พระเวสสันดร ๗

 
    พระเวสันดรก็มิได้โกรธเคือง ทรงพิจรณาเห็นว่าสองกุมารคงจะกลัวจึงไปหลบซ่อนกายอยู่ภายนอก จึงพูดปลอบใจชูชกแล้วออกติดตามสองกุมาร เพื่อนำมามอบให้ตาชูชก เสด็จออกไปเที่ยวค้นหา ตราบจนกระทั่งถึงสระบัวเห็นรอยเท้าขึ้นแต่ไม่เห็นรอยเท้าลง ก็รู้แน่ว่าสองกุมารอยู่ในสระ

     จึงตรัสเรียกชาลี เตือนให้รู้ว่าเป็นลูกกษัตริย์และจะช่วยให้พระราชบิดาได้บำเพ็ญบารมีเพื่อโพธิญาณ โดยเปรียบ พระชาลีเหมือนเรือ ซึ่งจะขี่ข้ามห้วงน้ำให้สำเร็จประโยชน์

     พระชาลีได้คิดก็เปิดใบบัว แล้วขึ้นมากราบกับพระบาท ทรงถามถึงกัณหา ซึ่งพระชาลีก็บอกเป็นนัย ๆ พระเวสสันดรก็ตรัสเรียกโดยในเดียวกับชาลี พระกัณหาก็ได้ขึ้นมากราบพระบาททรงนำสองกุมารไปมอบให้ตาชูชก


                             
     ตาแก่ชูกเมื่อได้รับพระราชทานสองพระกุมารจากพระเวสสันดรแล้วก็คิดว่า.." เออ....สองกุมารเด็กน้อยนี้เป็นลูกเจ้าลูกนายจำเป็นเราต้องข่มขวัญให้สองพระกุมารนี้กลัวเสียก่อนมิฉนั้นแล้วแทนที่เราจะเป็นนายกับเป็นอันว่าเราต้องไปคอยรับใช้สองพระกุมารเสีย.."คิดได้ดั่งนี้แล้วจึงได้เอาเถาวัลย์มาผูกข้อหัตถ์ของสองพระกุมารที่น่าสงสารแล้วขู่ตระคอกต่อพระพักต์ของพระเวชสันดร

     **มาถึงตรงนี้บางท่านได้รจนาไว้ว่าพระเวสสันดรถึงกับชักพระขรรค์ออกจะปริดชีพเจ้าพราหมณ์เฒ่า " เราอุตสาห์เลี้ยงดูกล่อมเกลี้ยสองลูกน้อยแต่น้อยมามิเคยได้ตบตีให้ระคายเคืองแม้แต่น้อยและสองพระกุมารก็มิได้เดื้อดึงขัดขื่นพูดว่านอนสอนง่าย

     แต่แล้วด้วยอำนาจของกุศลกรรมความดีที่พระเวสสันดรทรงบำเพ็ญเพื่อสัมพุทธโพธิญาณก็มาดลใจให้พระเวสสันดรกลับคิดขึ้นมาได้ว่าพระองค์ได้ทรงมอบพระลูกน้อยทั้งสองแด่พราหมณ์เฒ่าไปแล้วพระเวสสันดรจึงได้เข้าหลบเข้าไปข้างในบรรณศาลา.. และก็ทรงระลึกถึงมหาทานในครั้งนี้..คือทรงมุ้งหวังจะเป็นพระพุทธเจ้าที่จำเป็นจะต้องเสียสละซึ่งแห่งทานนี้ ...พระเวสสันดรก็ระงับเสียซึ่งโทสะนี้ได้ ฝ่ายตาแกชูชกก็รีบพาจากไปเพราะกลัวจะพบพระมัทรี


              
    

