บทนำ   ความรู้เรื่องพระไตรปิฎก  เอกสารทางประวัติศาสตร์   ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก   พระวินัยปิฎก  

พระสุตตันตปิฎก   พระอภิธรรมปิฎก   พระไตรปิฎก ๔๕ เล่ม   ชาดก  คำค้นหาพระไตรปิฎก  ธรรมปฏิบัติ  



หมวดพระวินัย

พระวินัยเล่ม ๗
1.ขุททกวัตถุขันธกะ
2.เสนาสนขันธกะ
3.สังฑเภทขันธกะ
4.วัตตขันธกะ
5.ปาฏิโมกขฐปนขันธกะ
6.ภิกขุณีขันธกะ
7.ปัญจสติขันธกะ
8.สัตตสติกขัธกะ

หน้า ๑
๑ ขุททกวัตถุขันธกะ
..เรื่องเกี่ยวกับการอาบน้ำ
..ห้ามใช้เครื่อง
ประดับแบบ
คฤหัสถ์
..ข้อห้ามเกี่ยวกับผม
..ข้อห้ามเกี่ยว
กับการส่อง
กระจกหรือแว่น
..ข้อห้ามทา
หน้าทาตัว
..ห้ามดูฟ้อนรำ
และห้ามขับด้วย
เสียงอันยาว
..ห้ามใช้ผ้าขนเเกะ
..ข้อห้ามและ
อนุญาตเกี่ยว
กับผลไม้
..ตรัสสอน
ให้แผ่เมตตา
..ห้ามตัดองคชาต
..ข้อห้ามและ
อนุญาตเกี่ยว
กับบาตร
..ทรงอนุญาต
มีดและเข็ม
..ทรงอนุญาต
และห้ามเกี่ยวกับ
ไม้แบบหรือสดึง
..ทรงอนุญาต
ถุงใส่ของ
สายคล้องบ่า
ผ้ากรองน้ำ และมุ้ง ทรงอนุญาตการ
จงกรมและ
เรือนไฟ เป็นต้น
..เรื่องที่นั่ง
ที่นอนและที่
ใส่อาหาร
..ห้ามฉันอาหาร
ดื่มน้ำในภาชนะ
เดียวกัน เป็นต้น
..การลงโทษ
คว่ำบาตรแก่
วัฑฒะลิจฉวี

หน้า ๒
เรื่องผ้าขาวที่
ไม่ให้เหยียบ
และเหยียบได้
..นางวิสาขา
ถวายของใช้
..ทรงอนุญาต
และห้ามใช้ร่ม
..ทรงห้ามและ
อนุญาตไม้คาน
สาแหรก
..เรื่องอาเจียน
และเมล็ดข้าว
..ทรงอนุญาต
มีดตัดเล็บ
เป็นต้น
..เรื่องผมและหนวดเครา
..เครื่องใช้เบ็ดเตล็ด
..เครื่องใช้ที่เป็นผ้า
..เรื่องหาบหาม
..การเคี้ยวไม้สีฟัน
ทรงห้ามประ
พฤติอนาจาร
..ห้ามจุดป่าและขึ้นไม้
..ห้ามยกพุทธวจนะ
ขึ้นโดยฉันท์
..ห้องเรียนห้าม
สอนโลกายตะและ
ติรัจฉานวิชชา
..ห้ามถือโชคลาง
แต่ไม่ขัดใจคนอื่น
..ห้ามฉันกระเทียม
..ทรงอนุญาต
ที่ถ่ายปัสสาวะ
อุจจระ
..ทรงห้ามประ
พฤติอนาจาร
..ทรงอนุญาต
เครื่องใช้
๒. เสนาสนขันธกะ
..ทรงอนุญาต
ที่ถ่ายปัสสาวะ
อุจจระ
..ทรงห้ามประ
พฤติอนาจาร
..ทรงอนุญาต
เครื่องใช้
เครื่องนั่งเ
ครื่องนอน

