พระเวสสันดร ๓

 
           นายนักการไปทูลให้ทราบแล้ว พระเวสสันดรมิได้ตกพระทัยเลย กลับตรัสว่า “อย่าว่าแต่ช้างซึ่งเป็นของนอกกายเลย แม้ชีวิตร่างกายของเราถ้าใครต้องการเราก็จะให้ แต่ก่อนเราจะไปจากเมืองนี้ขอให้ทานจนจุใจสักหน่อย สัก ๒ วันเท่านั้นแล้วเราก็จะไป”

     เมื่อความที่จะเนรเทศพระเวสสันดรเสียจากเมืองรู้ไปถึงข้างใน สาวสนมกรมในพากันร้องไห้เสียงอื้ออึง ส่วนพระมัทรีได้รับทราบข่าวภัดดาซึ่งมาบอกก็ขอตามเสด็จไปด้วย ถึงกับยื่นคำขาดว่า
     “จะบุกป่าฝ่าดงไปแห่งใด ข้าพระบาทจะตามเสด็จไปไม่ขออยู่ จะเอาขีวิตและกายนี้สู่สนองพระคุณจนกว่าจะสิ้นบุญข้ามัทรี แม้พระองค์มิพรงอนุญาตให้ตามไป ข้ามัทรีจะก่อกองไฟให้รุ่งโรจน์โดดเข้า ตายดีกว่าจะอยู่เป็นม่ายให้อายคน” พระเวสสันดรก็เลยต้องยอมให้นางติดตามไปด้วย และพระนางมัทรีได้พรรนาวงกตคีรีประเทศ ป่าหิมมพานต์เหมือนหนึ่งพระนางได้เคยพานพบมาได้อย่างอัศจรรย์ ทั้งพฤกษชาติและสัตว์นานาชนิดอย่างเพลิดเพลินเจริญใจ ใครฟังแล้วแทบจะคิดว่าเป็นเมืองแดนมนุษย์ ถ้าจะเทียบก็คงจะสนุกสนานมโหฬารปานสวนสามพราน หรือทิมแลน ซึ่งเห็นสถานที่ให้ความสุขทั้งกายและใจ



     พระนางผุสดีเล่าได้ทราบข่าวก็รีบไปหาเจ้าเวสสันดรและมัทรีปลอบประโลมใจ แล้วเลยไปเฝ้าพระสญชัยขอให้ไม่ต้องเนรเทศ แต่ท้าวเธอก็ไม่ยินยอม แม้จะทูลวิงวอนสักเท่าไหร่ ท้าวเธอก็มิได้ทรงอำนวยตาม พระนางก็ต้องโศกากลับมาหาพระเวสันดรและพระนางมัทรี เล่าความที่ได้กราบทูลให้ฟังทุกประการ ซึ่งพระองค์ก็ได้แต่สลดใจ เมื่อพนักงานได้จัดสัตตสตกมหาทาน คือให้ทานสิ่งละ ๗๐๐ เรียบร้อยแล้ว ทั้งสองพระองค์ก็เสด็จออกเดินทางไปเขาวงกต ท้าวสญชัยตรัสขอให้พระโอรสและพระธิดา คือชาลีและกัณหาอยู่ในเมืองเพราะกลัวลำบาก แต่พระนางมัทรีกับทูลโต้ว่า
     “นับประสาแต่พระโอรสยังถูกชาวเมืองขับ หากเป็นพระเจ้าหลานก็น่ากลัวจะต้องถึงประหาร เพราะฉะนั้นเจ้าทั้งสองอย่าอยู่ในบ้านในเมืองเลย ถึงตกระกำลำบากด้วยประการใดหม่อมฉันก็จะทนทรมานไป ไม่ทิ้งสองพระหน่อเลย” เป็นทั้งคำพ้อและถามต่อว่า ทำเอาท้าวสญชัยพูดไม่ออกได้แต่กลอกหน้า ก็เลยเป็นอันว่า ต้องยอมให้พระนางมัทรีและชาลีกัณหาติดตามไปด้วย