     พระมัทรีที่อยู่ในป่า วันนี้ดูวิปริตผิดไปทุกอย่างทุกประการ เดี๋ยวเสียมหลุดมือ เดี๋ยวกระเช้าหล่น เดี๋ยวไม้ขอไม้คานพลัด อะไรต่อมิอะไรดูมันวุ่นวายไปหมด ที่ ๆ เคยมีผลไม้เผือกมันก็บังเอิญไม่มี ซึ่งพระนางก็ต้องบุกไกลออกไปกว่าที่เคย ได้มาบ้างพอสมควรแล้วก็รีบกลับอาศรม เพราะห่วงสองกุมาร แต่พอมาถึงกลางทางซึ่งเป็น ทางแคบเดินได้เฉพาะตัว ก็พบสัตว์ ๓ ตัวคือ ราชสีห์ เสือเหลือง และเสือโคร่ง นอนขวางทางอยู่ นางไม่สามารถจะไปได้

     ก็วางสิ่งของยกมือวอนไหว้ขอทาง แต่ทั้งสามสัตว์ซึ่งเทวดาแปลงกายมาเพื่อสกัดทางไม่ให้พระมัทรีไปทันสองพระกุมาร ก็แกล้งนอนขวางหนทางอยู่เฉย ๆ จนกระทั่งเวลาจวนพลบ ตาชูชกและสองกุมารพ้นประตูป่าไปแล้ว ทั้งสามสัตว์ก็หลีกทางหายไป พระมัทรีก็ดุ่มเดินกลับบรรณศาลา อะไรมันผิดดูแปลกตาไปเสียหมดทุกอย่าง ทุก ๆ วันทั้งสองเคยมาดักหน้าดักหลัง

     “แม่ขา แม่ได้อะไรมา” กัณหาจะฉะอ้อนถาม ส่วนพ่อชาลีก็จะรับเสียมบ้าง ไม้ขอบ้าง ไปตามต้องการ

     แต่มาวันนี้ช่างเงียบเสียจริง ๆ คงเล่นเพลินอยู่ที่พระบิดาก็เป็นได้ พระนางก็รีบด่วนเดินเข้าไปยังบรรณศาลาของพระเวสสันดร ก็ไม่เห็นพระสองลูกรักก็ใจหายวาบ ตายจริงนี่อะไรกัน สอบถามพระเวสสันดรก็ไม่ตรัสด้วย ยิ่งทำให้กลุ้มมากขึ้น พระนางออกตามหาสองพระกุมารสักเท่าใดก็ไม่มีเสียงขาน จึงกลับมายังบรรณศาลา จะถามสักเท่าใดพระเวสสันดรก็นิ่งเฉย แต่พอพูดขึ้นมาก็ยิ่งทำให้กลุ้ม

     “ทุก ๆ วันเคยกลับแต่วัน วันนี้คงชมดงชมป่าเพลินไปนะ จึงกลับเอามืดค่ำ ในป่าไม่ใช่มีแต่สัตว์ วิชาธรณ์คนธรรพ์ตลอดจนพรานป่าก็มีมากมาย เห็นจะสมใจเจ้าแล้วสินะ”

     ** โอ..ช่างน่าสงสารพระนางมัทรีเสียนี่กระไรกลับจากป่าเพื่อหาผลไม้ก็ให้แสนจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าแล้วยังต้องมาถูกพระเวสสันดรตัดพ้อให้ซอกช้ำระกำใจอีก ทำไมพระเวสสันดรจึงตัดพ้อเช่นนี้หนอ...อะไรเป็นเหตุมันเป็นกรรมอะไรของพระนางมัทรีเล่า ?  ไปอ่านบุพกรรมของพระนางมัทรีได้ในเรื่องเจ้าหญิงนกกระจาบ** ( คลิ๊กอ่านที่นี่)

    พระนางถึงกับสอึก แต่ความทุกข์เรื่องลูกทั้งสองมีมากกว่า ก็คร้านจะต่อปากต่อคำ ก็วนเวียนค้นหาไปเรื่อยไป พร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้น ทุกข์อะไรเล่าจะมีล้นไปกว่าทุกข์ของแม่ที่ลูกหาย ไม่ทราบว่าตายหรือเป็น หาแล้วหาอีก ร้องไห้ตะโกนไป เรียกไปเสียงแหบเสียงแห้ง จนกระทั่งจวนสว่างพระนางก็หมดกำลัง พอกับมาถึงหน้าพระอาศรมก็สลบหมดสติแน่นิ่งไป

