ศาลา
หน้าแรก
คำแนะนำการฝึกมโนมยิทธิ
การฝึกมโนมยิทธิ๑
การฝึกมโนมยิทธิ๒
การฝึกมโนมยิทธิ๓
การท่องเที่ยวตามภพต่าง ๆ
การฝึกญาณ ๘

การฝึกญาณ ๘

คุณพรนุช คืนคงดี - ครูฝึก

การฝึกทิพจักขุญาณ  ฝึกปุพเพนิวาสานุสสติญาณ  ฝึกจุตูปปาตญาณ
ฝึกเจโตปริยญาณ  ฝึกอดีตตังญาณ  ฝึกปัจจุปันนังสญาณ
ฝึกอนาคตังสญาณ   ฝึกยถากรรมมุตาญาณ

ฝึกอนาคตังสญาณ

ครู         :ต่อไปเป็นอนาคตังสญาณ เป็นการใช้ทิพจักขุญาณไปรู้เรื่องราวที่ยังไม่เกิด ไม่ว่าของตัวเราเอง หรือของบุคคลอื่น หรือของสถานที่ หรือความเป็นไปของชาติของโลก ของบุคคลตายแล้วจะไปไหนดูได้เลย”
ครู         :“เวลานี้ขอทุกคน ตั้งใจอาราธนาบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านผู้มีพระคุณทั้งหมดช่วย ขอดูสภาพของประเทศไทยในอีก ๑๐ - ๒๐ ปีข้างหน้าจะเป็นเช่นไร ขอองค์สมเด็จพระจอมไตรช่วยให้เห็นภาพตามความเป็นจริงพระพุทธเจ้าข้า...มีภาพเกิดขึ้นหรือยังคะ..?”
ศิษย์        :“มีแล้ว เจริญมากกว่านี้มากค่ะ”
ครู         :“ขอดูกรุงเทพมหานคร อันเป็นเมืองหลวง ดูความเจริญของประเทศ”
ศิษย์        :“โอ้โฮ ตึกรามบ้านช่องสูง ๆ เต็มไปหมด”
ครู         :“สะพานลอยเกลื่อน ยังกะในหนังญี่ปุ่น ไขว่ไปหมด ถนนหนทางดี ผู้คนมากมาย”
ครู         :“มีวัดไหมมากไหมคะ...?”
ศิษย์        :“มากครับ”
ครู         :“แสดงว่าพระพุทธศาสนาเราทรงอยู่ได้แน่นอน ประเทศไทยก็เป็นเอกราชต่อไป”

( ครูถามเด็กชายอายุ ๙ ขวบ และ ๑๑ ขวบ)

