ที่ว่าให้ทำอินทรีย์ให้เสมอกันนั้น   คือให้กระทำศรัทธา   วิริยะ   สติ   สมาธิ   ปัญญา   นั้นเสมอกัน     ถ้าศรัทธานั้นกล้ากว่า    วิริยะ   สติ    สมาธิ   ปัญญา   ข่มวิริยะ    สติ   สมาธิ   ปัญญา   อยู่แล้ว    วิริยะก็จะมิอาจสามารถกระทำปัคคหกิจ    คือบ่มิอาจค้ำชูจิตนั้นไว้ให้ยั่งยืนอยู่ในพิธีทางภาวนานั้นได้    สตินั่นจะมิอาจกระทำอุปฏฐานกิจ   คือมิอาจบำรุงจิตให้ยึดเหน่วงอารมณ์แห่งพระกรรมฐานนั้นได้   สมาธินั้นก็จักมิอาจกระทำอวิกเขปนกิจ   คือมิอาจดำรงจิตไว้ให้แน่เป็นหนึ่งได้    ปัญญานั้นเล่าก็จักมิอาจกระทำทัสสนกิจ     คือมิอาจพิจารณาเห็นอารมณ์คือปฏิภาคนิมิตนั้นได้    เป็นทั้งนี้ก็อาศัยด้วยศรัทธานั้นกล้าหาญนัก   
  วิริยะนั้นเล่าถ้ากล้าหาญข่มศรัทธา    สติ   สมาธิ   ปัญญา   อยู่แล้วศรัทธาจักมิอาจกระทำอธิโมกขกิจ    คือมิอาจกระทำให้จิตนั้นมีศรัทธากล้าหาญมีกำลังข่มได้    สติแลสมาธิปัญญาก็จักมิอาจสามารถที่จะให้สำเร็จกิจแห่งตน   ๆ   ได้    อาศัยด้วยวิริยะกล้าหาญมีกำลังนัก    สมาธินั้นเล่าถ้ามีกำลังข่มศรัทธา     วิริยะ   สติ   ปัญญา   อยู่แล้ว   ศรัทธา    วิริยะ   สติ   ปัญญา   นั้นก็จะมิอาจสามารถสำเร็จกิจแห่งตน  ๆ   ได้   ทีนั้นความเกียจคร้านก็จะครอบงำย่ำยีได้เพราะเหตุว่าสมาธินั้นเป็นฝักฝ่ายโกสัชชะ     ปัญญานั้นเล่าถ้ากล้าหาญข่มศรัทธา   วิริยะ   สติ   สมาธิอยู่เเล้ว    ศรัทธา   วิริยะ   สติ    สมาธิ   ก็จะมิอาจสามารถให้สำเร็จกิจแห่งตน  ๆ    ได้    ทีนั้นก็จะเห็นผิดเป็นเกราฏิยปักข์มักโอ้อวดไปกลับหลังมิได้ใคร่จะได้     ดุจโรคอันเกิดขึ้นด้วยยาพิษแลรักษายากนัก    
  แต่สติสิ่งเดียวนั้นถึงจะกล้าหาญมีกำลังมาก    ก็มิได้เป็นโทษ    สติย่อมรักษาไว้ซึ่งจิตมิให้ฟุ้งซ่านเกียจคร้านได้     ศรัทธากล้า   วิริยะกล้าปัญญากล้า     จิตจะตกไป    ฝ่ายอุทธัจจะฟุ้งซ่านอยู่แล้ว     สติก็รักษามิให้ฟุ้งซ่านกำเริบได้   สมาธิกล้า    จิตจะตกไป     ฝ่ายโกสัชชะจะเกียจคร้านอยู่แล้ว   สติก็รักษาไว้มิให้เกียจคร้านได้สตินี้เปรียบประดุจดังว่า   เกลือเจือไปในสูปพยัญชนะทั้งปวง     ถ้ามิดังนั้นเปรียบประดุจดังมหาอำมาตย์ผู้ใหญ่    อันเอาใจใส่รอบครอบไปในราชกิจทั้งสิ้นทั้งปวง   สติมากนี้ดีเสียอีก     จะเป็นโทษนั้นหามิได้     แต่ศรัทธา     วิริยะ   สมาธิ    ปัญญา    ทั้ง  ๔   นี้จำจะกระทำให้เสมอกันจึงจะดี     
