยิทธิ๓
การท่องเที่ยวตามภพต่าง ๆ
การฝึกญาณ ๘

การฝึกญาณ ๘

คุณพรนุช คืนคงดี - ครูฝึก

การฝึกทิพจักขุญาณ   ฝึกปุพเพนิวาสานุสสติญาณ   ฝึกจุตูปปาตญาณ
ฝึกเจโตปริยญาณ   ฝึกอดีตตังญาณ   ฝึกปัจจุปันนังสญาณ
ฝึกอนาคตังสญาณ   ฝึกยถากรรมมุตาญาณ

ฝึกเจโตปริยญาณ

ครู         “ต่อไปเป็นเจโตปริยญาณ การใช้ทิพจักขุญาณรู้กำลังใจของตัวเองและบุคคลอื่น เวลานี้เห็นอทิสสมานกายของเราเองไหมคะ แต่งตัวยังไง...? ”
ศิษย์        :“เห็นแล้ว แต่งตัวเหมือนเทวดา”
ครู         :“และอทิสสมานกายของเพื่อนที่ไปด้วยกันล่ะมีไหม...?”
ศิษย์        :“มีแต่งตัวเหมือนกัน”
ครู         :“ อทิสสมานกายที่เราเห็นนั้น จะซ้อนอยู่ในกายเนื้อของแต่ละบุคคลที่ยังไม่ตาย อาศัยเราได้ทิพจักขุญาณจะเห็นอทิสสมานกายได้
            ขณะนี้เรารู้จักแล้วใช่ไหมคะว่า สัตว์นรกรูปร่างยังไง เปรต อสุรกาย มีรูปร่างเป็นยังไง สัตว์เดรัจฉาน คนเราก็รู้แล้ว เทวดา พรหม เราก็พบมาแล้วว่ามีรูปร่างเป็นยังไง แม้กระทั้งพระอริยเจ้าที่เข้าพระนิพพานแล้วเราก็เคยพบมาแล้ว ดังนั้นถ้าเรามองคน ตาก็กระทบกายเนื้อ แต่ถ้าอาศัยทิพจักขุญาณก็จะเห็นอทิสสมานกายของบุคคลนั้นภายในได้ภาพที่ปรากฏบอกลักษณะชัด อันแสดงถึงคุณธรรมของเขาได้”
ครู         :“ขณะนี้ขอให้ทุกคนมองภาพสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ชัด ขอบารมีสมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ช่วยให้เห็นภาพตามความเป็นจริง เมื่อข้าพระพุทธเจ้ามองคน ถ้าบุคคลนั้นเขาตายเดี๋ยวนั้นจะไปเกิดในนรก อทิสสมานกายของเขาที่ปรากฏกับใจของข้าพระพุทธเจ้าจะมีรูปร่างเช่นไรพระพุทธเจ้าข้า ขอดูภาพ”
ศิษย์        :“เป็นรูปคนผอม ทรุดโทรม ไม่มีผ้านุ่ง ผ้าห่มซีดเซียว ดำ”
ครู         :“เหมือนอะไรที่เราเคยพบมาแล้ว เมื่อวานนี้”
ศิษย์        :“สัตว์นรก”
ครู         :“ใช่ ต่อไปขอดูอีกครั้งถ้าบุคคลบางคนที่มองดูถ้าภาพอทิสสมานกายปรากฏแก่เราเป็นแบบเทวดา แสดงว่าบุคคลนั้นเขาตายเดี๋ยวนั้นจะไปไหน กราบทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความรู้สึกของอารมณ์ใจแรกคือคำตอบ”
ศิษย์        :“ไปสวรรค์”
ครู         :“คุณลุงล่ะคะ เห็นเป็นยังไง ไปทางไหน...?”
ศิษย์        :“ไปเป็นเทวดาครับ”
ครู         :“คนอื่น ๆ รู้สึกว่ายังไงคะ...?”
