พระเวสสันดร ๘

                                  
 
    พระเจ้ากรุงสญชัยก็เลยทำศพให้ แล้วป่าวร้องให้ญาติของแกมารับทรัพย์สมบัติไป แต่ก็ไม่มีใคร เพราะแกไม่ใช่คนในแคว้นนั้นเป็นคนมาจากที่อื่น ถ้าเป็นสมัยนี้จะน่าคิดทีเดียว ขนาดคนรุ่นมหาเศรษฐีอย่างชูชก ไม่มีญาติมีหรือ คงจะมีคนมาอ้างเป็นญาติข้างพ่อบ้าง ข้างแม่บ้าง ตั้งร้อยตั้งพันแจกกันไม่หวาดไม่ไหวเป็นแน่ แต่นี่ดีที่เป็นสมัยก่อน เลยไม่มีคนมารับสมอ้าง ทรัพย์ทั้งหลายก็เลยเข้าท้องพระคลังอย่างเดิม ตาชูชกก็ได้ตายไปแล้วหมดเรื่องปิดฉากเสียที ยังเหลือแต่พระชาลีกัณหา ซึ่งพระเจ้าปู่ได้ไถ่ออกมาจากการเป็นทาสทาสี ตอนนั้นพระเจ้ากรุงสญชัยคิดถึงพระเวสสันดรมากแล้ว คิดดูง่าย ๆ สมัยพระเวสสันดรยังอยู่ราชการงานเมืองทั้งหลายพระเวสสันดรรับภาระไปทั้งนั้น

     เดี๋ยวนี้สิพระองค์ต้องโดดเข้ามาทั้งร้องทั้งรำเองเสร็จ เหนื่อยทั้งกายทั้งใจ พอเห็นสองพระกุมารก็ดีพระทัย ข้อโกรธเคืองทั้งหลายก็หมดไปหมด เมื่อไถ่สองกุมารเสร็จเรียบร้อย ก็ให้จัดการรับมิ่งสู่ขวัญ มีการสมโภชเฉลิมฉลองต้อนรับสองกุมารเป็นการใหญ่

     ซึ่งเรื่องทั้งหลายก็เป็นไปอย่างงามเกียรติของกษัตริย์ที่จัดทุกประการ แล้วสั่งให้เตรียมพล โยธาออกไปรับพระเวสสันดรคืนพระนคร โดยจัดให้พระชาลีเป็นทัพหน้ายกไปก่อน

     พระเวสสันดรได้ยินเสียงไพร่พลช้างม้าอื้ออึงก็ตกพระทัยแต่พระนางมัทรีทูลเตือนให้สตินึกถึงพรที่ขอพระอินทร์ไว้ ก็ค่อยพินิจดูก็รู้ชัดว่าเป็นไพร่พลของพระบิดาของพระองค์ เมื่อตั้งสติก็คอยต้อนรับอยู่ที่หน้าบรรณศาลา


    
     พอกษัตริย์ทั้ง ๖ ไปพบกันพร้อมหน้า คือพระเจ้ากรุงสญชัย พระนางผุสดี พระชาลี กัณหา พระเวสสันดร และพระนางมัทรีก็โศกโศกา เพราะพลัดพรากกันมานานหลายเดือน ได้รับความลำบากต่าง ๆ ถึงกับสลบลงทั้ง ๖ กษัตริย์ ไพร่พลก็พากันร่ำร้องไห้ไปหมดทั้งกองทัพ ถึงกับสลบสไสลไปหมดด้วยกัน

     พระอินทร์เห็นว่าจะไม่เป็นการแน่ ต้องช่วยอีกแล้ว ในเรื่องพระอินทร์บันดาลให้ห่าฝนโบกขรพรรษตกลงมา ฝนนี้ก็แปลกประหลาดเหลือ เพราะใครอยากไม่ให้เปียกก็ไม่เปียก เขาว่าเหมือนน้ำตกบนใบบอนหรือบัว แล้วก็ตกลงพื้นดินไป ต่อเมื่อใครอยากให้เปียกจึงจะเปียก และแถมมีสีแดงเสียด้วยสิ

