หลวงพ่อฤษีลิงดำ
“ตายจากสงฆ์ไปเกิดเป็นพญานาคมีนามว่า”
“พญาเอรกปัตตนาคราช”
   “...ในสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนาม “ สมเด็จพระพุทธกัสสป ” ได้มีภิกษุรูปหนึ่งจำพรรษาอยู่ในถ้ำติดชายทะเล คือภูเขาชายทะเล เวลานั้นคนมีอายุถึง ๔๐,๐๐๐ ปี ยังเป็นพระปุถุชนคนธรรมดาที่เรียกว่า “ สมมุติสงฆ์ ”

   วันหนึ่งท่านอาบน้ำอยู่ชายทะเล มีเรือสำเภาหนึ่งแล่นมาช้า ๆ เพราะลมอ่อน เฉียดเข้ามาาใกล้ที่ท่านอาบน้ำ ท่านเห็นตะไคร่น้ำจับข้างเรืออยู่มันยาวมาก เรือเดินทะเลต้องเดินกันเป็นเดือด ๆ ตะไคร่ก็จับมาก ท่านก็เลยนึกสนุกขึ้นมาโผกายไปจับตะไคร่น้ำ ปล่อยให้เรือลากไปตามอัธยาศัย ร่างกายของท่านหนัก ตะไคร่สามารถทรงตัวอยู่ได้ถึงหลุดออกมา ตัวท่านก็หลุดออกมาจากเรือไม่เป็นไรเพราะน้ำตื้น

   การพรากของเขียว คือการทำให้ตะไคร่น้ำหลุดออกมาจากที่เดิม พระพุทธเจ้าทรงปรับเป็นอาบัติปาจิตตีย์ แต่มีโทษไม่เหมือนกับอาบัติปาจิตตีย์การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั้นลงนรก แต่ปาจิตตีย์การพรากของเขียวให้พลัดพรากจากที่เดิมของท่านก็คือ ท่านเป็นพระอยู่องค์เดียวจึงไม่มีการแสดงอาบัติ คือไม่มีโอกาสระงับโทษนี้ เวลาตายอาบัติก็คาใจนิดเดียวเท่านั้น การจำศีลภาวนาของท่านไม่มีผลให้เกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดาหรือพรหม แต่ต้องไมเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นนาค

   ด้วยอำนาจแห่งการบำเพ็ญบามีมานานถึง ๒๐,๐๐๐ ปี และมีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงมีสภาวะเป็นทิพย์มีความเป็นคล้ายเทวดา มีที่อยู่เป็นทิพย์ มีเครื่องบริโภคเป็นทิพย์ มีสมบัติอันเป็นทิพย์แต่ทว่าเป็นสัตว์เดรัจฉานมีนามว่า “ พญาเอรกปัตนาคราช” ก็เพราะว่ามีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนนาคธรรมดา มีสภาพเหมือนตะใคร่น้ำคือ ทั้งตัวรุ่มร่ามนุงนังไปหมด เหมือนตะใคร่น้ำลอยน้ำ

   ต่อมาพญาเรกปัตตนาคราชก็ได้ นางนาควิกา คือนางนารีอีกตัวหนึ่งมาเป็นคู่ครอง มีลูกสาวมีนามว่า “ นางนาคมาณวิกา” ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันทรงอุบัติขึ้น พญานาคตนนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นนาคแต่มีอารมณ์ใจเป็นทิพย์ มีความคิดอยู่เสมอว่าเมื่อไรหนอพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่จะทรงอุบัติขึ้น ท่านมีอายุนานเหลือเกินเพราะท่านเกิดเป็นนาคในสมัยสมเด็จพระพุทธกัสสป และพระองค์ทรงนิพพานไปแล้ว

    สิ้นเวลาเป็นล้าน ๆ ปี ท่านพญานาคตนนี้ก็ยังมีอายุยืนเป็นพญานาคอยู่ ถ้าหากว่าท่านตายจากความเป็นนาค ความดีเดิมปรากฏก็จะบันดาลให้ท่านเป็นเทวดาได้ แต่ทว่าอายุของท่านมันนานเกินไป แต่จิตใจก็ยังน้อมไปด้วยกุศล

