พระเวสสันดร ๒

 

           กล่าวถึงนางพญาช้างฉัททันต์ อันท่องเที่ยวไปในอากาศได้ นำลูกช้างเผือกบริสุทธิ์มาไว้ในโรงช้างต้น และต่อไปช้างนั้นก็ได้นามว่า ปัจจัยนาเคนทร์ ช้างเกิดสำหรับบุญของพระเวสสันดร พระชนม์ได้ ๔ – ๕ พรรษา ก็ได้เปลื้องเครื่องประดับ พระราชทานแก่พี่เลี้ยงนางนมหมดด้วยกันถึง ๗ ครั้ง

    เมื่อมีพระชนมายุได้ ๑๖ ก็ได้เสวยราชสมบัติ และสู่ขอพระมัสทรีตระกูลมาตุลราชวงศ์ มาอภิเษกให้เป็นมเหสีของท้าวเธอ พระองค์ยินดีในการให้ทาน ได้ตั้งโรงทานถึง ๖ แห่งในพระนคร คือที่ประตูเมืองทั้ง ๔ และกลางเมือง และอีกแห่งหนึ่งก็คือที่ประตูพระราชวัง พระองค์เสด็จออกทอดพระเนตรการให้ทานอยู่เป็นเนืองนิจ ตราบจนกระทั่งพระนางมัทรีประสูติโอรส บรรดาพระญาติได้รับข่ายทอง และถวายพระนามว่าชาลี และต่อมาก็ได้ประสูติพระราชธิดา บรรดาพระญาติก็รับด้วยหนังหมี จึงได้นามสมญาว่ากัญหา

    ในวาระนั้นเมืองกาลิงครัฐเกิดข้าวหมากแพง เพราะฝนแล้งไม่ตกต้องตามฤดูกาล ประชาชนก็พากันไปชุมนุมหน้าพระลานร้องทุกข์แก่พระเจ้ากาลิงคราช พระเจ้ากาลิงคราชพิจารณาดูพระองค์ว่าผิดศีลทศพิธราชธรรมประการใดก็ไม่เห็น จึงรักษาอุโบสถศีลสิ้นเวลาถึง ๗ วัน ฝนก็ไม่ตก ความความเดือดร้อนก็เพื่มพูนแก่ประชาชนพลเมืองยิ่งขึ้น เสียงร่ำร้องให้ช่วยก็แซ็งแซ่ไปทั้งพระนคร

    พระเจ้ากาลิงคราชหมดปัญญาที่จะทำให้ฝนตกได้ เพราะแม้ราฎรประชาชนพลเมืองจะพากันแห่นางแมว และเซ่นสรวงเทพาอารักษ์ขอให้ฝนตก ฝนก็ไม่ตกไปได้ ความร้อนก็แผ่ขยายไปทั่วประเทศ ต้นไม้ใบหญ้าแทบจะกรอบเกรียมไปด้วยความร้อน พระองค์จึงทรงปรึกษากับบรรดาอำมาตย์ราชปุโรหิตว่าจะทำอย่างไรดี จึงจะให้ฝนตกต้องตามฤดูกาลได้ เพราะทำอะไรมากมายหลายอย่างแล้งฝนก็ไม่ตก อำมาตย์คนหนึ่งคิดขึ้นมาได้จึงกราบทูลขึ้นว่า
    “ขอเดชะ เมืองสีพีเป็นเมืองสมบูรณ์ไปด้วยข้าวปลาธัญญาหารทั้งปวง เพราะพระเวสสันดรกษัตริย์สีพีเสด็จขึ้นคอคชสารปัจจัยนาเคนทร์ เสด็จไปทั่วพระนคร ช้างตัวนี้วิเศษจริง ๆ พระเจ้าค่ะ ไปที่ไหนฝนฟ้าก็ตกที่นั้น”
    “ถ้าอย่างนั้นก็ดีน่ะสิ ทำอย่างไรจึงจะขอยืมมาใช้ได้ล่ะ” อำมาตย์อีกผู้หนึ่งจึงทูลว่า
    “ขอเดชะ ถ้าเป็นพระเวสสันดรเห็นจะไม่ยากนัก เพราะองค์ทรงยินดีในการให้บริจาคทาน หากส่งพราหมณาจารย์ฉลาดในเชิงพูดไปทูลขอก็เห็นจะสำเร็จดังประสงค์”
    “ถ้าอย่างนั้นก็ดี ประชาชนพลเมืองทั้งหลายจะได้หายเดือดร้อน เราเองก็จะสบายใจ เพราะพลเมืองของเราก็จะร่มเย็นสุข ท่านปุโรหิตผู้ใหญ่จงจัดพราหมณ์ไปพร้อมกันรวม ๘ คนด้วยกัน ไปทูลขอมาให้ได้”
    “เมื่อรับคำสั่งมหาพราหมณ์ผู้เป็นปุโรหิตก็คัดเลือกผู้ที่จะไปได้พร้อมแล้วก็ออกเดินทางไปยังกรุงสีพี เพื่อจะทูลขอช้างเผือกปัจจัยนาเคนทร์ ถึงกรุงสีพีเป็นเวลาที่พระเวสสันดรออกมาให้ทานก็ได้ติดตามไป