                        
                เมื่อพระเวสสันดรพระราชทานสัตตสตกมหาทานเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เสด็จออกจากเมือง ทั้ง ๔ พระองค์ก็ทรงรถมีม้าเทียมออกเดินทางไปยังเขาวงกต มีพราหมณ์พวกหนึ่งติดตามไปขอม้าที่เทียมราชรถ ท้าวเธอก็พระราชทานให้ดังประสงค์ เมื่อรถไม่มีม้าก็ไม่สามารถจะเดินทางต่อไปได้ ต้องร้อนถึงเทพเจ้าแปลงกายเป็นละมั่งสีเหลืองทองมาเทียมราชรถออกเดินทางต่อไป ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น พราหณ์พวกหนึ่งได้ยินข่าวว่าพระเวสันดรให้ทานก็เดินทางมารับทาน แต่ไม่ทันเลยรีบเดินทางติดตามไป พอทันก็ทูลขอราชรถ ซึ่งท้าวเธอก็พระราชทานให้เทพเจ้าซึ่งแปรงกายเป็นละมั่งก็อันตรธานหายไปจากสถานที่แห่งนั้น ทีนี้หมดทั้งรถทั้งม้าแล้ว แต่ท้าวเธอก็มิได้วิตก เสด็จ ลงเดินไปบนแผ่นดิน ตามหนทางที่พลเมืองทั่งไปเดินพบใครสวนมาก็ถามถึงเขาวงกต ซึ่งเขาเหล่านั้นก็บอกว่ายังไกลและชี้ทางไปข้างหลัง

     ทั้ง ๔ พระองค์ก็เสด็จดำเนินไป จนกระทั่งพระโอรสพระธิดาเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจะไปไม่ไหว

     ก็ช่วยกันอุ้มพระโอรสราชธิดาออกเดินทางต่อไป คือพระเวสสันดรอุ้มพระชาลี ซึ่งค่อนข้างจะโตและมีร่างกายหนักกว่า ส่วนพระนางมัทรีก็อุ้มเจ้ากัณหาซึ่งบอบบางและมีน้ำหนักเบากว่า การออกเดินทางของทั้ง ๔ องค์ ก็เป็นไปด้วยประการเช่นกล่าวนี้


     จนกระทั่งถึงนครเจตราฐาจึงไปพักที่ศาลาแห่งหนึ่ง กษัตริย์ในเจตราฐาทราบความก็ออกมาต้อนรับสนทนาปาศรัย จึงได้ทราบว่าพระเวสสันดรถูกเนรเทศ เพราะช้างคู่บ้านคู่เมืองเป็นทานไป จึงได้ขอให้อยู่ครองราชสมบัติในเจตราฐานคร แต่ท้าวเธอกลับค้านว่า
     “เพราะว่าเราถูกชาวเมืองสีพีเขารังเกียจ ถึงกับให้ขับไล่ เมื่อพวกท่านมารับเราไว้ ชาวเมืองก็จะเดือดร้อน อาจเกิดเป็นสงครามขึ้นก็อาจเป็นได้ เหตุเพราะชาวชาวสีพีก็พลอยจะโกรธเคืองมายังพวกท่านทั้งหลายด้วย และอนึ่ง เราก็อยากจะบำเพ็ญเพียร สงบจิตใจสักพักหนึ่งก่อน” เมื่อตรัสเช่นนี้แล้ว กษัตริย์เจตราฐาก็ต้องยินยอมจึงบอกหนทาง และได้ตั้งเจตยุตรให้เป็นนายด่านคอยตรวจคนที่ผ่านเข้าไปยังวงกต เพื่อป้องกันมิให้คนเหล่าอื่นเข้าไปรบกวนท้าวเธอได้

     รุ่งขึ้นทั้ง 4 องค์ ก็ได้เสด็จด้วยพระบาทต่อไปตามที่เขาชี้บอก ก็บรรลุถึงเขาวงกต เเละได้บวชเป็นฤาษีอยู่ที่นั้นหมดด้วยกัน