ศิษย์        :“เหมือนกันค่ะ”
ครู         :“ถูกแล้ว ภาพอทิสสมานกายที่ซ้อนอยู่ในกายเนื้อของแต่ละคนบ่งบอกถึงความดีความชั่วของคนนั้นได้เลย”
ครู         :“ต่อไปสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าท่านสอนไว้อีกอย่างหนึ่ง นั้นก็คือ นอกจากจะเห็นอทิสสมานกายของเราหรือใครแล้ว ก็สามารถเห็นกำลังใจหรือกระแสจิตเป็นดวงกลม ๆ แล้วดูสีของจิตในขณะนั้นได้ด้วย”
ครู         :“ให้ขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงโปรดเนรมิตให้เห็นจิตของข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า เห็นภาพหรือยัง...? ”
ศิษย์        :“เห็นแล้ว ขาวสว่างดี มีแสงออกด้วย”
ครู         :“ใช่ เราอยู่ที่วิมานพระพุทธเจ้านี่ จิตสะอาดที่สุดก็จะมีลักษณะแบบนี้แหละ
            ตอนนี้ให้ขอบารมีพระพุทธองค์และท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านผู้มีพระคุณทั้งหมดช่วย ขอดูภาพกระแสจิตของข้าพระพุทธเจ้าเอง ในสมัยที่เป็นปถถุชนคนธรรมดายังมีอารมณ์หนาแน่นด้วยกิเลสยามที่มีความทุกข์ใจ กลุ้มใจ กำลังใจจะมีสีอะไรพระพุทธเจ้าข้า ขอพระพุทธองค์ช่วย”
ศิษย์        :“เห็นเป็นวงกลมทึบ สีดำ”
ศิษย์        :“ทึบ สีเทา ๆ”
ครู         :“คนอื่น ๆ เห็นเป็นยังไงคะ...?”
ศิษย์        :“สีดำ มืด มัว”
ครู         :“ถูกแล้ว ยามกลุ้มใจ กังวลใจ มีความทุกข์จิตจะมีสีอย่างที่เห็นนี่ ถ้าดำมากก็กลุ้มมาก ถ้าสีเทา ๆ ก็กลุ้มน้อยหน่อย”
            ต่อไปยามที่ปุถุชนดีใจ เพราะได้ลาภ ได้ของขวัญที่เป็นวัตถุ สีของจิตจะมีสีเป็นอย่างไร ขอดูภาพ”
ศิษย์        :“แดง ทึบ”
ศิษย์        : “สีเลือดหมู สีเหมือนน้ำล้างเนื้อ”
ศิษย์        :“สีชมภู”
ครู         :“ใช้ได้ เวลาดีใจ จะมีสีแดง ถ้าดีใจน้อยก็จะชมภู ถ้าขณะที่ปุถุชนอารมณ์เฉย ๆ สบาย ๆ ไม่ได้กลุ้มใจและไม่ทุกข์ใจอะไร กำลังใจจะมีสีอะไร...?”
ศิษย์        :“สีขาว”
ครู         :“ถูกต้อง สีขาวเหมือนผ้าขาว”
ครู         :“ต่อไปขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วยให้เห็นภาพกระแสจิตของข้าพระพุทธเจ้าสมัยที่มีศีลบริสุทธิ์ดูซิ”
ศิษย์        :“สีขาวขุ่น แต่ขอบ ๆ เริ่มมีสีใส ๆ”
ครู         :“ สีใส ๆ คืออะไรคะ ความรู้สึกของจิตว่าเป็นอะไร”
ศิษย์        :“ ใสเหมือนแก้ว นิดหน่อย บาง ๆ ”
ครู         :“ตกลงมีแก้วเคลือบอยู่นะคะ”
ครู         :“ถ้าเริ่มเจริญสมาธิถึงอุปจารสมาธิล่ะคะ...?”
ศิษย์        :“ก็ใสมากขึ้นอีกหน่อย ”
ครู         :“ ถ้าจิตเข้าถึงฌานที่ ๑ ล่ะ”
ศิษย์        :“เป็นแก้วลึกเข้าไปอีกหน่อย ”
ครู         :“ถึงครึ่งดวงได้หรือยัง...?”
ศิษย์        :“ยัง ครึ่งของครึ่งดวงได้”
ครู         :“ ถูกต้อง ถ้าจิตเข้าถึงฌานที่ ๒ จะมีลักษณะเป็นยังไงขอดูภาพต่อไปซิคะ”
ศิษย์        :“ แก้วใสถึงครึ่งดวงแล้ว ”
ครู         :“คนอื่นเห็นเป็นยังไงคะ...?”
