หลวงพ่อฤษีลิงดำ

วิญญาณของเด็กหนุ่มเข้าทรง

   ท่านผู้อ่านจะได้รับทราบเรื่องของผีที่เรียกว่า “ สัมภเวสี ” ต่อไปนี้ เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ ตำบลบางแพ อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี ท่านผู้เล่าเรื่องนี้ให้ฟังชื่อ “ ร .ต. สุภักดิ์ อนุกูล ” ท่านเล่าให้ฟังว่า เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๐๙ เวลาประมาณ ๐๗ . ๐๐ น. เด็กชายณัฐพร ครุทฑานนท์ ชื่อเล่น ๆ ว่า “ หนุ่ม” เป็นบุตรชายคนรองสุดท้ายของนายสุนทร - นางสุภาพ ครุทฑานนท์ อยู่บ้านเลขที่ ๔๑ / ๓ ตำบลบางแพ ได้รับอุบัติเหตุถูกสายไฟฟ้าที่ขาดห้อยอยู่ดูดถึงแก่ความตาย เรื่องของความตายนี้ ทางพระท่านถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าไม่ว่าใครทั้งสิ้นที่เกิดมาแล้วก็ต้องตายเหมือนกับหมด จะตายด้วยโรคอะไรอาการอย่างไร

    ในที่สุดก็ตายเหมือนกัน พระท่านสอนไม่ให้เสียใจเพราะเหตุแห่งความตายมาถึง คนรับฟังมีมาก แต่รับปฏิบัติคือตัดใจไม่ยอมเศร้าโศกถึงคนตายนี้หายาก เรื่องของการระงับความเศร้าโศกอาลัยในเมื่อมีคนที่รักตายนี้ เป็นเรื่องที่ทำได้ยากยิ่ง คนที่จะทำได้แน่นอนไม่มีอารมณ์หวั่นไหวในเรื่องของความตายนั้น ท่านว่ามีพระอรหันต์เท่านั้นที่จะได้เห็นเรื่องของความตายเป็นของปกติธรรมดา เหมือนเห็นใบไม้ที่แกว่งจนล่วงลงจากต้น

    ไม่มีความรู้สึกเสียดายห่วงใยใด ๆ ถ้าว่ากันตามภาษาชาวบ้าน ถ้ามีคนตายเกิดขึ้นที่บ้านใคร คนที่เดี่ยวข้องเช่นสามีหรือภรรยาของผู้ตายไม่ร้องไห้แสดงความเสียใจ เขาก็หาว่าเป็นคนใจจืดใจดำ กลายเป็นคนไม่ดีไปเสียอีก ต้องแสดงออกถึงความเศร้าโศกรำพัน นั้นแหละเขาจึงนิยมว่าเป็นคนดี รักกันจริง เรื่องของความเห็นของพระกับชาวบ้านไม่ใคร่จะลงกันก็อีตอนนี้แหละ

    เป็นอันว่าเมื่อเด็กชายณัฐพรลูกชายตาย คุณสุนทรและคุณสุภาพก็ต้องร้องไห้ตามแบบฉบับของชาวบ้านที่รักลูกทั่วโลก มีการทำบุญตามพิธีสงฆ์ คือพระมาสวดและก็เลี้ยงพระ ในที่สุดก็ยังไม่เผาเอาเก็บไว้ที่โกดังวัดใกล้บ้าน เป็นสุสานทำเป็นตัวตึก ท่านผู้เล่าให้ฟังคือ ร. ต. สุภักดิ์ ได้บอกว่าในระยะที่เด็กชายหนุ่มหรือณัฐพรตายแรก ๆ ยังไม่มีอะไรปรากฏการณ์ เมื่อเวลาล่วงเลยมาจนครบ ๘ เดือนเศษ ค่ำวันหนึ่ง น.ส. เฉลียง เด็กที่ม่อยู่บ้านนายสุนทรหลังจากเด็กชายหนุ่มตายไปแล้วและไม่เคยรู้จักเด็กมาก่อน