     ในเวลานั้นในแคว้นกาลิงคราช มีพราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อชูชกประกอบด้วยโทษของบุรุษ ๑๘ ประการ ดำเนินชีวิตในทางขอทานอยู่เป็นประจำ แกขอทานมาก็รวบรวมไว้ได้ถึง ๑๐๐ กสาปณ์ ถ้าจะคิดเป็นตัวเงินก็ ๔๐๐ บาทนั้นเอง
     “เอ๊ะ นี้เราก้มีเงินเยอะแยะ จะเอาไว้กับตัวน่ากลัวจะถูกโปล้นบีบคอเราตายเข้าสักวันเป็นแน่แท้ สมัยนี้การฉกชิงวิ่งราวและจี้โปล้นก็มีกันออกดาดดื่นเกลื่อนเมืองไปหมด

     เมื่อคิดได้เช่นนั้น ตาชูชกก็ออกเดินทางไปยังบ้านของสหายผู้หนึ่ง ครั้นถึงแล้วก็อวดมั่งอวดมี พร้อมกับหยิบเงินร้อยกสาปณ์ออกมา
     “นี่เป็นเงินของเราจริง ๆ นะ ไม่ใช่เงินของใครอื่น ตั้งร้อยแน่ะเกลอ ครั้นจะเก็บไว้กับตัวหรือก็กลัวไอ้คนที่รู้เค้าเข้ามันจะมาดักจี้ตีชิงวิ่งราวเอาเราแย่แน่ไปด้วย เพราะเราไม่มีใช่หนุ่มเหมือนแต่ก่อนถ้าเหมือนเมื่อก่อนล่ะก็สหายเอ๋ย นี้ไม่ใช่คุยนะ เราก็หนึ่งในกลิงค์เหมือนกัน เรื่องตีฟันแทงแล้วต้องยกให้เรา พอเอ่ยชื่อชูชกใคร ๆ ก็สั่นหน้าเพราะเขาไม่รู้จัก จริง ๆ นะ” พูดไปก็หัวเราะไป สหายทั้งผัวเมียก็พลอยไปด้วย ผู้ผัวจึงถามว่า
     “แล้วเกลอเอาเงินออกมาน่ะ จะทำอย่างไร?”
     “อ้าว แล้วกัน ก็ฉันบอกแล้วว่าเงินมันเป็นจำนวนมากมายก่ายกองอย่างนี้ จะเอาไว้กับตัวก็กลัวจะเกิดภัย จึงคิดจะเอามาฝากสหายไว้”
     “ได้ จะเป็นไรมี ว่าแต่สหายจะมาเอากลับคืนเมื่อไหร่ล่ะ”
     “ยังก่อน เราต้องเดินทางไปอีกร้อยเอ็ดเจ็ดพระนครรวบรวมเงินได้พอเมื่อไหร่ ก็จะกลับมาขอคืน ว่าแต่สหายอย่าแล่นสกปรก ยักย้ายถ่ายเทเอาเอาเงินของเราไปใช้เสียหมดล่ะ คงได้เล่นงานกันทีเดียว”
     "เออน่ะ ไม่เชื่อกันหรือไง จะมาเมื่อไหร่ก็มาเอาเถอะ เราน่ะอยู่เสมอ การยักย้ายถ่ายเทของสหาย ก็รู้อยู่แล้วว่าเราเป็นคนอย่างไร ขอบใจนะที่ยังเชื่อเราอยู่” ตาชูชกเมื่อตะแกฝากเงินเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทางขอทานมันเรื่อยไป ไปจนไกลเกิดคิดถึงบ้าน
     “กลับเสียทีเห็นจะดีเป็นแน่” เมื่อตาแกคิดเช่นนั้นแล้วก็เดินทางกลับ