ศิษย์        :“เหมือนกัน”
ครู         :“ถ้าจิตเข้าฌานที่ ๓ ล่ะคะ สภาพอารมณ์จิตจะเป็นเช่นไร ขอบารมีสมเด็จพระจอมไตรช่วยให้เห็นภาพตามความเป็นจริง”
ศิษย์        :“เป็นแก้วลึกเข้าไปอีก เลยครั่งแล้ว”
ครู         :“ถ้าจิตเข้าถึงฌานที่ ๔ ซึ่งเป็นฌานโลกีย์”
ศิษย์        :“เป็นแก้วใสหมดดวง”
ครู         :“ต่อไปขอทุกคนเข้าไปกราบนมัสการสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขอบารมีพระพุทธองค์ช่วยให้เห็นสีของจิตของข้าพระพุทธเจ้าเมื่อเป็นพระโสดาบันพระเจ้าข้า... ข้างหน้า แล้วดูภาพที่ปรากฏข้างหน้า”
ศิษย์        :“ สว่างมากขึ้นจากเดิม มีแสงออกรอบ ๆ ”
ครู         :“แสงที่ออกมารอบ ๆ เป็นประกายนั้นแหละค่ะ แสดงถึงความเป็นพระอริยเจ้า ที่กำลังเห็นอยู่ในเวลานี้เป็นพระโสดาบัน มีประกายแค่ไหนคะ ดูภาพ”
ศิษย์        :“ไม่ถึงครึ่งดวง”
ครู         :“ สัก ๑ ใน ๔ ของดวงได้ไหมคะ...?”
ศิษย์        :“ได้ครับ”
ครู         :“ดูไว้ให้ติดใจว่า ความเป็นพระอริยเจ้า เขาดูกันที่จิตมีประกายหรือไม่ เขาไม่ได้ดูที่การแต่งกาย ไม่ได้ดูที่ความรู้ ฐานะ จริยา ซึ่งเป็นสิ่งภายนอก ถ้าเราไม่ได้เจโตปริยญาณก็ดูกันที่จิต หรืออทิสสมานกายนี่ละ”
            ต่อไปขอบารมีสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงโปรดให้ข้าพระพุทธเจ้าเห็นกระแสจิตของข้าพระพุทธเจ้าเองเมื่อเป็นพระสกิทาคามี
ศิษย์        :“สว่างมากขึ้นจากเดิม มีประกายมากขึ้น”
ครู         :“ถึงครึ่งได้หรือยังคะ...?”
ศิษย์        : “ได้แล้วค่ะ”
ครู         :“นี่เป็นพระสกิทาคามี ต่อไปขอองค์สมเด็จพระชินสีห์ช่วยให้เห็นกระแสจิตของข้าพระพุทธเจ้าเองเมื่อเป็นพระอนาคามีพระพุทธเจ้าข้า”
ศิษย์        : “มีประกายเพิ่มขึ้นอีก”
ครู         :“มีประกายหมดดวงหรือยังคะ..?”
ศิษย์        :“ยังค่ะ ยังเหลืออีกนิดหน่อยตรงกลางดวง”
ครู         :“ใช้ได้นะคะ ต่อไปขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วยให้ข้าพระพุทธเจ้าเห็นกำลังจิตของข้าพระพุทธเจ้ายามเมื่อตัดกิเลสเป็น สมุจเฉทปหาน มีกำลังใจเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ ขอดูกำลังใจขณะนั้นชัด ๆ พระพุทธเจ้าข้า”
ศิษย์        :“สว่างหมดทั้งดวง เหมือนดวงประกายพรึกแล้ว”
ครู         :“คนอื่น ๆ เห็นเป็นยังไงบ้างคะ...?”
ศิษย์        :“สว่างหมดดวง มีประกายออกมากที่สุดครับ”
ครู         :“จำภาพไว้นะคะ หลวงพ่อท่านแนะนำพวกเราให้ดูกำลังจิตของเรา ตื่นเช้าขึ้นมาดูว่าสว่างเท่านี้หรือยัง ถ้ายังไม่เท่าก็ขับกำลังใจ ตัดสินใจว่าเราไม่ต้องการเกิดอีกต่อไปแล้ว ตัดจริง ๆ นะ การเกิดเป็นคน เป็นเทวดา เป็นพรหม ไม่เอา ขอไปพระนิพพานแห่งเดียว แล้วดูกระแสจิตของตัวเองว่าสว่างถึงที่สุดแบบนี้หรือยัง ถ้าได้แล้วก็ทรงกำลังใจแบบนี้สักครู่ จิตจะสะอาดทีละน้อย ๆ ทุกวันก็จะทรงตัว สังเกตใจของตัวเราเวลานี้ รู้สึกเป็นยังไงบ้างคะ...?”