  ศรัทธานี้ถ้ากล้าหาญมีกำลังปัญญาน้อย     ก็น่าที่จะเลื่อมใสในอันใช่ฐานะภายนอกพระศาสนา    ปัญญานั้นเล่าถ้าว่ามีกำลังศรัทธากล้าศรัทธาน้อยก็จะเห็นผิดเป็นเกราฏิยปักข์ไป     เมื่อใดปัญญาแลศรัทธากล้าเสมอกันแล้ว    จึงจะเลื่อมใสในพระรตนัตยาทิคุณ   ๓   ประการ   มีพระพุทธคุณเป็นต้น    สมาธินั้นเล่าถ้ากล้าหาญวิริยะน้อย   ความเกียจคร้านก็จะครอบงำย่ำยี    ถ้าวิรยะกล้าสมาธิน้อยจิตฟุ้งซ่านกำเริบไปเมือใดวิริยะดับสมาธินั้นเสมอให้เสมอกัน     จึงจะดีในการที่จะเจริญพระกรรมฐาน   
   เหตุฉะนี้กุลบุตรผู้เรียนพระกรรมฐาน    พึงกระทำให้ศรัทธากับปัญญานั้นเสมอกัน    ประกอบวิริยะกลับสมาธินั้นให้เสมอกัน    เมื่อม้าทั้ง   ๔   คือ   ศรัทธา   ปัญญา   วิริยะ    สมาธิ   เดินดีเสมอกันอยู่แล้ว   ราชรถกล่าวคือจิตก็จะไปได้ถึงที่เกษม      คืออัปปนาอันเที่ยงแท้    ถ้าศรัทธา   ปัญญา   วิริยะ   สมาธิ    ทั้ง  ๔   นี้ไม่เสมอกันจะมิได้อัปปนาฌานเลย    จะเป็นดังนั้นหรือท่านว่าไว้อีกนัยหนึ่งว่า      อปิจ    สมาธิกมฺมิกสฺส      พลวตีปิ     สทฺธา    วฏฏติ      ว่าภิกษุผู้เรียนสมณกรรมฐานนี้    ถึงศรัทธาจะกล้าหาญก็ควรอยู่    เพราะเหตุว่าศรัทธานั้นเมื่อบังเกิดกล้าหาญเชื่อแท้ในพระกรรมฐาน    หยั่งลงในพระกรรมฐานเป็นมั่นแล้ว     อปฺปนํ    ปาปฺณิสฺสติ    ก็อาจให้ถึงซึ่งอัปปนาฌานโดยประสงค์ผู้เรียกวิปัสสนานั้น    ถ้าปัญญากล้าหาญ    มีกำลังก็ควรอยู่      ปัญญาที่กล้านั้นจะได้ตรัสรู้ซึ่งอนิจจลักษณะ    ทุกขลักษณะ    อนัตตลักษณะด้วยเร็วพลัน    ท่านว่าไว้เป็นกอปรนัยออกมาฉะนี้    ที่ว่าเห็นจิตควรจะยกย่องก็ให้ยกย่องนั้นคือขณะเมื่อนั่งจิตในพระกรรมฐานภาวนานั้น    
   ถ้าเห็นว่าจิตนั้นหดห่อท้อถอยตกไปฝักฝ่ายโกสัชชะเกียจคร้านแท้แล้ว     ก็พึงเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์แลวิริยสัมโพชฌงค์     แลปีติสัมโพชฌงค์  ๓   นี้    ตามแต่จะเจริญโพชฌงค์อันใดอันหนึ่งพึงกระทำให้จิตอันหดห่อนั้นเฟื่องฟูขึ้นก่อน     แล้วจึงจะเจริญพระกรรมฐานภาวนาสืบต่อไป       ในกาลเมื่อจิตหดห่อนั้นอย่าพึงเจริญปัสสิทธิสัมโพชฌงค์     แลสมาธิสัมโพชฌงค์     แลอุเบกขาสัมโพชฌงค์จิตจะหดห่อหนักไป   เปรียบดังชายอันก่อเพลิงอันน้อย     เพลิงน้อยจะดับอยู่แล้วถ้าเอาหญ้าสดมูลโคสดฟืนสดมาใส่เข้า     กวาดเอาฝุ่นมามูลเข้า    เพลิงนั้นก็จะดับไป     ถ้าเห็นเพลิงนั้นน้อยอยู่แล้วแลเอามูลโคแห้ง   ๆ     มาติดเข้าเอาหญ้าแห้งมาวางลง     เอาฟืนแห้งมาเกรียงออกใส่เข้าไว้อุตสาห์เป่าไปด้วยลมปากเพลิงนั้นก็จะติครุ่งเรืองเป็นแท้    อันนี้แลฉันใด    