ครู         :“เอ้าหนู หนูขอบารมีพระพุทธเจ้าช่วยให้เห็นภาพอาชีพของหนูเมื่อโตขึ้น ควรจะประกอบอาชีพอะไรดี จึงจะมีความคล่องตัว ร่ำรวย ขอท่านดูภาพนะจ๊ะ เห็นอะไรบอกมา”
ศิษย์ (อายุ ๙ ขวบ)       :“เห็นเป็นหมอทำฟันครับ”
ศิษย์ (อายุ ๑๑ ขวบ)       :“เห็นภาพนั่งโต๊ะทำงานเป็นบริษัทครับ”
ครู         :“หนูต้องเลือกเรียนตามอาชีพที่เหมาะสมกับหนูตามที่เห็นในภาพนะจ๊ะ หนูชอบอาชีพที่ปรากฏในภาพไหมจ๊ะ..?”
ศิษย์        :“ชอบครับ”
ครู         :“ตั้งใจเรียนนะจ๊ะ ถ้าขัดข้องขึ้นมากราบขอพรจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอให้หนูตัดสินใจถูกแล้วทุกอย่างจะราบรื่น คล่องตัวดี หรื่อถามท่านพ่อ ท่านแม่ก็ได้ แต่อย่าถามองค์อื่น ๆ พร่ำเพรื่อนะจ๊ะ องค์ไหนเป็นองค์นั้น ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านไม่หรอกลูกนะจ๊ะ ท่านจะช่วยหนู”
ครู         :“บั้นปลายชีวิตของทุกคน เราตายแน่ ฉะนั้นเวลานี้ขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านช่วยให้เห็นภาพตามความเป็นจริงว่าข้าพระพุทธเจ้าจะตายเมื่ออายุเท่าไร เป็นโรคอะไรตาย ก่อนตายมีอารมณ์ใจเป็นอย่างไร ขอองค์สมเด็จพระจอมไตรช่วยให้เห็นภาพชัด ๆ พระพุทธเจ้าข้า....เอ้า!ต่างคนต่างดูนะคะ จะถามทีละคนไป ของคุณมีภาพหรือยังคะ...?”
ศิษย์        :“มีแล้วครับ นอนอยู่”
ครู         :“ถามท่านซิคะว่า เป็นโรคอะไรตาย...?”
ศิษย์        :“ เอามือจับท้อง คงเป็นทางท้อง”
ครู         :“ ความรู้สึกของใจโรคอะไรคะ...?”
ศิษย์        :“โรคกระเพาะครับ”
ครู         :“อายุเท่าไร...?”
ศิษย์        :“๗๐ ปีเศษ ครับ”
ครู         :“สถานที่ตายที่บ้าน หรือที่โรงพยาบาล หรือที่อื่น ๆ คะ..?”
ศิษย์        :“บ้านครับ”
ครู         :“เวลานี้ความรู้สึกเราเป็นทิพย์จะบอกได้ว่า อารมณ์ตอนใกล้ตายหมดลมหายใจเล็กน้อยนั้น เราตัดสินใจยังไงคะ...?”
ศิษย์        :“ร่างกายเป็นทุกข์ โลกนี้ไม่มีอะไรดี ขอไปนิพพาน”
ครู         :“เมื่อตัดสินใจอย่างนั้นแล้ว ดูรอบ ๆ ตัวเราซิคะ มีใครมาบ้างไหม ขอบารมีพระพุทธเจ้าช่วยให้เห็นภาพชัด ๆ”
ศิษย์        :“มากันมากมายเต็มสถานที่”
ครู         :“ดูในภาพซิคะ ท่านผู้ใดที่อยู่ใกล้ตัวเราที่สุด...?”
ศิษย์        :“พระพุทธเจ้าประทับยืนอยู่ที่หัว ท่านแม่ หลวงพ่อมารับ พ่อแม่ข้างบน พรหม เทวดา มารับกันมากครับ”
ครู         :“ เมื่อคุณเห็นท่านมา คุณออกไปกราบท่านได้ไหมคะ...?”
ศิษย์        :“ออกไปได้แล้วครับ ก็ไปกราบท่าน”
ครู         :“เมื่ออกไปแล้ว กราบพระท่านแล้ว เหลียวมาดูร่างกายเราที่นอนอยู่ซิคะ มันน่ารักไหม อยากจะอยู่ในร่างกายอย่างนี้อีกไหม..?”
ศิษย์        :“ไม่เอาแล้ว”
ครู         :“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะว่าร่างกายที่นอนตายอยู่นั่นแก่ก็เท่านั้น เหี่ยวก็เท่านั้น ทรุดโทรม ไม่มีอะไรน่ารักตรงไหนเลย คุณดูภาพต่อไปเลยว่าค่ะว่า เมื่ออทิสสมานกายออกไปแล้วไปไหนต่อ..?”
ศิษย์        :“ตามพระพุทะธเจ้าไป พอเคลื่อนขบวน ก็มีรถทิพย์มารับเป็นแก้วขาวสวย มีเทวดาล้อมรถ ไปนิพพาน”
ครู         :“ดีใจไหมคะ ถ้าคุณทรงกำลังอย่างวันนี้ได้เรื่อย ๆ ไม่ทิ้งอารมณ์พระนิพพาน ภาพที่เกิดวันนี้ก็เป็นที่พอใจใช่ไหมคะ”
ครู         :“คนอื่น ๆ เป็นยังไงคะ ขณะที่ถามคนหนึ่งคุณดูภาพของคุณได้วยหรือเปล่าคะ...?”
ศิษย์        :“ดูค่ะ แต่ของดิฉันเป็นโรคลม เป็นลมตาย”
ครู         :“ของใครก่อนตายทรมานมาก ๆ มีไหมคะ...?”
ศิษย์        :“มีค่ะ”
ครู         :“ถ้าอย่างนั้น ให้ขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วย ขอท่านปู่ ท่านย่า ท่านพญายมราชช่วย ท่านพ่อ ท่านแม่ ขอท่านโปรดสงเคราะห์ด้วย ขออย่าให้มีความทุกขเวทนาตอนใกล้จะตาย เพื่อจะได้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ จะได้นึกถึงพระนิพพาน และนึกถึงพระพุทธเจ้าได้ เมื่อขอท่านแล้ว ดูภาพซิคะว่า ก่อนตายภาพที่เคยทรมาน บัดนี้มีการเปลี่ยนแปลงหรือยัง...?”
ศิษย์        :“เปลี่ยนไปแล้วครับ ไม่ทรมานมาก จะมีก็นิดหน่อย พอทนได้”
ครู         :“ก็ดี กราบขอบพระคุณสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ และท่านพญายมราชที่สงเคราะห์เราในครั้งนี้”