ศิษย์        :“สบาย เบา โปร่ง ไม่ห่วงอะไรทั้งนั้น”
ครู         :“ถ้าร่างกายที่นั่งอยู่ข้างล่าง มันเกิดตายเดี๋ยวนี้ล่ะ...?”
ศิษย์        :“เฉย ๆ มันจะตายก็ช่างมัน ไม่เสียดาย”
ครู         :“เป็นอารมณ์ที่จะต้องทำให้เกิดขึ้นบ่อย ๆ นะคะ วันละ ๑ นาที ก็ยังดี
            ต่อไปนึกถึงบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และท่านผู้มีพระคุณช่วยให้เห็นภาพกำลังใจของข้าพระพุทธเจ้าเมื่อยามที่ลงไปอยู่ในร่างกายตามปกติ กำลังใจจะเป็นอย่างไรขอดูภาพตามความเป็นจริงพระเจ้าข้า”
ศิษย์ (พระ)       :“ พอจะมีประกายอยู่บ้าง”
ศิษย์        : “แสงสว่างเรือง ๆ น้อย ๆ พอสว่าง ๆ”
ครู         : “แต่ละคนดูกระแสจิตของตัวเอง แล้วเทียบกับที่เราดูภาพผ่านมาสักครู่นี้ กระแสจิตของเราเทียบได้กับปุถุชน หรือผู้ทรงฌานโลกีย์ หรือพระอริยเจ้าดูเอาเอง และก็ควรจะขับกำลังใจให้สว่างถึงที่สุดไว้ทุกวัน วันละเล็กละน้อยก็ยังดี”
ครู         :“ตอนนี้ทุกคน ขอบารมีพระพุทธเจ้าช่วยให้เห็นอทิสสมานกายของข้าพระพุทธเจ้าอีกครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าข้า”
ศิษย์        :“เห็นแล้ว”
ครู         :“สวยเท่าเดิมหรือยัง...?”
ศิษย์        :“เกือบเท่า”
ครู         :“เข้าไปกราบนมัสการองค์สมเด็จพระพิชิตมาร ขอบารมีพระพุทธองค์ช่วยให้อทิสสมานกายของข้าพระพุทธเจ้าสว่างไสว เทียบเท่ากับพระอรหันต์ด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า แล้วดูซิสว่างขึ้นไหม..?”
ศิษย์        :“สว่างมากขึ้นแล้ว สวยกว่าคนเดิม”
ครู         :“นี่เราอาศัยบารมีพระพุทธเจ้าช่วยนะคะ จำเอาไว้เลยว่า ยามที่เรามีปัญหาขัดข้องอันใด ก็ขึ้นมากราบขอบารมีพระพุทธองค์ช่วย ขอบารมีท่านพ่อ ท่านแม่ช่วย ถ้าเราทำจนคล่องคนเดิมผ่านไปหรือได้ยินชื่อก็ดูที่จิตได้เลย เป็นการดูเพื่อซ้อมอารมณ์เท่านั้น ส่วนใหญ่เขาดูจิตตัวเองมากกว่า”

ฝึกอดีตตังญาณ

ครู         :ต่อไปเป็น อตีตังสญาณ ดูเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอดีตที่ผ่านมาแล้วจะกี่อสงไขยกัปก็ได้ เราก็สามารถรู้ได้ โดยอาศัยบารมีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วยให้กำลังทิพจักขุญาณของเราแจ่มใส เราก็พบเหตุการณ์ต่าง ๆ แม้ประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของบุคคลหรือของสถานที่ ก็สามารถรู้ได้ ไหนลองบอกมาซิ อยากดูเหตุการณ์ตอนไหน เรื่องอะไรดีคะ... หลวงพี่ว่ายังไงคะอยากดูเหตุการณ์ตอนไหนดี..?”
ศิษย์ (พระ)       :“อยุธยา”
ครู         :“ตอนไหนดีคะ..?”