   อุปไมยดังโยคาพจรผู้เจริญพระกรรมฐานภาวนา  ๆ   นั้นเมื่อเห็นว่าจิตหดห่ออยู่แล้ว    แลเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์   สมาธิสัมโพชฌงค์    อุเบกขาสัมโพชฌงค์    จิตนั้นก็จะหดห่อหนักไป    อุปมาดังเพลิงน้อยอันจะดับอยู่แล้ว   แลชายเอามูลโคสดหญ้าสดมาใส่ลงแลดับไปนั้น     ถ้าเห็นว่าจิตหดห่ออยู่แล้ว    แลเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์    วิริยสัมโพชฌงค์    ปีติสัมโพชฌงค์    จิตที่หดห่อนั้นก็จะเฟื่องฟูขึ้น     อุปมาดังชายเห็นเพลิงน้อยแล้ว    แลเอามูลโคแห้งหญ้าแห้งฟืนแห้งมาใส่ลงเป่าไป   ๆ    แลได้กองเพลิงอันใหญ่รุ่งเรืองนั้น     
    ที่ว่าจิตควรจะข่มก็พึงข่มนั้นอธิบายว่า    ถ้าจิตฟุ้งซ่านด้วยสามารถศรัทธากล้า    วิริยะกล้า    ปัญญากล้า    เห็นว่าฟุ้งซ่านกำเริบร้อน    ก็พึงเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์     สมาธิสัมโพชฌงค์    อุเบกขาสัมโพชฌ.ค์     พระโพชฌงค์ทั้ง   ๓    นี้    ตามแต่จะเจริญโพชฌงค์อันใดอันหนึ่ง    แลปีติสัมโพชฌงค์    จิตจะฟุ้งซ่านมากไป   กระทำอาการให้เหมือนชายอันจะดับกองเพลิงอันใหญ่  ๆ   นั้น    ก็ขนเอาหญ้าสด   ๆ    มูลโคสด   ๆ   ฟืนสด   ๆ   มาทุ่มลง   ๆ   เพลิงนั้นก็จะดับไปอันควรแก่อัชฌชสัย     ถ้าแลปรารถนาจะดับกองเพลิงอันใหญ่    แลขนเอาหญ้าแห้งมูลโคแห้งฟืนแห้งมาทุ่มลง  ๆ     แล้วเพลิงนั้นก็จะหนักไป   ๆ   ฉันใดก็ดี   พระโยคาพจรผู้เจริฐพระกรรมฐานภาวนานี้    
    ถ้าเห็นจิตฟุ้งซ่านอยู่แล้วแลเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์    วิริยสัมโพชฌงค์    ปีติสัมโพชฌงค์จิตนั้นก็กำเริบหนักไป     ถ้าว่าจิตฟุ้งซ่านอยู่แล้ว    แลเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์     สมาธิสัมโพชฌงค์    อุเบกขาสัมโพชฌงค์    จิตนั้นก็จะสงบสงัดระงับลง    เปรียบประดุจชายอันจะดับกองเพลิงอันใหญ่    ขนเอาโคมัยแลหญ้าแลไม้ที่สด  ๆ   มาทุ่มลง   ๆ   แลเปลวเพลิงดับไปนั้นแลคำที่ว่าจิตควรจะให้ชื่นก็กระทำให้ชื่นนั้น    ขณะเมื่อจิตสังเวชสลดอยู่เป็นเหตุด้วยพิจารณา   สังเวควัตถุ    ๓    ประการคือ     ชาติทุกข์    ชราทุกข์   พยาธิทุกข์    มรณทุกข์    อดีตทุกข์    อนาคตวัฏฏทุกข์    ปัจจุบันนาหารปริเยฏฐิตทุกข์นั้น    พระโยคาพจรเจ้าเห็นว่าจิตนั้นสลดไปก็ถึงระลึกถึง   พุทธคุณ   ธัมมคุณ   สังฆคุณ    พึงกระทำจิตนั้นให้ผ่องใสบริสุทธิ์ให้ชื่นอยู่     ด้วยระลึกถึงพระรตนัตยาธิคุณอย่างนี้แลได้ชื่อว่ากระทำน้ำจิตที่สมควรจะให้ชื่นนั้นให้ชื่นชมโสมนัส    
