พระเวสสันดร ๖

 
    ปากปลาร้าเหล่านั้น จะทำให้แม่หนูหม่นหมองเศร้าใจเสียเปล่า ๆ พี่เฒ่าจะทำให้ทั้งตักน้ำ ปูที่หลับ ปัดที่นอนแม่หนูนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่เฉย ๆ พี่เฒ่าจะทำให้แม่หนูทุกอย่าง”
     “ไม่เอา ตระกูลฉันไม่เคยใช้ผัว”
     “อ้าว แล้วจะให้พี่เฒ่าทำอย่างไร”
     “ไม่รู้ล่ะ แกต้องไปหาคนใช้มาให้ฉัน ม่ายยังงั้นฉันจะกลับบ้าน”
     “เบา ๆ แม่อย่าเพิ่งพูดว่าจะกลับบ้าน จะทำให้พี่เฒ่าเป็นลมตายเสียก่อน”

     จะพูดอย่างไรก็ตาม อมิตดาสาวเจ้าก็ไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม แม้จะอ้างว่าไม่มีเงินที่จะไปซื้อทาสและทาสีมาใช้สอย แต่อมิตดาก็กลับบอกว่า
     “จะต้องไปเสียเงินทองอะไรกันเล่า พระเวสสันดรออกไปจำศีลอยู่ที่เขาวงกต พระราชโอรสและธิดาก็ออกไปด้วย ก็ไปขอโอรสธิดานั้นแหละมาใช้สอยสิ เรื่องมันก็ง่ายจะตายไป” โอ้ย ตายแล้วแม่ เขาวงกตน่ะมันไม่ใช่ใกล้ ๆ เดินกันเป็นเดือนทีเดียว ถ้าพี่เฒ่าไปก็คงไม่มีหวังจะได้กลับมา คงจะตายเสียกลางทางเป็นแน่ทีเดียว”
     “ฉันไม่รู้ด้วย ถ้าหาคนใช้มาให้ฉันไม่ได้ก็ต่างคนต่างอยู่เถอะ อย่าอยู่ร่วมกันเลย ฉันลำบากใจเหลือเกิน”
     “เอาก็เอา จะตายหรือเป็นก็ช่าง เพราะเห็นแก่ความรักต่อแม่อมิตดา พี่เฒ่าจะพยายามเดินทางไปจนกว่าจะได้กลับมา”


     เมื่อตกลงว่าจะไปแล้ว ชูชกก็จัดแจงเรือนชานเตรียมเสบียงอาหารทุกชนิด ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังเขาวงกต ดูเอาเถอะ เรื่องการมุ้งกับการเมืองมักจะแยกกันไม่ออกอย่างนี้แหละ ถูกด่าข้างนอกก็มาไล่เบี้ยเอากับตาแก่ และเรื่องมันก็สำเร็จด้วย

     ตาเฒ่าจอมขอก็ดั้นด้นเดินมุ่งหน้าไปยังเขาวงกต พบใครก็ถามถึงเขาวงกต แทนที่จะได้รับคำตอบ กลับได้ทั้งคำพูดให้เจ็บใจและแถมศอกเข่าก้อนดินเป็นของแถมพอหอมปากหอมคอ แต่แกก็ไม่ยอมย่อท้อ ถูกทุบตีก็หลบหลีกพอพ้นไปเฉพาะหน้า อ้ายพราหมณ์ขอทาน เพราะพวกมึงขอไม่เลือก จึงทำให้เจ้านายกูต้องถูกเนรเทศ ไป ๆ ให้พ้น เดี๋ยวพ่อ..” ว่าแล้วก็มีอะไรลอยปลิวมาจนตาพราหมณ์เฒ่าต้องรีบแจวต่อไปข้างหน้า ตราบจนกระทั่งเข้าเขตป่าที่เจตบุตรรักษาการอยู่

     นึกว่าจะหมดอุปสรรคหรือยังก่อนหรอก เพราะพอย่างเข้าไปยังไม่ทันไร เสียงหมูหมาก็เห่าหอนมาแต่ไกล ตาแก่ก็เป็นคนช่างหัวดี หลบก่อนดีกว่า แต่จะหลบหน้าไปทางไหนดีเล่า ขึ้นไปบนต้นไม้สิ แล้วแกก็ตะเกียกตะกายขึ้นไป ยังไม่ทันจะถึงคบเลย เสียง โฮ้ง ๆ ดังใกล้ ๆ ตาเฒ่าเหลียวไปดู โอ้โฮ หมาขนาดใหญ่ตั้ง 4 – 5 ตัว โดดขึ้นจะกัดแก เล่นเอามือเท้าอ่อนแทบจะพลัดตกลงไปให้ได้ แต่ต้องพยายามม่ายงั้นเป็นตายแน่ ๆ แต่ก็ไม่วายเจอบางตัวงับเอาผ้าหลุดลุ่ย