ศิษย์(พระ)        :“ ตอนพระนเรศวรรบกับพม่า”
ครู         :“รู้สึกคนชอบดูตอนนี้กันมาก เพราะเป็นตอนที่ไทยเป็นเอกราช คนไทยมีอิสรภาพและมีความภาคภูมิใจมาก เอ้า ! ทุกคนทำอารมณ์ในสบาย ๆ เห็นพระพุทธเจ้าชัดไหมคะ..กราบนมัสการพระพุทธองค์”
ศิษย์        :“เห็นชัด กราบแล้ว เห็นตัวเราด้วย”
ครู         :“ขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วยให้เห็นภาพเหตุการณ์ตอนที่พระนเรศวรกระทำยุทธหัตถี ชนช้างกับพระมหาอุปราชกษัตริย์พม่า เหตุการณ์ตอนนั้นเป็นที่ประทับใจของคนไทยทั้งชาติ เป็นความภาคภูมิใจที่ได้รับชัยชนะ ขอดูภาพเหตุการณ์ตอนนั้นพระพุทธเจ้าข้า”
ศิษย์ (แม่ชี)       : “เห็นคนมากมาย มีช้างหลายเชือก”
ครู         :“ หลวงตาเห็นอะไรบ้างคะ..?”
ศิษย์ (พระ)       :“เห็นพระนเรศวรอยู่บนคอช้าง”
ครู         :“ขอดูรูปร่างหน้าตาท่านได้ไหมคะ ขอดูซิคะว่าท่านหน้าตาเป็นไง..? ”
ศิษย์        :“หน้าหนุ่มอ่อน ๆ ผิวก็ไม่ดำนี่คะ รูปหน้ารี ๆ รูปไข่”
ศิษย์ (พระ)       :“หน้าคล้ายผู้หญิง สวย”
ครู         :“ขอดูภาพตอนชนช้างเลยทีเดียว”
ศิษย์        :“ช้างพม่าขาหน้ามันไม่ถึงดินนี่ครับ”
ครู         :“ทำไมล่ะคะ”
ศิษย์        :“ถูกงัดให้ลอยขึ้นแล้วหันด้านข้างมาทางพระนเรศวรแล้ว พระนเรศวรก็ฟันซีครับ ”
ครู         :“เอาอะไรฟันคะ...?”
ศิษย์        :“ใช้มีดยาว ๆ ฟัน”
ครู         :“เขาเรียกง้าวนะคะ และพระมหาอุปราชเป็นยังไง เมื่อถูกฟัน ”
ศิษย์        :“ฟุบไปแล้ว คนฮือเข้ามาล้อม เลยตอนนี้เกิดชุลมุนกันใหญ่ มีช้างอีกเชือกหนึ่งเข้าไปช่วยกันเอาพระนเรศวรออกมา ทหารที่พื้นดินฟันกันใหญ่เลย พักใหญ่แหละครับ หลังจากนั้นก็ถอยทัพกลับไป”
ครู         :“ดูพื้นที่ตอนที่รบกันซิคะ อยู่ตรงที่เขาทำอนุสาวรีย์พระวเรศวรที่ดอนเจดีย์ ตรงนั้นใช่ไหมคะ..?”
ศิษย์        :“ไม่ใช่ครับ มันเลยไปทางเขตแดนด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือเล็กน้อย บริเวณนั้นไม่มีบ้านคนเลย มีต้นไม้เป็นทิวแถว มีบริเวณกว้างขวาง”
ครู         :“ถ้าเราจะใช้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ดูว่าเราเองเคยเกิดสมัยนั้นหรือไม่ ก็ดูได้ โดยขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วยให้เห็นภาพ”
ศิษย์        :“มีภาพคนผู้ชายครับ เป็นทหารรบกับเขาด้วย”
ครู         :“ตัวคุณละนั้น คุณละคะ..?”