   ที่ว่าจิตควรจะเพ่งดูก็ให้พึงเพ่งดูนั้น    คือขณะเมื่อจิตประพฤติเป็นอันดี      ตามกรรมฐานวิถีอยู่แล้ว   พระโยคาพจรถึงประพฤติมัธยัสถ์เพ่งดูซึ่งจิต     อันประพฤติเสมอไล่ตามสมถวิถีนั้น     กระทำอาการให้เหมือนนายสาารถีอันขับรถ     เห็นพาชีเดินเสมออยู่แล้วแลไม่ตีไม่ต้อนคอยแต่ดู   ๆ     ที่ว่าให้เว้นซึ่งบุคคลอันมีจิตมิได้ตั้งมั่นคือให้ละเสียซึ่งบุคคลอันมิได้ปฏิบัติข่มฌาน     มีจิตอันฟุ้งซ่านกำเริบอยู่ด้วยอารมณ์ต่าง    ๆ    ขวนขวายที่จะกระทำการต่าง   ๆ  นั้น      พึงสละเสียให้ไกลอย่าได้คบหาสมาคม      พึงสมาคมด้วยบุคคลอันมีจิตตั้งมั่น    ๆ   นั้น    ได้แก่บุคคลผู้ปฏิบัติในฌาน    มักเข้าไปหาสู่สมาคมด้วยท่านที่ได้สมาธิจิต     คนจำพวกนี้แลได้ชื่อว่าบุคคลมีจิตอันตั้งมั่น   ๆ    นี้     สมควรที่พระโยคาพจรจะพึงคบหาสมาคม   
   ตทธิมุตฺตตา      ประการหนึ่งให้มีใจเคารพในอัปปนาสมาธิ    พึงกระทำน้ำจิตนั้นให้ง้อมให้เงื้อมไปในอัปปนาสมาธิ     สิริเป็นอัปปนาโกศล    ๑๐   ประการด้วยกัน     แลพระโยคาพจรผู้กระทำความเพียรในกรรมฐานภาวนานั้น   ให้กระทำเพียงแค่อย่างกลาง     อย่าให้กล้านักอย่าให้อ่อนนัก     ครั้นกระทำความเพียรกล้านักจิตก็จะฟุ้งซ่านกำเริบระส่ำระสาย      ครั้นกระทำความเพียรอ่อนนัก    ความเกียจคร้านก็จะครอบงำย่ำยีสันดานได้กระทำเพียรแต่อย่างกลางนั้นแลดี      มีอุปมาดุจแมลงผึ้ง   ๓   จำพวก   
   แมลงผึ้งจำพวกหนึ่งนั้นมิได้ฉลาดรู้ว่า   ดอกไม้ในประเทศโพ้นบานอยู่แล้วบินให้เร็วนักก็เกินไป    ครั้นรู้ตัวว่าเกินแล้วกลับมา      ละอองเกสรก็สิ้นเสียด้วยแมลงผึ้งจำพวกอื่น     ตนก็ชวดได้ละอองเกสร     ยังแมลงผึ้งจำพวกหนึ่งนั้นเล่าก็ไม่ฉลาด     เมื่อจะไปเอาชาติดเกสรนั้นบินช้านัก     ละอองเกสรก็สิ้นเสียแล้วด้วยแมลงจำพวกอื่น      ตนก็ชวดได้ละอองเกสรนั้น   
   แมลงผึ้งจำพวกหนึ่งนั้นฉลาด     เมื่อจะเอาชาตินวลละอองเกสรนั้น     บินไปไม่ช้านักไม่เร็วนัก     ก็คลึงเคล้าเอาเกสรเรณูนวลได้ดังความปรารถนา    อันนี้แลมีฉันใด    พระโยคาพจรที่กระทำความเพียรกล้านักแลอ่อนนักนั้น   ก็มิได้สำเร็จฌานสมาบัติดังความปรารถนา    มีอุปมาเหมือนแมลงผึ้ง   ๒    จำพวกที่มิได้ฉลาด    บินเร็วนักแลช้านักแลมิได้ละอองเกสรนั้น    พระโยคาพจรที่กระทำเพียรเป็นปานกลาง     แลได้สำเร็จกิจอัปนาฌานนั้น    มีอุปไมย เหมือนแมลงผึ้งที่ฉลาดบินไม่เร็วนักไม่ช้านัก     แลได้ละอองเกสรสำเร็จดังความปรารถนานั้น    
  ถ้ามิดังนั้นเปรียบต่อศิษย์     ๓    คนอันขีดใบบัวที่ลอยน้ำ     อาจารย์ว่าผู้ใดเอามีดขีดลงให้ใบบัวนี้เป็นรอย     อย่าให้ใบบัวนี้ขาดอย่าให้จมลงในน้ำ     กระทำได้ดังนี้แล้วจะได้ลาภของสิ่งนั้น   ๆ    แลศิษย์     ๒    คนนั้นไม่ฉลาด     คนหนึ่งขีดหนักไปใบบัวก็จมไป    คนหนึ่งนั้นกลัวใบบัวขาดก็มิอาจกดคมมีดลงได้    ศิษย์   ๒   คนก็หาได้ลาภสักการไม่    ศิษย์คนหนึ่งนั้นฉลาดขีดไม่หนักไม่เบานั้น    ใบบัวนั้นก็เป็นรอยแล้วก็ไม่ขาดไม่จมลงในน้ำ    