     กษัตริย์ทั้ง ๖ และไพร่พล ได้รับความชุ่มชื่นก็ฟื้นจากสลบ พระเจ้ากรุงสญชัยก็เชิญให้พระโอรสลาผนวชเข้าไปครองราชสมบัติดังเก่า พระนางผุสดีก็ให้พระมัทรีลาเพศดาบทสินี (ฤๅษีผู้หญิง) กลับไปอยู่เวียงวังตามเคย

     สุดท้ายของเรื่องก็คือ พระเวสสันดรลาเพศดาบถคืนเข้าเสวยราชสมบัติให้ทานต่อไปตามเคย ชาวกลิงคราชซึ่งขอช้างปัจัยนาเคนทร์ไป จนพระเวสสันดรถูกเนรเทศ หลังจากแว่นแคว้นเข้าสู่สภาพปกติสุข ฟ้าฝนตกต้องตามฤดูกาลแล้ว ก็นำช้างกลับมาถวายคืนไว้ตามเดิม


     
บุพพกรรมของพระเวสสันดร   พระนางมัทรี   พระกัณหา   พระชาลี

     บุพพกรรมของพระเวสสันดรทรงหวาดกลัวเสียงไพร่พลช้างม้าที่พระเจ้ากรุงสญชัยยกทัพมารับกลับยังกรุงพระนคร  ก็เป็นเพราะว่าครั้งหนึ่งพระเวสสันดรเสวยพระชาติเป็นมหากษัตริย์   พระองค์ทรงยกกองทัพออกจากพระนครเป็นกองทัพที่ใหญ่โตมโหราญและได้มีพระภิกษุองค์หนึ่งเดินผ่านมาพระมหาษัตริย์ทรงเกรงว่าพระภิกษุองค์นั้นจะได้รับอันตรายจึงให้อำมาตย์ไปนิมนต์พระภิกษุหลบไปก่อน... พระภิกษุองค์นั้นตกใจกลัวก็หลบไป..ด้วยผลกรรมอันนี้มาในชาติพระเวสสันดรพระองค์ก็เลยตกใจกลัวเสียงกองทัพด้วยประการฉะนี้..

     ส่วนบุพกรรมของพระนางมัทรีนั้นที่ถูกพระเวสสันดรทรงตัดพ้อให้เจ็บช้ำพระหฤทัยนั้นก็เพราะในพระชาตินั้นทรงเป็นเกิดนกกระจาบแล้วได้ต่อว่าต่อขานแก่สามีซึ่งเป็นพ่อนกติดอยู่ในดอกบัวไม่สามารถที่จะกลับมาได้จึงเป็นเหตุให้ลูกน้อยต้องตายไปในกองไฟป่าทั้งหมด....

     บุพพกรรมของพระกัณหา ชาลี ในอดีตชาตินั้นเกิดเป็นกุมารแลกุมารีของชาวนา บิดามารดาใช้ให้กุลบุตรทั้ง   ๒   ดูแลควายมิให้เข้ากัดกินข้าวกล้าในนาข้าว ควายแก่นั้น ดื้อ ด้าน ทาน ขืน ก้าวลงสู่ท้องนาเพื่อกัดกินข้าวกล้า กุลบุตรทั้ง ๒ จึงเฆี่ยนตีควายนั้นให้เข็ดหลาบ ด้วยบุพพกรรมนั้นแล ควายนั้นกำเนิดเกิดเป็นตาพราหมณ์ชูชกในชาตินี้ กุลบุตรทั้ง ๒ เกิดเป็นพระกัณหาชาลีร่วมภพชาติ ด้วยบุพกรรมอันนั้นส่งผลให้สองพระกุมารต้องมาถูกชูชกผูกมัดมือเฆียนตีดังกล่าว