     ในขณะที่ชูชกกำลังเดินทางขอทานอยู่นั้น ครอบครัวที่รับฝากเงินของตาชูชกไว้ก็เกิดหยิบเงินไปใช้ทีละเล็กละน้อยจนในที่สุดเงิน ๑๐๐ กสาปณ์ก็หมด โดยที่เห็นว่าตาเฒ่าาชูชกแกไปนาน คงจะไปล้มหายตายจากไปเป็นแน่ แต่ความคิดเหล่านี้ใช้ไม่ได้ เพราะชูชกแกกลับมา ไม่กลับเปล่าเสียด้วย แถมไปทวงเงินที่ฝากไว้เสียด้วย พอเดินทางมาถึงเมือง ตาชูชกใจจดจ่ออยู่กับเงินที่ฝากไว้จึงรีบเร่งรีบไปยังบ้านที่รับฝากไว้เพื่อจะขอเงินคืน เห็นบ้านปิดสนิท จึงตะโกนเรียก พอสองผัวเมียรู้ว่าชูชกมาทวงเงินของมันแล้ว
     “ตายละหว่า ไอ้ชูชกมันมาเอาเงินคืนแล้ว” ยายเมียก็เสริมขึ้นมาว่า
     “แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะตา จะเอาที่ไหนให้ล่ะก็เราได้ใช้ไปกันหมดแล้ว”
     “ทำใจดี ๆ ไว้ก็แล้วกัน พี่จะจัดการเอง” ผู้ผัวว่า
     “ถ้ายังงั้นตาก็รับหน้าไปก็แล้วกัน” ยายเมียว่าแล้วก็หลบหน้าไปเสีย เมื่อรู้ว่าเป็นชูชกแน่แล้ว จึงออกมาเปิดประตูแล้วเชื้อเชิญให้ขึ้นไปบนเรือน
     “เงินของตูรีบเอามาไว ๆ “
     “อย่าเพิ่งยุ่งอะไรเลยน่ะ กำลังเหนื่อย นั่งพักผ่อนเสียก่อนเถิด” ยังนั่งไม่ลงหรอกเพื่อน เงิน ของเรารีบเอามาเสียก่อนแล้วค่อยนั่ง”
     “มาถึงบ้านแล้วกลัวอะไรนะ เงินทองมันก็อยู่ แต่ดูเพื่อนออกจะรีบร้อนเกินไปสักหน่อยนะ”
     “ไม่รีบร้อนได้ยังไงล่ะ เรื่องเงินเรื่องทองเป็นของสำคัญ ใครทำมือห่างเท้าห่างเป็นได้ลำบากกันน่ะสิ”
     “แต่ว่าเพื่อนจะไม่นั่งลงก่อนรึ”
     “ถ้าไม่มีเงินยังนั่งไม่ได้”
     “เงิน อ้า..อ้า..”
     “ทำไม เงินอ้า..ทำไม?”
     “ไม่ทำไมหรอก แต่มันหมดแล้วน่ะสิ”
     “หมด ?" ตาชูชกร้องออกมาอย่างหมดหวัง
     “ตายแล้ว ตายจริง ๆ”
     “ไม่ตายน่ะ ยังพอพูดกันได้”
     “พูดอะไร เงิน ๆ ของตูรีบเอามาเสียเถอะ อย่าให้ต้องผิดใจกันเลยนะ”
     “ค่อยพูด ๆ พูดค่อย ๆ จากันก็ได้นี่นะ เราเป็นคนอื่นที่ไหนคนรักชอบพอกันทั้งนั้น เรื่องเงินของท่านไม่สูญแน่ เรามีหนทางที่จะใช้ให้ได้” ชูชกค่อยหย่อนกายลงนั่งพลางกล่าวว่า
     “ว่ากันให้ดีหน่อยนะเกลอ ม่ายงั้นเป็นเรื่องใหญ่ไปถึงเจ้าหน้าที่เข้ามาเกี่ยวข้องนะเกลอ เสียหายกันไปหมดเลย”
     “ใจเย็น หน่อย เอาล่ะ เราเองก็รับว่าได้เอาเงินของท่านไปใช้จ่ายคิดว่าจะหามาใช้ให้ทัน แต่มันผิดคาดหมายไปเสีย เงินก็เลยขัดข้องไปหน่อย”
     “ไม่เพียงแต่พูดเท่านั้น เขาหันไปเรียกลูกสาว
     “อมิตดาเอ๊ย เอาน้ำท่าออกมาให้อาหน่อยซิ” เสียงขาน จ๋า ดัง เล่นเอาชูชกสะดุ้ง แล้วเจ้าของ
     เสียงก็โผล่ออกมา ในมือมีภาชนะใส่น้ำมาด้วย
     “อุแม่เอ๋ย” ชูชกคิด
     “ลูกสาวเกลอเราคนนี้มันสวยจริง ๆ”


หน้า 1   หน้า 2   หน้า 3   หน้า 4   หน้า 5   หน้า 6   หน้า 7   หน้า 8