ฝึกยถากรรมมุตาญาณ

ครู         :“ ต่อไปเป็นยถากรรมมุตาญาณ ดูกฏของกรรมที่ทำให้เราได้รับผลเป็นสุข หรือเป็นทุกข์ จากคราวที่แล้วเราทราบว่า เราทำความดีอย่างไรจึงได้เป็นเทวดา เป็นพรหมได้ และในการเกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานนั้นเพราะเราทำความชั่วอะไรไว้
            โดยเฉพาะที่เราเกิดเป็นคนแต่ละชาติก็ไม่เหมือนกัน บางชาติเราเกิดเป็นคนรวย เพราะผลของทาน และบางชาติ เราก็ยากจน เพราะความขี้เหนียว บางชาติเราก็เกิดเป็นคนมียศใหญ่ บางชาติก็เกิดเป็นคนสวย เพราะอานิสงส์ของศีล มีเมตตา แต่บางชาติเราก็เกิดเป็นคนขี้ริ้วขี้เหร่ ไม่สวย เพราะมีใจโหดร้าย ไม่รักษาศีล ขาดเมตตา นี่แตกต่างกันไป แล้วแต่ผลของกรรมที่เราทำไว้ส่วนไหนจะให้ผล
            ชาตินี้เราเกิดเป็นคนตั้งแต่เล็กจนจำความได้มาจนโต เราต้องพบกับความทุกข์จากการมีร่างกาย เช่น ความป่วยไข้ไม่สบาย นี้เป็นเพราะผลของกรรมอะไร ขอบารมีพระพุทธเจ้าช่วยให้เห็นภาพตามความเป็นจริงพระพุทธเจ้าข้า”
ศิษย์        :“ฆ่าสัตว์”
ครู         :“ใช่แล้ว ฆ่าสัตว์ ฆ่าคน ทรมานสัตว์ กรรมประเภทนี้ต้องไปใช้หนี้กันในนรกก่อน พ้นมาก็เป็นเปรต อสรุกาย สัตว์เดรัจฉาน มาถึงคนก็รับผลเป็นเศษเล็กน้อยแล้ว”
ครู         :“ในบางขณะเคยบ้างไหมที่เราถูกคนเขาด่า เขานินทาว่าร้าย ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้ด่าเขา บางทีไม่มีเรื่องกันด้วยซ้ำไป ก็ถูกกล่าวหาว่าร้าย”
ศิษย์        :“เคยค่ะ”
ครู         :“ขอดูภาพซิคะว่า เป็นเพราะผลของกรรมเรื่องอะไร...?”
ศิษย์        :“เราเคยด่าเขาไว้ก่อน”
ครู         :“นั้น ดูภาพซิคะ ทำปากยุบยิบ ๆ เราด่าเขาไว้ก่อน พอเขาด่าเราบ้างเป็นการใช้หนี้ คิดว่าหนี้ใช้กันไป”
            ดังนั้นถ้าเราถูกเขาด่า เขานินทา ก็อย่าเพิ่งรีบไปด่าตอบเขา รวบรวมกำลังใจไปหาพระพุทธเจ้า ขอดูภาพในอดีตว่าเราเคยด่าเขาไว้ก่อนหรือเปล่า ถ้าเคยก็ใช้หนี้กันไป ใจเราก็สบาย ถ้าไม่เคยก็คิดว่า คนที่เขาด่าเรา นินทาว่าร้ายเราโดยไม่มีเหตุไม่มีผลอย่างนี้ ตายแล้วเขาจะไปไหน ถ้าเขาต้องไปนรก คุณจะไปโกรธเขาไหมคะ...?”
ศิษย์        :“ไม่โกรธค่ะ”
ครู         :“ดีแล้ว เพราะถ้าเราโกรธเขา ก็ไปนรกกับเขาด้วยเอาไหมล่ะ..?”
ศิษย์        :“ไม่เอา”
ครู         :“ต่อไปดูภาพกฎของกรรมส่วนดีบ้าง เรามีปัญญามองเห็นผิดชอบชั่วดี และรู้ว่าการให้ทานดี รักษาศีลดี เจริญพระกรรมฐานดี เรามาฝึกมโนมยิทธิได้ เราไปนิพพานได้โดยเฉพาะเราต้องการนิพพาน ซึ่งเป็นอารมณ์ที่ยากมาก คนทั่ว ๆ ไปน้อยคนนักที่จะตัดสินใจอย่างเราได้ การตัดสินใจได้อย่างนี้ แสดงว่ามีความดีมาในกาลก่อนจึงให้ผลดลจิตใจให้ใฝ่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความดีที่ส่งผลในโอกาสนี้นั้นเป็นความดีในด้านใดพระพุทธเจ้าข้า ขอดูภาพนะคะ”