  ศิษย์นั้นก็ได้ลาภสักการอันนี้แลมีฉันใด      พระโยคาพจรที่กระทำความเพียรกล้านักอ่อนนักก็ไม่ได้ฌาน    ที่กระทำเพียรเป็นปานกลางนั้นได้ฌานมีอุปไมยดังนี้     ถ้ามีดังนั้นเปรียบต่ออำมาตย์    ๓   คน    พระมหากษัตริย์ตรัสว่า    ถ้าผู้ใดนำเอาใยแมลงมุมมาได้ยาว   ๔    วา   จะได้พระราชทานทรัพย์    ๔   พัน   อำมาตย์สองคนนั้นไม่ฉลาด   คนหนึ่งนั้นฉุดคร่าเอามาโดยเร็ว   ๆ  พลัน   ๆ   ใยแมงมุมนั้นก็ขาดเป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่หาได้ยาว    ๔    วาไม่     คนหนึ่งนั้นก็กลัวจะขาดมิอาจจับต้องใยแมลงมุมนั้นได้    อำมาตย์ทั้ง   ๒   นี้ก็มิได้ทรัพย์    อำมาตย์คนหนึ่งนั้นฉลาดกระทำเพียรพันเอาด้วยไม้     ด้วยอาการอันเสมอไม่ช้านักไม่เร็วนัก      ก็ได้ใยแมลงมุมยาว     ๔   วา     ได้ทรัพย์    ๔   พันกหาปณะอันบรมมหากษัตริย์พระราชทาน   
   ถ้ามิดังนั้นเปรียบด้วยนายสำเภา     ๓    คนผู้หนึ่งกล้าหาญเกินประมาณ     ปะลมพายุกล้าก็ไม่ซาใบเลย    สำเภาก็จะเสียด้วยลมพายุกล้า    คนหนึ่งนั้นปะแต่ลมอ่อน   ๆ   ก็ซาใบสำเภาหยุดอยู่มิได้แล่นไปถึงที่ควรแก่ปราถนา     คนหนึ่งฉลาดเห็นลมอ่อนก็ชักใบตามเสา     เห็นลมกล้าก็ซาใบเล่นสำเภาไปด้วยอาการอันเสมอ      ก็ถึงประเทศควรแก่ปรารถนา     
    ถ้ามิดังนั้นเปรียบเหมือนศิษย์     ๓    คนอาจารย์นั้นว่า    ถ้าใครหล่อน้ำมันลงไปในปล้องไม้อย่าให้หกให้บ่า    คนหนึ่งนั้นก็ไม่ฉลาดกลัวน้ำมันจะหกก็มิอาจเทน้ำมันนั้นลงได้   ศิษย์ทั้ง    ๒    ก็บ่มิลาภสักการ     ศิษย์ผู้หนึ่งนันฉลาดค่อยเทด้วยอันประโยคอันเสมอน้ำมันก็ไหลลงอันเป็นอันดี      มิได้หกได้บ่าศิษย์ผู้นั้นก็ได้ลาภอันอาจารย์ให้สำเร็จโดยจิตประสงค์      อันนี้แลมีฉันใดพระโยคาพจรที่กระทำความเพียรกล้าหาญยิ่งนักนั้น     จิตก็ตกไป    ฝ่ายอุทธัจจะฟุ้งซ่านไปมิอาจได้สำเร็จฌานสมาบัติ    ที่กระทำความเพียรอ่อนนั้นเล่า    จิตก็ตกไปในฝ่ายโกสัชชะเกียจคร้านไป     มิอาจได้สำเร็จฌานสมาบัติ     พระโยคาพจรผู้กระทำความเพียรโดยประโยคอันเสมอ   ก็ได้สำเร็จฌานสมาบัติมีอุปไมยเหมือนดังนั้น      
    ในกาลเมื่อพระโยคาพจรเจ้ากระทำบรรลุถึงอัปปนาฌานนั้น    ในอัปปนาวิธีกามาพจรชวนะบังเกิด    ๓    ขณะบ้าง   ๔   ขณะบ้าง    ตามวาสนาที่เป็นทันธาภิญญาและขิปปาภิญญา        ถ้ากุลบุตรนั้นมีวาสนาช้า จะเป็นทันธาภิญญากามาพจรชวนะก็บังเกิด     ๔     ขณะถ้ากุลบุตรมีวาสนาเร็วจะเป็นขิปปภิญญากามาพจรชวนะ       ก็บังเกิด    ๓    ขณะ    กามาพจรชวนะที่บังเกิด   ๔    ขณะนั้น    