   วันหนึ่งท่านเกิดไม่สบายใจคิดว่า องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงอุบัติในโลกแล้วหรือยัง ทนไม่ไหวจึงได้เรียกลูกสาวคือ นางนาคมาณวิกาให้แปลงเป็นมนุษย์สาวสวย ตัวท่านเองก็แผ่พังพานให้ลูกสาวยืนอยู่บนพังพานของท่าน แล้วก็ร้องเพลงเป็นพุทธภาษิต ที่ท่านแต่งขึ้นโดยตั้งจิตคิดว่า เพลงนี้มีแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะทรงแก้ได้ คนธรรมดาไม่สามารถจะแก้ได้ เพลงของท่านเป็นพุทธภาษิตที่ สมเด็จพระพุทธกัสสป ตรัสไว้ ท่านจำได้เพราะจิตเป็นทิพย์

   เมื่อท่านแผ่พังพานลอยขึ้นมาในน่านน้ำ นางนาคมาณวิกาก็ร้องเพลงที่พ่อแต่งให้ โดยมีสัญญาว่า “ ถ้าใครร้องเพลงแก้เพลงนี้ได้ เราจะยอมเป็นภรรยา ” รูปร่างหน้าตาของลูกสาวท่านสวยมากไม่ว่าใคร ไ ที่ทราบข่าวก็พากันไปร้องเพลงแก้ เมื่อร้องเพลงแก้แล้วนางก็ตอบว่า “ ไม่ถูก ” ท่านพ่อก็เป็นพยานบอกว่า “ ยังไม่ถูก ” ถ้าร้องเพลงแก้ถูกเมื่อไรก็ยกลูกสาวของ เราให้เป็นภรรยาทันที เพราะสภาวะท่านเป็นทิพย์ ท่านพูดภาษาคน

 

“อุตตรมาณพบรรลุพระโสดาบัน

   ต่อมาองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงเห็นว่า อุตตรมาณพ ซึ่งเป็นคู่ครองกันมากับนางนาคมาณวิกาจะได้เป็นพระโสดาบัน เวลานั้นอุตตรมาณพได้ยินข่าวเขาลือว่า นางนาคมาณวิกามีรูปร่างหน้าตาทรวดทรงสวยกว่ามนุษย์ใด ไ ในโลกที่จะพึงสวยเท่า มาร้องเพลงให้คนแก้ ถ้าใครแก้ได้จะยอมเป็นภรรยา จึงได้ศึกษาว่าเพลงเขาร้องว่าอย่างไร ก็ตั้งใจจะร้องแก้ ก็เดินออกจากบ้านไป เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงทราบอุปนิสัยว่าเขาจะได้ พระโสดาปัตติผล พระองค์จึงได้ไปนั่งดักกลางทาง ครั้นอุตตรมาณพเห็นพระพุทธเจ้าจึงได้เข้าไปถวายนมัสการเพราะรู้จัก

    พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสถามว่า “ เธอจะไหน ”

   อุตตรมาณพจึงได้กราบทูลว่า “ ข้าพระพุทธเจ้าจะไปร้องเพลงแก้นางนาคมาณวิกา”

   พระพุทธเจ้าทรงทราบแล้วว่าเขาเป็นเนื้อคู่กัน เขาต้องเป็นเนื้อคู่กันแน่ และอีกประการหนึ่ง เมื่อเนื้อคู่ครองกันแล้วได้ฟังเทศน์ของพระองค์ เขาจะได้บรรลุพระโสดาปัตติผล องค์สมเด็จพระทศพลทรงต้องการอย่างเดียวคือพระโสดาปัตติผล ให้เขาเจริญเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า พระองค์จึงตรัสถามอุตตรมาณพว่า “ เพลงที่เธอจะไปร้องแก้ เธอจะร้องว่าอย่างไร” อุตตรมาณพจึงเล่าให้พระพุทธเจ้าฟัง พระองค์จึงได้บอกว่า “ แก้แบบนี้ไม่ถูก ต้องแก้แบบนี้ ” แล้วพระองค์ก็ทรงผูกเพลงเป็นพุทธภาษิตไปให้ร้องเพลง และอุตตรมาณพก็ไปขออาสาจะร้องเพลงแก้ นางนาคมาณงิกาก็ร้องเพลงคำถาม อุตตรมาณพก็ร้องเพลงแก้