ศิษย์        :“มีภาพการให้ทาน สร้างโบสถ์ วิหาร”
ศิษย์        :"สร้างพระ"
ศิษย์        :“ถือศีล เจริญภาวนา”
ศิษย์        :“สงเคราะห์บุคคลยากจน”
ครู         :“ขอดูภาพต่อไปเลยนะคะว่าการทำความดีดังกล่าวแล้ว แต่ละชาติ จะเป็นการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาก็ดี เราได้เคยตั้งใจไว้เป็นคำอธิษฐานบ้างไหมว่าการทำบุญคราวนี้ต้องการอะไร ขอบารมีพระพุทธเจ้าช่วยให้เห็นภาพ”
ศิษย์        :“เคยค่ะ อธิษฐานขอไปนิพพาน”
ครู         :“นี่แหละ ความตั้งใจอีกทีว่าเราทำความดีอย่างนี้ ๆ เราต้องการนิพพาน เป็นกำลังส่งผลให้เราต้องการพระนิพพานในชาตินี้”
ครู         :“ขอดูภาพอีกทีว่าเคยอธิษฐานแบบนี้มากี่ชาติแล้ว...?”
ศิษย์        :“มากมายนับไมถ้วนค่ะ”
ครู         :“เห็นไหมว่า การทำความดีมีการสะสมกันมาทุกชาติจนกว่ากำลังใจ ของเราจะเต็ม ก็ถึงพระนิพพานได้”
ครู         :“เป็นอันว่าถ้าอะไรก็ตามมันเกิดขึ้นกับเราก็อย่ากังวลใจ ดูต้นเหตุว่าเป็นผลของกรรมด้านใดที่เราทำเอาไว้ ยามนี้เรามีชีวิตอยู่เราต้องรับผลของกรรมทั้งดีและเลว ยามที่เราสบายใจจิตเป็นสุข นั่นแสดงว่าผลกรรมดีในกาลก่อน กำลังให้ผล
            เวลาไหนที่เราเกิดกลุ้ม อึดอัด จิตใจไม่สบายทรมาน ความรู้สึกบางครั้งทนแทบไม่ไหวในการทรงชีวิตอยู่ นั่นแสดงว่าขณะนั้นกรรมชั่วในการก่อนกำลังให้ผลอยู่ ตราบใดที่เรายังมีร่างกายอยู่ มันหนีกฏของกรรมไม่พ้นแน่นอน ก็ต้องถือว่า...ช่างมัน ให้ผลประเดี๋ยวเดียวก็สลายตัวไป กรรมดีบ้าง ชั่วบ้าง แล้วแต่จังหวะของกรรมที่เราทำมาใจเราก็สบาย ถ้าเรายอมรับความสุข ความทุกข์ว่าเป็นธรรมดาได้จิตใจก็สบาย
            เป็นอันว่าญาณ ๘ ประการก็จบเท่านี้ อย่าลืมว่า เราอาศัยทิพจักขุญาณตัวเดียวเท่านั้นในการรู้เรื่องราวต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้วโดยสังเขป และท่านที่ฝึกได้แล้วก็จงจำไว้ว่า เรารู้อดีต ปัจจุบัน อนาตคต ของเราและของบุคคลอื่นได้นี้ พระท่านห้ามนำไปเป็นหมอดูนะคะ ท่านให้ไว้เพื่อเป็นเครื่องช่วยในการตัดกิเลสเท่านั้น นอกจากเราจะซ้อมอารมณ์ทิพจักขุญาณกับเพื่อนนักปฎิบัติด้วยกันเพื่อความถูกต้องเท่านั้น
            สำหรับการฝึกญาณ ๘ ก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้นะคะ”

(จบคำแนะนำในการฝึกญาณ ๘)