ขณะเป็นปฐมชื่อว่าบริกรรมชวนะขณะเป็นคำรบ    ๒   ชื่อว่าอุปจารชวนะ     ขณะเป็นคำรบ    ๓    ชื่อว่าอนุโลมชวนะ     ขณะเป็นคำรบ   ๔     ชื่อว่าโคตรภูชวนะ     และกามาพจรชวนะที่บังเกิด     ๓     ขณะนั้น      ขณะเป็นปฐมชื่อว่าอุปจราชวนะ     ขณะเป็นคำรบ   ๒     นั้นชื่อว่าอนุโลมชวนะ     ขณะเป็นคำรบ    ๓    นั้นชื่อว่าโคตรภูชวนะ     ข้อซึ่งกามาพจรเป็นปฐมเรียกว่าบริกรรมชวนะนั้น      
   เพราะเหตุเป็นต้นเป็นเดิมในวิถีอันให้สำเร็จอัปปนา    เป็นผู้ตกแต่งอัปปนาก่อนชวนะ      อันเป็นคำรบ   ๒    คำรบ   ๓    และคำรบ   ๔    และกามาพจรชวนะอันเกิดที่   ๒    เรียกว่าอุปจารชวนะนั้น    เพราะเหตุบังเกิดในที่ใกล้จะสำเร็จซึ่งฌานและชวนะที่    ๓    เรียกว่าอนุโลมชวนะนั้น   เพราะเหตุประพฤติอนุโลมตามบริกรรมชวนะ      และอุปจารชวนะอันบังเกิดในต้น    นัยหนึ่งท่านว่าชวนะทั้ง    ๓   นี้    อนุโลมตามเหตุให้ได้สำเร็จซึ่งฌานเบื้องหน้า    เหตุดังนั้นจึงเรียกว่าอนุโลมชวนะ      และชวนะที่   ๔    เรียกว่าโคตรภูชวนะนั้น    เพราะเหตุครอบงำเสียซึ่งกามาพจรโคตรภูปกปิดเสียซึ่งกามาพจรชวนะ     มิไห้บังเกิดสืบต่อไปได้     
   โคตรภูชวนะนี้ถ้าบังเกิดที่   ๓     แล้ว    ฌานก็บังเกิดที่   ๔       ที่   ๕    นั้นก็ตกภวังค์     ถ้าโคตรภูชวนะบังเกิดที่    ๔   แล้ว    ฌานก็บังเกิดที่    ๕    ที่   ๖    นั้นเป็นภังค์     ฌานอันพระโยคาพจรแรกได้นั้น    บังเกิดขณะเดียวแล้วก็ตกภวังค์    จะได้บังเกิดเป็น    ๒    เป็น   ๓    เป็น   ๔   เป็น  ๕     ขณะนั้นหามิได้ฌานที่พระโยคาพจรแรกได้นั้น    ไม่ตั้งอยู่จนถึง   ๓   ขณะเลยเป็นอันขาดต่อเมื่อได้แล้วเบื้องหน้านั้น    ถ้าจะปรารถนาให้ตั้งอยู่สิ้นกาลเท่าใด     ก็ตั้งอยู่สิ้นกาลเท่านั้น    ที่จะกำหนดขณะจิตนั้นหามิได้    
    ถ้ากุลบุตรนั้นมีวาสนาเป็นทันธาภิญญาตรัสรู้ช้า    ฌานบังเกิดที่    ๕    ถ้ากุลบุตรเป็นขีปปาภิญญาวาสนาเเร็วตรัสรู้เร็ว    ฌานบังเกิดที่   ๔    ฌานนั้นจะได้บังเกิดในขณะแห่งชวนะเป็นคำรบ    ๖     คำรบ   ๗   นั้นหามิได้    เหตุไฉนฌานจึงมิได้บังเกิดในที่   ๖   ที่   ๗    วิสัชนาว่า   ฌานมิได้บังเกิดในที่    ๖   ที่   ๗   นั้น     เหตุชวนะที่    ๖   ที่  ๗      นั้นใกล้ที่จะตกภวังค์    ครั้นใกล้อยู่ที่จะตกภวังค์แล้วฌานก็มิอาจบังเกิดขึ้นได้   
   เปรียบต่อบุรุษอันบ่ายหน้าต่อเขาขาดแล้วเล่นไป    ถ้าจะหยุดก็จำจะหยุดแต่ไกลจึงจะหยุดได้       ถ้าไม่รออยู่แต่ไกลแล่นไปที่ใกล้ยังอีก    ๑-๒    วา    ถึงเขาขาดขะหยุดที่ไหนได้    น่าที่จะชวนตกลงไปในเขาขาดฉันใด     คือฌานอันจะบังเกิดนั้น    ก็บังเกิดแต่ขณะแห่งชวนะเป็นคำรบ   ๔   คำรบ   ๕    ไกลกันแต่ภวังค์    ยังมีอีก    ๑     ขณะ   ๒    ขณะจะตกภวังค์แล้ว    ฌานก็มิอาจบังเกิดได้    อุปไมยเหมือนดังนั้น    