    น. ส. เฉลียง อายุ ๑๖ ปี ขณะที่เธอนั่งทำงานอยู่นั้นก็เกิดร้องกรี๊ดขึ้นมาเฉย ๆ ทุกคนในบ้านพากันแปลกใน จึงเข้าไปถามสาเหตุที่ร้องส่งเสียงแสดงความหวาดกลัวนั้น น.ส เฉลี่ยงได้บอกแก่ทุกคนทีเข้าไปถามว่า “ เห็นเด็กชายคนหนึ่งอายุประมาณ ๓ ปี เข้ามาทางช่องกระจกบานเกล็ดพร้อมกันนั้นก็มีพระสงฆ์ ๒ องค์ตามมา เมื่อทันกันพระทั้ง ๒ องค์ก็ช่วยกันจับเด็กชายคนนั้นคนละแขน พากันออกไปทางช่องกระจกบานเกล็ด เธอเห็นอย่างนั้นก็ตกใจกลัวจึงร้องออกมา และเด็กคนที่เห็นนั้นมีรูปร่างหน้าตาเหมือนภาพถ่ายเด็กที่แขวนอยู่ที่ห้องรับแขก ” เรื่องที่ น.ส. เฉลียงบอกนั้นสร้างความสนใจแก่ทุกคน ในที่นั้นเป็นพิเศษ เพราะเด็กชายหนุ่มตายเมื่อ ๓ ปี จึงพากันสนใจและแปลกใจไปตาม ๆ กัน    วิญญาณของเด็กชายหนุ่มเข้าทรง
    ต่อมาอีกไม่กี่วัน น.ส. เฉลียงทำงานอยู่กลางลานบ้านก็เกิดล้มลงเฉย ๆ มีอาการเมือเท้าเกร็ง มีเสียงร้องคล้ายเด็กร้องไห้ นางสุภาพเข้าไปสอบถามอยู่นานเกือบชั่วโมง น.ส. เฉลียงจึงพูดด้วย แต่ไม่ได้พูดด้วยสำเนียงเดิมที่เคยพูด กลับออกเสียงเป็นเสียงเด็กบอกชื่อตัวเองว่า “ หนู่ชื่อหนุ่ม คิดถึงแม่สุภาพถึงได้มา คิดถึงพ่อ คิดถึงน้องและครูปั๊ก ” ( ตามสำเนียงที่เด็ดชายหนุ่มเคยเรียก ร.ต. สุภักดิ์ ออกเสียงเป็นปั๊กเสมอ เพราะยังพูดไม่ค่อยชัด ) แล้วสั่งว่า “ วันพรุ้งนี้อย่าให้ครูปั๊กไปไหน หนุ่มมีธุระจะคุยด้วย ”

    เมื่อพูดจบอาการของ น.ส. เฉลียงก็เป็นปกติ ร.ต. สุภักดิ์บอกว่าบ้านของเขาอยู่ติดกับบ้านของนายสุนทร ทั้งสองมีความสนิทสนมกันมาก เด็กชายหนุ่มก็มีความสนิทสนมกับ ร.ต. สุภักดิ์มาก เคยมาหา ร.ต. สุภักดิ์และเคยติดตามไปในที่ต่าง ๆ เป็นปกติ คุณสุภักดิ์เป็นคนโสดและมีนิสัยรักเด็ก บางคราวเขาจะเพาะถั่วงอกเพื่อทดลอง เด็กชายหนุ่มก็มาช่วยทำงาน ทำตามประสาเด็กและชอบซักถามเพื่อความเข้าใจ คุณสุภักดิ์รักและชอบในความสนใจของเด็กชายหนุ่มมาก