ศิษย์        :“ไม่มีภาพเลยค่ะ”
ครู         :“ก็แสดงว่าไม่ลงมาเกิด”
ศิษย์        :“ครูครับ อยากดูภาพชาวบ้านบางระจันรบกับพม่า”
ครู         :“เอาซิ ทุกคนทำใจให้สบาย ๆ จับภาพสมเด็จพระพุทธเจ้าไว้ก่อน ดูท่านจนชัดเจนดีแล้ว ขอบารมีพระพุทธองค์ช่วยให้เห็นภาพ ชาวบ้านบางระจัน เริ่มตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาใกล้แตก อย่าลืมขอบารมีท่านปู่ ท่านย่า ท่านแม่ช่วยด้วยนะคะ ขอเห็นภาพตามความเป็นจริง”
ศิษย์        :“มีคนเป็นกลุ่มย่อย ๆ หนีออกจากกรุงศรีอยุธยากลุ่มหนึ่ง ขี่ม้าออกมา ส่วนหนึ่งออกทางน้ำเห็นภาพลอยน้ำชัดเจนครับ”
ครู         :“ขอดูภาพกลุ่มคนที่ลอยน้ำออกมาซิคะว่าเป็นกลุ่มของใครเป็นหัวหน้า ”
ศิษย์        :“นายจันหนวดเขี้ยว”
ครู         :“ขอดูหน้าท่านซิคะ หน้าตานายจันหนวดเขี้ยวเป็นยังไง”
ศิษย์        :“หน้าก็สวย ยิ้มนี่ กินหมากด้วย”
ศิษย์        :(พระ) “หน้าเหมือนรัชการที่ ๑ ครับ”
ครู         :“ถามท่านซิคะว่า ท่านคือบุคคลคนเดียวกันหรือเปล่า?”
ศิษย์ (พระ)        :“ท่านยกมือ”
ครู         :“ท่านรับรองนะ เป็นอันว่า ที่ว่าชาวบ้านบางระจันนั้น ความจริงก็เป็นกลุ่มทหารหนีออกมาจากกรุงศรีอยุธยา เพราะเห็นว่าท่าเราต้องยับเยินแน่คราวนี้ ก็ออกมาสู้กับพม่าอยู่ภายนอก ก็ชักชวนชาวบ้านบางระจันร่วมด้วย แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นทหารโดยเฉพาะ หัวหน้าคือ นายจันหนวดเขี้ยว ขอดูภาพซิคะว่าท่านเป็นอะไรในกรุงศรีอยุธยา...?”
ศิษย์        :“นักรบ แต่งตัวนายทหารครับ”
ครู         :“นั้นแหละ ไม่อย่างนั้น รวมคนไม่ได้ถึงขนาดนี้”
ครู         :“ทุกท่านขอให้ใช้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณซิคะว่า เราเคยเกิดสมัยนี้ด้วยหรือไม่...?”
ศิษย์        :“โอ้โฮ รบอยู่ที่บางระจันแน่ะ มีภาพรบกันใหญ่เลย”
ครู         :“ ใช้อาวุธอะไรคะ..?”
ศิษย์        :“ดาบ ๒ มือ ดูฮึกเหิม ว่องไว”
ศิษย์        :“ ครูครับ ผมตายในสนามรบครับ ถูกแทงตาย”
ครู         :“นับเป็นวีรบุรุษแห่งค่ายบางระจันได้ เพราะคุณยอมสละชีวิตเพื่อดำรงความเป็นไทเอาไว้ น่าสรรเสริญ”
ศิษย์        :“เสียดายครับ ”
ครู         :“ทำไมคะ..?”
ศิษย์        :“ฆ่าพม่าได้ไม่กี่คน ตายซะได้”
ครู         :“ก็ดีแล้วไม่บาปมากกว่านี้ ถ้าเราจะดูกันต่อไปก็จะเสียเวลามาก ขอตัดแค่นี้นะคะ”

ฝึกปัจจุปันนังสญาณ

ครู         :“ต่อไปนี้เป็นปัจจุปันนังสญาณ ดูเหตุการณ์ปัจจุบัน ใครที่เรานึกถึงเขาอยู่ เขามีความสุข ความทุกข์ มีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปแล้ว ก็ย่อมทราบได้ แม้จะดูอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายก็ได้ ท่านที่เป็นหมอจะขอดูภาพอวัยวะภายในร่างกายแต่ละส่วน ๆ ว่าปกติของอวัยวะเป็นเช่นไร ถ้าเกิดผิดปกติขึ้นมา มีเชื่อโรค หรือทำงานผิดปกติจะมีสภาพเป็นอย่างไร และถ้าเกิดผิดปกติแล้วควรจะแก้ไขดำเนินการรักษาอย่างไร อารมณ์เราเป็นทิพย์อยู่แล้ว ถามท่านแม่ก็ได้ว่าควรจะแก้ไขรักษาอย่างไร