     โล่งใจเมื่อขึ้นไปถึงคบที่หมาโดดไม่ถึง แกหันหลังลงมาตวาดไล่มัน แต่มันก็ไม่ยอมไปแถมยังนอนเฝ้าต้นไม้นั้นเสียด้วย บางตัวเดินวน ๆ เวียน ๆ ตะกียกตะกายจะปีนขึ้นไปเล่นงานแกให้ได้ บางตัวก็ส่งเสียงเห่าขรม ตายจริง ทำไงถึงจะเดินทางไปได้ล่ะ อดไม่ได้ถึงกับรำพึงออกนามพระเวสสันดรออกมาดัง ๆ ถ้าพบพระองค์เป็นรอดแน่ ๆ


     เสียงคนย่างเหยียบมาตามทาง พอโผล่มา โอโอ้อ้ายเจ้าของหมาพวกนั้นล่ะสิ หน้าตาขมึงทึงท่าทางดุร้าย มือกุมธนู เพ่งจ้องมองมาที่แก พร้อมกับยกธนูขึ้นเล็งตรงมายังแก
     “ช้า ๆ พ่อเอ๋ย ช้าก่อน”
     “อ้ายตาเฒ่าทำไมมาที่นี้ ออกตามเจ้านายจะเบียดเบียนอีกหรือ ไม่ได้ ไอ้พวกนี้ต้องให้หมากินก่อน”
     “อย่าทำใจเร็วใจร้อนไปหน่อยเลยพ่อหลานชาย หลานน่ะยังไม่รู้อะไร ตานี่แหละเป็นราชทูตจะไปเฝ้าพระเวสสันดรล่ะ”
     “ฮ้า ๆ ขี้ทูตน่ะสิ”
     "อย่าพูดอย่างนั้นหลานชาย ตาเป็นปุโรหิตเชียวนะ”
     “มีอะไรเป็นเครื่องหมายราชทูตบ้างล่ะ” อ๋อ มีสิ แล้วแกก็ล้วงลงไปในย่ามอันเต็มไปด้วยเสบียงกรัง คว้าเอากระปุกใส่น้ำพริกออกมาชูขึ้น พลางร้องบอกว่า
     “อ้ายหลานชาย นี่เป็นกลักพระราชสาส์นซึ่งจะต้องถวายต่อพระองค์” พอเห็นเจตบุตรลดหน้าไม้ลง แกก็เริ่มวัธยายต่อไป
     “เดี๋ยวนี้น่ะในเมืองเขาหายโกรธพระองค์แล้ว จึงได้ส่งตามาให้ไปทูลเชิญ เมื่อตกลงกันแล้วจะได้แต่งขบวนเกียรติยศออกมารับ”
     “งั้นลงมาคุยกันก่อนดีกว่าตา”

     เจตบุตรบอก แล้วจัดแจงผูกหมาให้เรียบร้อยแล้วก็รับตาชูชกซึ่งจัดเจนโลกกว่า หลอกเสียจนหลงเชื่อว่าเป็นทูตจะมาเชิญเสด็จพระเวสสันดรกลับไปครองราชสมบัติดังเดิม จึงได้จัดเสบียงกรังมอบให้ตาชูชก พร้อมกับนำทางผ่านไปในป่าอันเป็นบริเวณที่ตนรักษาอยู่ เมื่อถึงแดนป่าใหญ่ก็ชี้ทางให้ตาชูชก ผ่ านเข้าไปในป่า และได้พบฤาษีผู้บำเพ็ญฌาณอยู่ แล้วถามทางจากท่านก็เดินไปอย่างถูกทาง แล้วอำลาตาชูชกกลับยังสำนักของตน ตาชูชกแกออกเดินทางไปตามที่เจตบุตรชี้ให้ทราบ