    ต่อมาเมื่อเด็กชายหนุ่มต้องตายเพาะถูกกระแสไฟฟ้าดูด คุณสุภักดิ์ก็เอาถั่วงอกที่เด็กชายหนุ่มช่วยปลูกนั้นมาผัดและถวายพระ อุทิศส่วนกุศลไปให้ เมื่อทราบจากนางสุภาพว่า เด็กชายหนุ่มต้องการพบ ตอนแรก ๆ ก็ไม่ค่อยเชื่อแต่เพื่อจะทราบความจริงว่า เด็กชายหนุ่มจะมาเข้าทรงจริงหรือ น.ส. เฉลียงจะเล่นตลกกันแน่ จึงคอยพบตามเวลาที่เด็กนัดไว้

    วันนั้นเป็นวันที่ ๒๑ มิถุนายน เวลาประมาณ ๑๘. ๐๐ น. น.ส. เฉลียงก็มีอาการเหมือนเดิมคือมีอาการคล้ายเป็นลมหน้ามืดแล้วก็ล้มลง เป็นอันว่าทราบทั่วกันว่าอาการอย่างนั้นปรากฏก็แสดงว่า วิญญาณของเด็กชายหนุ่มเข้าทรง เมื่อเข้าทรงแล้ว ก่อนจะถามถึงใคร เด็กชายหนุ่มก็ถามหาครูปั๊ก ถามว่า “ วันนี้ครูปั๊กมาหรือเปล่า ” เมื่อ ร.ต. สุภักดิ์ตอบว่า “ มาและอยู่ที่นี่แล้ว ” วิญญาณของเด็กชายหนุ่มก็พูดว่า “ หนุ่มคิดถึงครูปั๊กมาก ” เขาถามว่า “ เวลานี้หนุ่มอยู่ที่ไหน ” ตอบว่า “ ขณะนี้หนุ่มอยุ่ที่ตึก ” ถามว่า “ ตึกที่หนุ่มอยู่ตั้งอยู่ที่ไหน ” ตอบว่า อยู่ที่วัดใกล้ ๆ บ้านนี้เอง ”

    เป็นอันทราบได้ว่าวิญญาณของเด็กชายหนุ่มอยู่ที่สุสานวัดใกล้บ้านนั้นเอง เพราะสุสานคือที่เก็บศพเขาทำเป็นตึก ถามว่า “ หนุ่มอยู่คนเดียวหรือมีเพื่อนอยู่ด้วย ” ตอบว่า “ มีพระอยู่ด้วยสององค์และคนอื่น ๆ อีกหลายคน แต่หนุ่มไม่รู้จักชื่อเขาเหล่านั้น ”

    สำหรับพระ ๒ องค์ ที่เด็กชายหนุ่มบอกนั้นคือ พระภิกษุเหมือนอายุ ๒๒ ปี และพระภิกษุทองใบอายุ ๕๐ ปี ตายเพราะถูกกระแสไฟฟ้าดูดเหมือนกัน เด็กชายหนุ่มบอกต่อไปว่า “ ขณะที่หนุ่มจะต้องตายเพราะถูกกระแสไฟฟ้าดูดนั้น เห็นพระ ๒ องค์นี้มาจับมือจูงมือไปและบังคับให้จับสายไฟฟ้าที่ขาดตกห้อยลงมา หนุ่มจึงต้องตายจากคน ”

    เรื่องสนทนาระหว่าง ร.ต. สุภักดิ์กับวิญญาณของเด็กชายหนุ่ม เป็นเหตุให้ทราบข้อเท็จจริงที่เป็นข่าวลือกันมานานแล้วว่า คนที่จะต้องตายโหง คือผูกคอตาย ดำน้ำตาย เป็นต้น ส่วนใหญ่ที่แก้ไขฟื้นคืนชีพมาแล้ว มักจะเล่าให้ฟังว่า ขณะนั้นไม่รู้ตัวว่าทำอย่างนั้น แต่กลับเห็นว่าตนเองกำลังเพลิดเพลินกับอะไรสักอย่างหนึ่ง บางคนก็บอกว่ามีคนมาท้าให้ไปตีกัน

หน้า 1   หน้า 2   หน้า 3   หน้า 4   หน้า 5   หน้า 6   หน้า 7   หน้า 8   หน้า 9