     บุพพกรรมของตาชูชกที่ได้ภรรยาสาวสวยวัยรุ่นนั้นเป็นเพราะในชาติหนึ่งได้บูชาพระด้วยดอกไม้สดแรกแย้มมาในชาตินี้จงมีภรรยาสาววัยรุ่นดังกล่าว
     บุพพกรรมของนางอมิตดานั้นที่มีสามีแก่เพราะในชาติหนึ่งนางได้บูชาพระด้วยดอกไม้เหี่ยวแห้ง.. .ส่วนดอกไม้สดนางก็นำมาประดับตัวเอง.. จนกระทั้งนางได้นึกขึ้นว่าไม่ดีงามนางจึงได้กลับใจบูชาพระด้วยดอกไม้สดตูมสวย... และต่อจากนั้นตาชูชกจากไปไม่นานนางก็มีชายหนุ่มรูปงามมาเกี่ยวพาราสี... นางจึงได้หลบหนีไปอยู่ด้วยกันจึงเป็นอันว่าตอนหลังนางก็มีสามีหนุ่มไม่ใช่ตาเฒ่าแก่เช่นตาชูก...ดังนี้แล.....

  **เพิ่มเติม**

  พระเวสสันดร  = มาเป็นพระพุทธเจ้า

  พระนางมัทรี  = มาเป็นพระนางพิมพายโสธราพระชายาของเจ้าชายสิทธัตถะ(พระพุทธเจ้า) ออกบวชบรรลุอรหันตผล ได้เป็นเอตทัคคะทางด้านระลึกชาติ

  พระชาลี  = มาเป็นพระราหุล ได้บวชตั้งแต่ ๗ ขวบ จนสำเร็จบรรลุอรหัตต์ และปรินิพพานเมื่ออายุ ๓๒ ปี

  พระกัณหา  = มาเป็นพระอุบลวรรณา ออกบวชได้เป็นอัครสาวิกาฝ่ายซ้าย เป็นเอตทัคคะด้านอิทธิฤทธิ์

  อัจจฤๅษี  = มาเป็นพระสารีบุตร พระสาวกฝ่ายขวา เป็นเอตทัคคะผู้มีปัญญามาก

  ช้างปัจจัยนาค  = มาเป็นพระโมคคัลลาน พระสาวกฝ่ายซ้าย เป็นเอตทัคคะผู้มีฤทิธ์มาก

  ชูชก  = มาเป็นพระเทวทัต

  นางอมิตตดา  = มาเป็นนางจิญจมานวิกา

  พรานเจตบุตร  = มาเป็น นายฉันนะ

  พระเจ้าสญชัย  = มาเป็นพระเจ้าสุทโธทนะ (พุทธบิดา)

  พระนางผุสดี  = มาเป็นพระนางสิริมหามายา(พุทธมารดา)

    เทวดาที่มาช่วยดูแลพระกุมารในตอนกลางคืน

  ตนหนึ่งมา  = เป็นพระอนุรุธ

  และอีกตน  = มาเป็นพระมหากัจจายนะ

  พระอินทร์  = มาเป็นพระมหากัสสปะ

เรื่องพระเจ้าสิบชาติก็จบลงเพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสพิพัฒมงคล พิบูรณ์พูลผล จงมีแด่ทุกท่านที่เข้ามาอ่านและทุก ๆ ท่านเทอญ.. -.-

     ได้มีหลากหลายผู้คนต่างตั้งปัญหาถกเถียงกันขึ้นมาว่า เพราะเหตุใด ?? พระเวสสันดรจึงบริจากบุตร-ภรรยาให้เป็นทานแก่ตาเฒ่ายาจกขอทานสกปรกแปลกหน้า พระองค์ทรงเห็นแก่ตัว และอื่น ๆ ที่จะกล่าวกัน จะมีใครสักกี่คนหนอ..ที่จะเข้าใจในองค์พระเวสสันดร ว่าทำไมพระองค์ถึงต้องทรงกระทำเช่นนี้ เพื่อใคร ? เพื่ออะไร ? ขอให้เราท่านใช้ปัญญาพิจารณาเอาเถิด... จึงใคร่ขอให้ไปอ่านเรื่องบุพพกรรมในอดีตชาติของพระเวสสันดร และบุพพกรรมอธิษฐานของแต่ละพระองค์แต่ละท่านที่เกาะเกี่ยวเกิดกรรมตามกันมาแต่กาลก่อน ตามที่ได้ให้ลิ้งค์ไว้

อ่านได้ที่นี่


หน้า 1   หน้า 2   หน้า 3   หน้า 4   หน้า 5   หน้า 6   หน้า 7   หน้า 8