    พระเวสสันดรแสนจะตกใจ เพราะเกรงว่านางจะตายเสีย จึงตรงเข้าไปจับต้องตัวนางก็เห็นว่าร่างยังอบอุ่นอยู่ ก็สงสารเห็นความทุกข์ของนาง ลืมตัวว่าเป็นฤาษีก็ยกเศียรนางขึ้นพาดตัก แล้วนวดแฟ้นเท่าที่จะทำได้ เป็นครู่ใหญ่ พระนางก็รู้สึกตัว

     พระเวสสันดรก็บอกเรื่อง ให้ลูกเป็นทานไปแล้ว เพราะเห็นว่านางเหนื่อยมาแต่ป่าจึงยังไม่บอก และขอให้นางอนุโมทนา ซึ่งพระนางก็ได้อนุโมทนาบุตรทานด้วยความยินดี


     ทีนี้ก็ถึงเรื่องจะกล่าวบทไปถึงท้าวสหัสนัยไตรตรึงสาทิพย์อาสน์เคยอ่อนแต่ก่อนมา กลับกระด้างดังศิลาก็ให้ประหลาดใจ จะมีเหตุมั่นแม้นในแผ่นดิน อมรินทร์เร่งคิดสงสัย จึงสอดส่องทิพย์เนตรดูเหตุภัย ก็แจ้งใจ...พระเวสสันดร ถ้าไม่ไปช่วยเห็นทีจะแย่เสียกระมัง

     เพราะถ้าใครรู้แกวแบบมาขอพระมัทรีไปเสีย พระองค์จะเหลือเพียงองค์เดียว การบำเพ็ญพรตภาวนาก็คงไม่สะดวกไปได้ ต้องลงไปช่วยเห็นจะดีเป็นแน่ พระอินทร์ซึ่งมาชื่อเยอะแยะก็แต่งองค์ทรงเครื่องเหาะลงไป พอลงมาถึงโลกมนุษย์ก็แปลงตัว เป็นพราหมณ์แก่เดินกระย่องกระแย่งเข้าไปหาพระเวสสันดร ซึ่งนั่งอยู่หน้าพระอาศรมมีพระมัทรีเฝ้าสนทนาอยู่ด้วย พอเข้าไปถึงก็ขอพระมัทรี โดยอ้างเหตุผลอย่างที่พูดกันว่า
     “ลุงนะแก่แล้ว ขอลุงเถอะ” ซึ่งพระเวสสันดรก็อำนวยให้ทันอกทันใจเลยทีเดียว พร้อมกับจูงมือพระมัทรีมามอบให้เดี๋ยวนั้น พราหมณ์เห็นได้ดังประสงค์ แลดูหน้าพระเวสสันดรและพระมัทรีก็เห็นยิ้มแย้ม เต็มอกเต็มใจในการบริจาค จึงได้ทูลว่า

     “ข้าแต่พระเวสสันดร ข้าพเจ้ามิใช้พราหมณ์ขอทาน”
     “ท่านเป็นอะไรล่ะ”
     “ข้าพเจ้าเป็นพระอินทร์ ผู้เป็นใหญ่ในดาวดึงส์สวรรค์"
     “ท่านลงมาทำไมล่ะ”
     “เพื่อให้พระบารมีของพระองค์บริบูรณ์เนื่องด้วยการบริจาคภรรยาร่วมใจ” และได้ตรัสต่อไปอีกว่า “พระมัทรีนี้พระองค์ได้ให้ข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าขอฝากไว้ก่อน พระองค์จะให้ใครอีกไม่ได้”
     “ทำไมไม่เอาไปล่ะ”
     “ฝากปฎิบัติพระองค์ก่อน และที่ข้าพเจ้าลงมานี้พระองค์ประสงค์อะไรโปรดบอก ข้าพเจ้าจะประสิทธิ์ให้ดังปรารถนา”