   พญาเอรกปัตตนาคราชตั้งใจฟังอยู่ พอได้ฟังการร้องเพลงแก้นี้ถูกต้องที่ตนตั้งใจไว้ ก็คิดในใจว่าเวลานี้องค์สมเด็จพระพิชิตมารจะต้องอุบัติขึ้นแล้ว ก็ดีใจได้เอาพังพานตีน้ำ น้ำเป็นคลื่นทำเอาคนที่ยืนอยู่ริมแม่น้ำ หล่นลงไปในน้ำตาม ๆ กันเพราะถูกคลื่น พญาเอรกปัตตนาคราชจึงค่อย ๆ เอาหางประคองคนทั้งหมดขึ้นไปบนตลิ่ง แล้วตนเองก็แปลงเป็นมนุษย์ขึ้นไปถามอุตตรมาณพว่า “ เพลงที่ท่านนำมาแก้นี้ ท่านคิดได้เองหรือใครสอนท่าน” อุตตรมาณพจึงตอบว่า “ เพลงนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้ ” ท่านจึงถามว่า “ เวลานี้พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน” อุตตรมาณพบอกที่แล้วก็พากันไป

   เมื่อไปถึง พระพุทธเจ้าก็เทศโปรด อุตตรมาณพเป็นพระโสดาบัน นางนาคมาณวิกาและพญาเอรกปัตตนาคราชเข้าถึงพระไตรสรณคมน์ แล้วยกลูกสาวพร้อมด้วยสมบัติอันเป็นทิพย์ให้อุตตมาณพ คือนำสมบัติส่วนนั้นมาไว้เมืองมนุษย์ จะนำไปไว้บาดาลไม่ได้ อุตตรมาณพกลายเป็นเรษฐืใหญ่ องค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสว่า การฟังพระธรรมเทศนาคราวนั้น ถ้าพญาเอรกปัตตนาคราชไม่ได้เป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็จะได้บรรลุพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลเบื้องต้น ที่ฟังแล้วไม่สามารถจัเป็นพระอริยเจ้าได้ ก้เพราะว่าพญาเอรกปัตตนาคราชไม่ใช่คน เป็นสัตว์เดรัจฉานจึงไม่มีโอกาสที่จะบรรลุมรรคผล

   การที่นำเรื่องนี้ราวของพญาเอรกปัตตนาคราชมาเล่านี้ ก็เพื่อให้บรรดาพุทธบริษัทรู้จักลีลาของพระว่า พระองค์ใดท่านปฏิบัติไม่ดีเพียงแค่เล็กน้อยเท่านี้ ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่ถ้าพระองค์มีนิสัยไม่ดี คือมีจิตอิจฉาบุคคลอื่นที่ตนทำได้ดีกว่าก็ตาม หรือเรี่ยไรทรัพย์สินทั้งหลายมาแล้ว ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ของตนก็ตาม ให้เป็นประโยาชน์แก่พวกพ้องก็ตาม เหล่านี้เป็นปัจจัยให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นลง อเวจีมหานรก ถ้าท่านทั้งหลายไปเคารพ ปฏิบัติตามพระพวกนี้เข้า พระไปนรกท่านก็ไปนรกด้วย ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานท่านก็ไปเกินด้วย เพราะนิยมแบบฉบับเดียวกัน....”

หน้า 1   หน้า 2   หน้า 3   หน้า 4   หน้า 5   หน้า 6   หน้า 7   หน้า 8   หน้า 9