            ตัวอย่าง คุณหมอท่านหนึ่งฝึกแบบนี้แหละที่วัดพุทธวราราม เมื่อเดนเวอร์ รัฐโคโรลาโด อเมริกา ท่านดูทุกส่วนตั้งแต่ศีรษะมาถึงเท้า อวัยวะภายในแต่ละส่วนดังกล่าวมาแล้วข้างต้น เร็วกว่าเอ๊กซเรย์และแน่นอน เพราะจิตสะอาด ย่อมรู้ได้ความความเป็นจริง แต่อย่าลืมว่า เราอาศัยบารมีพระพุทธเจ้าช่วย อาศัยบารมีท่านพ่อ ท่านแม่ ผู้มีพระคุณทั้งหมดช่วย
            นอกจากนี้เราอาจดูทรัพย์สินใต้แผ่นดินได้ทันที มีตัวอย่างนักธรณีวิทยา ๒-๓ ท่าน ต้องการรู้แหล่งแร่ยูเรเนียมและได้เดินทางไปวัดท่าซุง มีโอกาสคุยกับหลวงพ่อและถามเรื่องนี้ที่ต้องการ หลวงพ่อท่านก็ให้ฝึกมโนยิทธิดูเอาเอง จะได้มั่นใจ ท่านก็ตกลง
            ครั้งแรกของการฝึกก็สามารถไปได้ และก็ให้ดูแหล่งแร่ยูเรเนียมที่เมืองไทย ดูสถานที่พบแล้วดูลักษณะและปริมาณของแร่ รวมทั้งบริเวณที่มีอยู่มาก ตามภูเขา เชิงเขา แร่มีสีขาว และได้ดูที่หมาย คือต้นไม้เป็นที่สังเกต ครูก็แนะนำให้อยู่เพื่อฝึกอีกวันหนึ่งเพื่อให้มีความคล่องตัว แต่ปรากฏว่า พอวันรุ่งขึ้นก็ไปแล้ว ได้เค้าก็ไป เพราะแหล่งแร่ยูเรเนียมที่พบอยู่ในเขตจังหวัดอุทัยธานีนี่เอง คงไปดูสถานที่ และวางแผน นี่เป็นปัจจุปันนังสญาณที่เราได้รับประโยชน์
            นอกจากนี้เราจะไปดางดวงอื่น ๆ ได้ทุกแห่งหน ดาวดวงใดมีสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีก็ดูได้ หรือเราจะไปเที่ยวประเทศไหนก็ได้ ทุกประเทศในโลกไม่ต้องเสียเงินค่าพาหนะภายในโลกมนุษย์เราจะเห็นได้ชัดเจนว่าเพราะเป็นของหยาบ จะดูภายในประเทศไทยเราก็ได้ น้ำมันดิบใต้แผ่นดินไทยมีแค่ไหนบริเวณใดบ้างเป็นเรื่องเล็ก
            ตัวอย่างหลวงน้าที่มาจากจังหวัดกำแพงเพชรท่านฝึกได้แล้วและใช้กำลังทิพจักขุญาณได้พอสมควร ก็ให้ดูน้ำมันดิบที่จังหวัดของท่านมีสักแค่ไหน”
ศิษย์ (พระ)        :“มีมากครับเป็นแอ่งลึกลงไป มีปริมาณมหาศาล สีน้ำตาลเข้ม”
ครู         :“ที่เราเจาะเวลานี้ ตรงจุดใหญ่ไหม...?”
ศิษย์        :“ก็ตรงครับ แต่เจาะลึกไม่มาก ก็ดูดขึ้นมาได้ โอ้โฮข้างล่างเป็นบริเวณกว้างมาก เราถ้าจะรวยใหญ่แล้วนี่”
ครู         :“นี่แหละค่ะ ความรู้ทางด้านทิพจักขุญาณมีประโยชน์มาก ไม่เพียงแต่ไปดูสวรรค์ นิพพาน นรกเท่านั้น การทำมาหากินก็จะคล่องตัวไปด้วย สมองก็แจ่มใส ถ้าเป็นนักเรียน นักศึกษาสบายมาก จำแม่น สอบไม่ตก ถ้าคนไทยทำได้สัก ๑ ใน ๑๐ เท่านั้น ประเทศไทยจะร่มเย็นเป็นสุขกว่านี้มาก เพราะคนที่เขาทำได้เขามาศีล ๕ บริสุทธิ์ ไม่มีการเบียดเบียนกัน ความรัก ความเมตตาก็มี เพราะมีความเข้าใจตามความเป็นจริง”

ฝึกอนาคตังสญาณ