     จนกระทั่งพบกับอจุตฤาษี ซึ่งก็ถูกตาเฒ่าหลอกให้หลงเชื่อ อจุตฤาษีก็นำไปชี้ทางให้
     “โน้น ที่เห็นเป็นทิวแถวอยู่นั้นแหละ เขาคุนธมาทน์ ต่อจากนั้นจะมีทางเดินอย่างสะดวกสบายไปสู่เขาวงกต ซึ่งพระเวสสันดรบำเพ็ญพรตอยู่ ไม่ต้องกลัวหลง เพราะมีเส้นทางเดียวเท่านั้น” แล้วอจุตฤาษีก็กลับสำนัก ตาแกก็เดินมุ่งไปทางที่อจุตฤาษีชี้ให้ ตราบจนผ่านเข้าเขตเขาวงกตเป็นเวลาจวนพลบ ตาแกจึงคิดว่า
     “ถ้าเราไปขอสองพระกุมารในตอนนี้ ซึ่งพระนางมัทรีกลับจากป่าเรื่องก็จะไม่สำเร็จแน่ เพราะธรรมดาสตรีน่ะเลือดในอกยากที่จะยกให้ใครไปได้ ต้องรอพรุ่งนี้พอมัทรีเข้าป่าไปเสียก่อนจึงเข้าไปขอจะดีกว่า” เมื่อแกคิดเช่นนี้แล้วก็หาที่พักอาศัยหลับนอน

     และในคืนที่ตาเฒ่าแกมานอนใกล้ ๆ บริเวรอาศรมนั้นเอง เวลาดึกสงัดพระนางมัทรีก็เกิดฝันประหลาดพิศดารแสนน่ากลัวสยดสยองยิ่งนัก ในฝันนั้นมีบุรุษผู้หนึ่งรูปร่างกำยำล่ำสัน ทัดดอกไม้แดงทั้งสองหู ถือดาบอันคมกริบวิ่งวู่วามเข้ามาที่พระนาง จิกพระเกศาพร้อมกับเอาดาบผ่าพระอุระของพระนาง หยิบเอาหัวใจของพระนางไป แม้พระนางจะร่ำร้องสักเพียงไร บุรุษผู้นั้นก็ไม่สงสารเวทนา ได้หัวใจแล้วก็ปล่อยพระนางให้เป็นอิสระแล้วก็หันไป

     พระนางได้แต่ร้อง ๆ จนตกใจตื่นเหงื่อชุ่มโชกไปทั่วพระวรกาย ใจยังเต้นไม่รู้หาย ไม่รู้ว่าเป็นอะไร คิดอะไรไม่ออก ต้องไปถามพระฤาษีเจ้าดูจะรู้เห็น พระนางมัทรีก็ค่อย ๆ เดินไปยังอาศรมของพระเวสสันดร เคาะประตูพระอาศรม ในขณะนั้นพระเวสสันดรก็ตื่นบรรทมแล้วเช่นกันเมื่อได้ยินเสียงเคาะก็ร้องถามออกมาว่า
     “ใครนั่นน่ะ?”
     “หม่อมฉันเอง”
     “มัทรีเรอะ”
     “เจ้าข้า กระหม่อมฉัน”
     “เอ๋ะ ก็เราเคยสัญญากันไว้ยังไงล่ะ ว่ากลางค่ำกลางคืนเราจะไม่ไปหากัน เจ้าลืมสัญญาแล้วหรือไร”
     “มิได้พระเจ้าข้า ที่กระหม่อมฉันมาเพราะมีเรื่องร้อน”
     “เรื่องอะไรล่ะ นั่งอยู่แต่ข้างนอกเถอะ แล้วเล่ามาดูหรือ”
     “คือว่าหม่อมฉันฝันไป”
     “ฝันว่าอย่างไร”
     “ฝันว่ามีบุรุษกำยำล่ำสัน ทัดดอกไม้แดงทั้งสองหู ถือเอาดาบอันคมกล้า วิ่งมาแหวะหทัยหม่อมฉัน แล้วควักเอาดวงใจหนีไป กระหม่อมฉันจึงต้องมาขอให้พระฤาษีเจ้าช่วยทำนายทายทักด้วย ว่าเป็นอย่างไร ใจของหม่อมฉันยังเต้นไม่หายเลย”