     พระเวสสันดรซึ่งมาบำเพ็ญพรตอยู่ป่า ก็คิดจะกลับบ้านเมืองอยู่แล้ว จึงได้ขอพรพระอินทร์ ๘ ประการ คือ

     ๑. ขอให้พระบิดาหายโกรธเคือง มารับไปครองสมบัติดังเก่า
     ๒ . หากจะมีการฆ่าขอให้มีปัญญาที่จะปลดปล่อยไป
     ๓ .ขอให้ข้ามีเมตตากรุณาแก่ช่วยคนทุกทั่วหน้า และประชาชนเหล่านั้นได้อาศัยข้าอยู่เป็นสำราญ
     ๔ .ขอให้ข้ามีน้ำใจอยู่ในภรรยาแต่ผู้เดียว ไม่เกาะเกี่ยวด้วยหญิงอื่น
     ๕ .ขอให้ข้าได้มีโอกาสสืบสันติวงศ์ และปรากฎชื่อเสียงเลื่องลือแก่คนทั่วไป
     ๖ .เมื่อข้าได้เสวยราชย์แล้ว พอรุ่งเช้าให้มีอาหารพอที่ข้าจะให้ทานได้โดยสะดวก
     ๗. เมื่อข้าได้ให้ทานมากน้อยเท่าใด ๆ ก็ตาม ของสิ่งนั้นอย่าได้รู้จักหมดสิ้นไปเลย
     ๘. เมื่อแตกกายสลายชีพขอข้าได้ไปสู่สวรรค์

    รวมเป็นพร ๘ ประการ ซึ่งท้าวมัฆวานก็ประสิทธิ์ให้ดังใจปรารถนา แล้วท้าวอมรินทร์ก็เลื่อนลอยคืนสู่ยังนิเวสสถานของพระองค์ สองกษัตริย์ก็โสมนัสในพระทัย และตั้งใจอยู่ว่าเมื่อใดจะได้พบสองกุมารที่ท้าวเธอได้ให้ทานไป และเมื่อใดพระพรทั้ง ๘ นี้ จะอำนวยผลให้ตามท้าวหัสนัยประสิทธิ์


     ฝ่ายว่าเฒ่าชราตาชูชกแกได้สองกุมารแล้ว ก็พาทั้งสองกุมารเดินทางมา ตาแกเอาเถาวัลย์ผูกข้อมือ ๒ กุมารแล้วจูงเรื่อยมา บางครั้งก็เดินสะดุดตอไม้ เถาวัลย์หลุดจากมือ สองกุมารก็วิ่งตื๋อกลับอาศรม แกตามมาทันก็โบยตีเรื่อยไป ฟาดพระชาลี ตีพระกัณหา เสียงร้องเอ็ดอึงไปด้วยกัน

     ครั้นตกค่ำแกกลัวภัยจากสัตว์ร้าย ตนเองก็ปีนป่ายต้นไม้ขึ้นไปผูกเปลนอนข้างบน ข้างล่างแกก็ล่ามสองกุมารไว้โคนต้นไม้ จะประสบอันตรายอะไรก็ช่าง ธุระไม่ใช่ นี่แหละจิตใจของผู้ที่อยากแต่จะได้ ฉันเป็นดีคนอื่นยังไงก็ช่าง ทาสทาสีตายเสียได้ก็ดีไม่ต้องเสียค่าข้าว ว่าไปนั้น สัตว์ป่าร้องโหยหวนชวนขนลุกและอากาศก็หนาวเหน็บสองพระกุมารกอดกันกลมเป็นที่สงสารยิ่งนัก