   เมื่อฌานบังเกิดขึ้นในสันดานแล้ว     ก็พึงกำหนดไว้ว่า    อาตมาประพฤติอิริยาบทอย่างนี้  ๆ     อยู่ในเสนาสนะอย่างนี้   ๆ    ซ่องเสพโภชนาหารเป็นที่สบายอย่างนี้  ๆ    จึงจะได้สำเร็จฌานสมาบัติ    เอาเยี่ยงอย่างนายขมังธนูและคนครัว    นายขมังธนูผู้ฉลาดตกแต่งสายและคันและลูกนั้นให้ดี     ยิงไปที่ใด    และถูกขนทรายจามรีแล้ว    นายขมังธนูก็กำหนด    อาตมายืนเหยียบพื้นอย่างนั้น   ๆ   โก่งธนูให้น้อมเพียงนั้น   ๆ  เสียงสายดังอย่างนั้น   ๆ      จึงยิงถูกขนทรายจามรี    
    คนครัวที่ตกแต่งพระวรสุทธาโภชนาหารแห่งสมเด็จพระบรมกษัตริย์นั้นเล่า     ถ้ามื้อใดแลชอบพระทัยแล้วก็กำหนดไว้ว่า    เค็มเพียงนั้นผิดเพียงนั้นเปรี้ยวเพียงนั้นพอพระทัยพระมหากษัตริย์     อันนี้แลมีอุปมาฉันใด      พระโยคาพจรที่ได้สำเร็จฌานสมาบัตินั้น    ก็พึงกำหนดอิริยบถและเสนาสนะและอาหารเหมือนนายขมังธนูและคนครัวนั้น    
    เหตุไฉนจึงให้กำหนดอิริยาบถและเสนาสนะแลอาหารนั้นไว้    ให้กำหนดได้นั้นด้วยสามารถจะได้สืบต่อเมื่อภายหน้าเกลือกจะมีความประมาทฌานเสื่อมไปแล้ว     เมื่อจำเริญสืบต่อไปนั้นจะได้ประพฤติอิริยาบถเหมือนประพฤติมา        แต่ก่อนจะได้เสพเสนาสนะโภชนะเหมือนแต่ก่อน    ฌานที่เสื่อมสูญไปแล้วนั้นจะได้บังเกิดบริบูรณ์อยู่ในสันดาน    
   เมื่อพระโยคาพจรเจ้าได้สำเร็จปฐมฌานแล้ว   ก็พึงประพฤติปฐมฌานให้ชำนาญก่อน    จึงจำเริญทุติยฌานสืบต่อไป     พึงกระทำปฐมฌานด้วยวสีทั้ง     ๕   คือ    อาวัชชนวสี    ๑    สมาปัชชนวสี    ๑   อธิษฐานวสี   ๑    วุฏฐานวสี   ๑    ปัจจเวกขณวสี   ๑    เป็น   ๕   ด้วยกัน     อาวัชชนวสีนั้น    คือชำนาญในการพิจารณา      ถ้าปรารถนาจะพิจารณาองค์ฌานที่ตนได้    ก็อาจสามารถพิจารณาได้ด้วยเร็วพลันมิได้เนิ่นช้าไปเบื้องหน้า    
    แต่ชวนะ    ๔    ชวนะ    ๕    ภวังค์   ๒   และ    ๓     อาจพิจารณาได้แต่ชวนะ   ๔    ชวนะ   ๕     ในภวังค์อันบังเกิด   ๒   ขณะ     ๓    ขณะนั้นได้ชื่อว่าอาวัชชนวสี     และสมาปัชชวนวสีนั้นคือ    ชำนาญในการที่จะเข้าสู่สมาบัติ    อาจเข้าสู่สมาบัติได้ลำดับแห่งอาวัชชนจิตอันพิจารณาซึ่งอารมณ์    คือปฏิภาคนิมิตมิได้เนิ่นช้าไป    เบื้องหน้าแต่ภวังค์    ๒  และ   ๓   และอธิษฐานวสีนั้น     คือชำนาญในการที่จะรักษาไว้มิให้ฌานจิตนั้นตกภวังค์   ตั้งฌานจิตไว้ได้โดยอันควรแก่กำหนดปรารถนา    จะตั้งไว้เท่าใดก็ตั้งไว้ได้เท่านั้น     และวุฏฐานวสีนั้น    คือชำนาญในการจะออกจากฌาน    กำหนดไว้ว่าถึงเวลาเพียงนั้นจะออกจากฌานก็ออกตามเวลากำหนดไม่คลาดเวลาที่กำหนดไว้   