    พระเวสสันดรได้สดับฟังพระสุบินที่พระนางมัทรีเล่าก็ทราบได้ทันทีว่าพรุ่งนี้จะมียาจกมาขอพระลูกเจ้าทั้งสอง แต่จะบอกไปตามตรงก็กลัวมัทรีจะไม่ไปป่า จะเป็นอันตรายแก่พระโพธิญาณที่พระองค์ประสงค์ จึงเบี่ยงบ่ายเสียว่า
     “ไม่มีอะไรดอกพระนาง ธาตุวิปริตจึงทำให้ฝันร้าย เธอ เคยอยู่แต่ในที่อันมีแต่ความสุข มาอยู่ในอาศรมอันกระด้าง อาหารก็มีแต่เผือกกับมันผลไม้ ธาตุเธอจึงวิปริตไป อย่าตกใจอะไรเลย”

     พระมัทรีไม่ยากจะเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ เพราะผู้ทำนายได้ในที่นี้ก็ไม่มีใครนอกจากพระเวสสันดรเท่านั้น จึงทูลลากลับไปยังอาศรมบทของพระนาง


          เวลารุ่งเช้าพระนางไม่อยากออกไปป่าเลย ให้ห่วงพระราชโอรสและธิดาทั้งสอง แต่ก็ไม่สามารถจะอยู่ได้ เพราะผลไม้เผือกมันทั้งหลายก็ดูจะเหลือเพียงเล็กน้อย จึงตระเตรียมเสียมและไม้ขอไม้คาน และกระเช้าเสร็จเรียบร้อยก็จูงมือสองพระกุมารเข้าไปฝากพระเวสสันดรไว้

     ถึงอย่างนั้นพระนางก็กลับไปกลับมาตั้งหลายหน ดูจะเป็นลางสังหรณ์หรืออย่างไรแน่ ก่อนจะไปก็เฝ้าฝากแล้วฝากอีก เพราะพระนางยังนึกถึงนิมิตร้ายอันนั้นไม่หาย

     หลังจากพระนางออกไปแล้ว พระเวสสันดรทราบดีว่าวันนี้จะมียาจกมาถึงสำนัก จึงตรัสให้พระชาลีและกัณหาไปคอยดูต้นทางที่จะมีใครไปมา

     ตาเฒ่าชูชกเล่า พอตื่นล้างหน้าล้างตาคะเนว่าพระมัทรีคงจะออกไปแล้ว ตาแกก็เดินดุ่มตรงรี่เข้ามายังอาศรมบท ซึ่งขณะนั้นเองพระเวสสันดรก็ทอดพระเนตรเห็น จึงบอกให้เจ้าชาลีต้อนรับ แต่ก็ถูกตาชูชกตะเพิดกลับเพราะเข้าลักษณะตวาดป่าให้ว่าเสือกลัวไว้ก่อน


     เมื่อเข้ามาถึงก็ทักทายปราศรัยกันเรียบร้อยแล้ว ตาแกก็เริ่มอารัมภบท ชักแม่น้ำทั้ง  ๕   มาปรารภว่าเป็นดินแดนแห่งความสุขของประชาชน และเป็นต้นแห่งเกษตรกรรม และไม่รู้จักจะเหือดแห้งในการทำทาน เสมือนแม่น้ำทั้ง ๕ อำนวยความสุขแก่พลเมืองฉะนั้น และที่แกมานี่ก็เพื่อจะขอพระชาลีกัณหาไปเป็นทาสี ซึ่งพระเวสสันดรก็อำนวยให้ด้วยใจโสมนัสอย่างยิ่ง

     แต่ในขณะนั้นเอง พอพระชาลีและกัณหารู้ว่าพระบิดายกตนให้แก่พราหมณ์ผู้ร้ายกาจ บังเกิด ความกลัว ก็หลบลี้หนีเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในสระบัว เอาใบบัวบัวศรีษะไว้ ตาชูชกพอขอได้แล้วก็เหลียวไปดูไม่เห็นสองพระกุมาร ก็เริ่มบริภาษพระเวสสันดรเป็นการใหญ่
      “ทำเป็นคนใจดี พอขอปุ๊บก็ยกให้ปั๊บ แต่พอจะเอาเข้าจริงสิขายหน้า เด็กสองคนก็ร้ายเหลือพอพยักหน้าหมับก็โดดผลับ หายไปเลย เขาว่าพระเวสสันดรใจดี เห็นจะไม่จริงเสียกระมัง”


หน้า 1   หน้า 2   หน้า 3   หน้า 4   หน้า 5   หน้า 6   หน้า 7   หน้า 8