     จนได้โอกาสเหมาะก็ได้ทูลขอช้างปัจจัยนาเคนทร์ซึ่งพระองค์ก็บริจาคให้โดยดี พราหมณ์ทั้ง ๘ ก็ขับขี่ช้างเพื่อนำกลับไปยังกาลิงครัฐ ผ่านประชาชนพลเมืองเป็นพราหมณ์ขี่ช้างเผือกยอดพาหนะของพระเวสสันดรก็ตระโกนด่าว่าด้วยถ่อยคำที่หยาบคายว่า ไม่รู้จักสำนึกกระลาหัวไปขึ้นขี่พาหนะทรงของในหลวง และยังแถมว่าเป็นผู้ร้ายลักช้างเสียด้วย หากพราหมณ์เหล่านั้นก็กล่าวเยอะเย้ยว่าพวกชาวเมืองไม่รู้อะไร ช้างนี้พระเวสสันดรพระราชทานให้ต่างหาก มิฉะนั้นแล้วพวกตนจะไปเอามาได้อย่างไร แล้วก็ขับช้างบ่ายหน้าไปกาลิงครัฐ

    เมื่อช้างไปถึงแล้วฟ้าฝนก็ได้ตกลงมาห่าใหญ่ เป็นอันว่าความแห้งแล้งอดอยากทั้งหลายก็หายไป เมืองกาลิงครัฐความร้อนก็ค่อยบรรเทาเบาบางลง ความชุ่มชื่นก็ปรากฎขึ้น หญ้าก็เริ่มแตกระบัด ต้นไม้ผลิดอกออกช่อแตกใบเขียวชอุ่ม มองไปทางไหนก็มีแต่สีเขียวพรืดไปหมดทั้งประเทศ เพราะอภินิหารของปัจจัยนาเคนทร์ ช้างคู่บุญของพระเวสสันดร


                  ชาวบ้านชาวเมืองสีพีเห็นพราหมณ์ขับขี่ช้างมงคลประจำเมืองออกไปเสียเช่นนั้นก็พากันโกรธเคือง พากันเดินขบวน ว่าที่จริงครั้งก่อนก็แก่เดินขบวนเหมือนกัน แต่ไม่มีป้ายประณามหรือคำขวัญต่าง ๆ หรือประท้วงอดอาหารอย่างสมัยนี้ พากันเดินไปชุมนุมกันที่หน้าพระลานเรียกร้องให้พระเจ้ากรุงสญชัยออกมาพบ
     “พวกเราจะพินาศ พวกเราจะพากันเดือดร้อน เพราะเจ้าเวสสันดรให้ช้างเผือกคู่บ้านคู่เมืองไปเสียแล้ว อีกหน่อยก็คงจะยกบ้านยกเมืองให้คนอื่นเสียอีก ใครเขาจะขจัดความเดือดร้อนได้ พระเจ้าสญชัยจะจัดการอย่างไร ถ้ามิฉะนั้นประชาชนก็จะจัดกันการเสียเอง” เสียงประชาชนโห่ร้องกึกก้อง เรียกร้องจะลงโทษเจ้าเวสสันดร

     พระเจ้ากรุงสญชัยเห็นจะไม่ได้การ จึงเสด็จออกไปยังพระลานพร้อมกับตรัสว่า
     “ประชาชนทั้งหลาย ฉันขอบใจพวกเธอที่มีอะไรก็รีบมาบอกกล่าวกัน เรื่องทั้งหลายฉันจะจัดการให้” ตรัสยังมิทันขาดคำ พวกประชาชนพากันโห่ร้องกับมีเสียงตะโกนออกมา
     “มิใช่จะจัดการ ต้องจัดการเดี๋ยวนี้”
     “จะให้เราจับเจ้าเวสสันดรมาประหารหรืออย่างไร” เสียงเงียบไปชั่วขณะ แล้วมีเสียงตอบกลับออกมาว่า”
     “มิใช่ประหาร เราต้องการให้ขับไล่ออกเสียจากนอกเมือง เพราะขืนให้อยู่ต่อไปพวกเราจะเดือดร้อน เดี๋ยวใคร ๆ รู้ก็จะพากันมาขอ แล้วถ้าเกิดมีคนมาขอบ้านเมืองขอแผ่นดินเจ้าเวสสันดรก็คงจะยกให้เขาไป แล้วพวกเราจะอยู่อย่างไร”
“เอาล่ะ เมื่อพวกเจ้าต้องการเช่นนั้น เราก็จะจัดการเนรเทศให้” แล้วประชาชนก็พากันกลับไปยังบ้านเรือนของตน

     เป็นยังไงบ้าง ประชามิติร้ายแรงแค่ไหน ถ้าป็นสมัยนี้บางทีคนพูดนั้นเหละ อาจจะถูกเนรเทศแทนเจ้าเวสสันดรก็อาจเป็นได้ใครจะรู้ ดีไม่ดีอาจจะโดนอุ้มเงียบหายสาบสูญก็ได้

    เมื่อประชาชนกลับไปแล้ว ท้าวสญชัยก็ดำรัสสั่งให้ไปบอกเจ้าเวสสันดรว่า ประชาชนต้องการให้ขับไล่ออกไปเสียจากเมืองเพราะเหตุผลให้ช้างคู่เมืองไป เพราะฉะนั้นวันพรุ่งนี้ต้องออกจากเมืองไป


หน้า 1   หน้า 2   หน้า 3   หน้า 4   หน้า 5   หน้า 6   หน้า 7   หน้า 8