    และปัจจเวกขณะวสีนั้น   คือชำนาญในการจะพิจารณา    พึงสันนิษฐานตามนัยแห่งอาวัชชนวสีนั้นเถิด       ท่านว่าไว้เป็นใจความว่า    ชวนจิตอันบังเกิดในลำดับแห่งวัชชนจิตนั้นได้ชื่อว่าปัจจเวกขณชวนะนั้น   ๆ    ได้ชื่อว่าปัจจเวกขณวสี     พระโยคาพจรอันได้ปฐมฌานด้วยวสี    ๙    ประการฉะนี้แล้ว     ภายหลังจึงจะอาจสามารถที่จะจำเริญทุติยฌานสืบต่อไป    ถ้าไม่ชำนิชำนาญฌานมาก่อนแล้วแลจะจำเริญทุติยฌานสืบต่อไป   ก็จะเสื่อมจากปฐมฌานและทุติฌานทั้ง   ๒   ฝ่าย     เหตุฉะนี้จึงห้ามไว้ว่า    ถ้าไม่ชำนาญในปฐมฌานอย่าพึงจำเริญทุติยฌานก่อน    ต่อเมื่อใดชำนาญในปฐมฌานวสี    ๕   ประการแล้ว    จึงสมควรที่จะจำเริญฌานสืบต่อไป    ชำนาญในทุติยฌานแล้วจึงจำเริญตติยฌาน     จตุตถฌาน    ปัญจมฌานสืบต่อไปโดยลำดับ    
    และปฐมฌานนั้นมีองค์     ๕   คือ    วิตกอันมีลักษณะะยกจิตขึ้นสู่อารมณ์แห่งตน     มีปฏิภาคนิมิตแห่งปฐวีกสิณเป็นอาทินั้นจัดเป็นองค์ปฐม     วิจาร   มีลักษณะพิจารณาซึ่งอารมณ์แห่งฌาน     มีปฏิภาคนิมิตแห่งปฐวีกสิณเป็นอาทินั้น       จัดเป็นองค์คำรบ    ๒    ปีติอันมีประเภท    ๕   คือ    ขุททกาปีติ     อันให้หนังพองสยองเกล้าและน้ำตาไหล    ๑   ขณะกาปีติอันปรากฏดุจสายฟ้า   ๑    โอกกันติกาปีติอันให้ปรากฏเหมือนระลอกซัดต้อง   ๑   อุพเพงคาปีติอันยังกายให้ลอยขึ้น   ๑      ผรณาปีติอันให้เย็นซ่านซาบทั่วไปในกาย   ๑   ปีติอันประเภท    ๔   ดังนี้เป็น   ๑    จัดเป็นคำรบ   ๓     สุขอันมีลักษณะยังกายและจิตให้เป็นสุขนั้น    จัดเป็นองค์แห่งปฐมฌานเป็นคำรบ   ๔    เอกัคคตาอันมีลักษณะยังจิตให้เป็นหนึ่งในอารมณ์อันเดียวนั้น    จัดเป็นองค์แห่งปฐมฌานเป็นคำรบ    ๕     ทุติฌานนั้นมีองค์   ๓   คือปีติประการ   ๑   สุขประการ   ๑     เอกัคคตาประการ   ๑   ตติยฌานมีองค์    ๒    คือสุข   ๑    เอกัคคตา   ๑   จตุตถฌานมีองค์   ๒    คือเอกัคคตา   ๑     อุเบกขา   ๑    อันนี้จัดโดยจตุกนัย   
   ถ้าจัดโดยปัญจกนัยนั้น    ปฐมฌานมีองค์   ๕    เหมือนกัน   ทุติยฌานมีองค์    ๔    เหตุเว้นแต่วิตก    ตติยฌานมีองค์    ๓    คือปีติ     ๑   สุข   ๑   เอกัคคตา   ๑    จตุตถฌานมีองค์   ๒   คือสุข     ๑    เอกัคคตา   ๑    ปัญจมฌานมีองค์   ๒    คือ   เอกัคคตา   ๑    อุเบกขา   ๑   พระโยคาพจรผู้เจริญปฐวีกสิณนั้น     อาจได้สำเร็จฌานสมาบัติโดยจตุกนัยและปัญจมนัยดังพรรณนามาฉะนี้   ฯ      
วินิจฉัยในปฐวีกสิณยุติแต่เพียงเท่านี้