     เอาเป็นว่าตาชูชกแกเห็นแก่ตัวเองโดยประการดังนี้ เหล่าเทพยดานางฟ้าที่ปรกปรักรักษาในเขตป่านั้นก็ให้สงสารสองพระกุมาร เมื่อเห็นว่าตาเฒ่าชูชกหลับสนิทก็ออกมาแปลงกายเป็นพระเวสสันดรและพระนางมัทรีปลอบขวัญและแห่กล่อมขับกล่อมร่ายรำพร้อมอาหารมาให้สองกุมารเพลิดเพลินเจริญใจคลายความความหวาดกลัวไปได้บ้าง พอรุ่งเช้าเทพยดานางฟ้าเหล่านั้นก็หายไป


                             
     รุ่งขึ้นเดินทางต่อไป จนกระทั่งถึงทางแยกอีกทางหนึ่งไปกลิง ครัฐ ส่วนอีกทางหนึ่งนั้นไปพิชัยเชตุอุดรแกจำได้คลับคล้ายคลับคลาเพราะผ่านมาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ผลที่สุดก็เลยเสี่ยงทายผิดถูกไม่เป็นไม่เป็นไรน่ะมีปากน่ะมีปากมีตีนจะกลัวอะไรกับหลงทาง

     แกก็เลยหลงจริง ๆ พาสองกุมารเดินเรื่อยตราบจนกระทั่งถึงกรุงพิชัยเชตุอุดร

     ในคืนนั้นเอง ลางสังหรณ์ก็ปรากฎกับท้าวสญชัยผู้เป็นอัยกา ในที่บรรทมหลับก็เผอิญฝันเห็นว่ามีผู้เอาดอกบัว ๒ ดอกมาถวาย ก็ตกพระทัยตื่น จึงตรัสเรียกโหรมาทำนายโหรก็ทำนายว่าจะได้ลาภจะพบญาติวงศ์ที่สนิท ชิดเชื้อกลับคืนมา ได้เวลาออกว่าราชการท้าวเธอก็เสด็จออกว่าราชการมองไปที่หน้าพระลาน ก็ปรากฎร่างของชายชราจูงสองกุมารผ่านมา ท้าวเธอทอดพระเนตรเห็นก็สงสัย จึงตรัสสั่งอำมาตย์

     “เฮ้ย อำมาตย์ ไปดูทีหรือว่าใครจูงใครผ่านไปนั้น?” อำมาตย์ก็รับพระบัญชาก็ออกไปถามตาพราหมณ์ดู ก็ได้ความจากพราหมณ์เฒ่าว่า ขอสองกุมารจากพระเวสสันดร มาจะกลับไปบ้านเมือง

     พระเจ้ากรุงสญชัยทราบเรื่อง ก็ขอไถ่สองกุมารตามที่พระเวสสันดรได้กำหนดไว้ ให้ชูชกเป็นมหาเศรษฐีขึ้นทันทีมีปราสาทข้าทาสบริวารทั้งหลายอย่างภาคภูมิ เป็นเศรษฐีทางลัดโดยที่พระเจ้ากรุงสญชัยไถ่ค่าตัวกัณหาชาลี ตาเฒ่าชูชกก็เลยกลายเป็นมหาเศรษฐีโดยฉับพลัน ด้วยที่แกไม่เคยพบไม่เคยเห็นแก้วแหวนเงินทองมากมายก่ายกอง เหล่านางรำนางกำนัลแต่ละนางก็ล้วนแต่สวยสดงดงาม

     แม่อมิตดาว่างามแล้วก็ยังต้องชิดซ้าย พูดจาก็อ่อนหวานเอาอกเอาใจยามกินก็คอยป้อนให้ถึงปาก พี่จ๊ะ พี่จ๋าน้องป้อน อันนี้อร่อยอันนั้นก็น่าทาน มีดนตรีขับกล่อมตลอดเวลา จนพี่แกลืมแม่อมิตดาเมียรักเสียสนิท และด้วยตาเฒ่าชูชกแกไม่เคยกินของอร่อยที่วิเศษอย่างนี้มาก่อน แกก็เลยกิน ๆ จนเกินกระเพาะที่จะรับได้ จนท้องแตกตาย


หน้า 1   หน้า 2   หน้า 3   หน้า 4   หน้า 5   หน้า 6   หน้า 7   หน้า 8