หน้า ๓

..อนาถปิณฑิก
คฤหบดีนับถือ
พระพุทธศาสนา
..ตั้งภิกษุผู้ควบ
คุมการก่อสร้าง
..ลำดับอาวุโส
..บุคคลผู้ไม่ควร
ไหว้ ๑๐ ประเภท
..บุคคลผู้ควร
ไหว้ ๓ ประเภท
..มณฑปที่สร้าง
อุทิศสงฆ์
..ที่นั่งต่างชนิด
ของคฤหัสถ์
..การถวาย
เชตวนาราม
..ปัญหาลำดับ
อาวุโสเพิ่มเติม
..การจัดสรร
ที่อยู่อาศัย
..การนั่งต่ำนั่งสูง
..ปราสาทและ
เครื่องนั่งนอนต่าง ๆ
..สิ่งที่จะสละ
ไม่ได้ ๕ หมวด
..การควบคุม
การก่อสร้าง
..การขนย้าย
ของใช้และรักษา
ที่อยู่อาศัย
..เจ้าหน้าที่
ทำการสงฆ์อื่น ๆ
๓ สังฆเภทขันธกะ
..พระเทวทัต
คิดการใหญ่
..พระเทวทัต
ขอปกครอง
คณะสงฆ์
..ตรัสให้ขอ
อนุมัติสงฆ์
ประกาศ
เรื่องพระเทวทัต
..พระเทวทัต
ยุให้ขบท
..การประทุษร้าย
พระพุทธเจ้าครั้งแรก
..การประทุษ
ร้ายครั้งที่ ๒
..การประทุษ
ร้ายครั้งที่ ๓
..พระเทวทัต
เสนอข้อ
ปฏิบัติ ๕ ข้อ
ทำสงฆ์ให้แตกกัน
..พระเทวทัต
อาเจียน
เป็นโลหิต
..ความร้าวและ
ความแตกกัน
ของสงฆ์
..ใครทำให้สงฆ์
แตกกันได้และได้
..เหตุเป็นเครื่อง
ทำให้สงฆ์แตกกัน
และสามัคคีกัน
..การทำสงฆ์ให้
แตกกันที่ทำให้
ไปอบายและ
ไม่ไปอบาย

หน้า ๔ ๔.วัตตขันธกะ
๔. วัตตขันธกะ
..(๑) อาคันตุกวัตร
..(๒) อาวาสิกวัตร
..(๓) คมิกวัตร
..(๔) ภัตตัคควัตร
..(๕) ปิณฑจาริกวัตร
..(๖) อรัญญกวัตร
..(๗) เสนาสนวัตร
..(๘) ชั้นตาฆรวัตร
..(๙) วัจจกุฏิวัตร
..(๑๐) อุปัชฌาวัตร
..(๑๑) สัทธิวิหาริกวัตร
..(๑๒) อาจริยวัตร
..(๑๓) อันเตวาสิกวัตร
๕. ปาฏิโมกขฐปนขันธกะ
..ต่อจากนั้นไม่
ทรงแสดง
ปาฏิโมกข์อีก
..การโจทฟ้อง
๖. ภิกขุนีขันธกะ
..ทรงอนุญาต
การบวชภิกษุณี
..การศึกษา
สิกขาบท
..ลักษณะตัด
สินธรรมวินัย
๘ ประการ
..เรื่องเกี่ยวกับ
ปาฏิโมกข์
และสังฆกรรม
..การลงโทษ
ภิกษุด้วย
การไม่ไหว้
..การลงโทษ
นางภิกษุณี
..การให้โอวาท
นางภิกษุณี
..ข้อห้ามเบ็ดเตล็ด
๗. ปัญจสติกขัรธกะ
..การสังคาย
นาครั้งที่ ๑
..การถอนสิก
ขาบทเล็กน้อย
..พระอานนท์
ถูกปรับอาบัติ
..พระปุราณะ
ไม่ค้านแต่ถือ
ตามที่ฟังมาเอง
..ลงพรหม
ทัณฑ์พระฉันนะ
๘. สัตตสิกขันธกะ
การสังคายนาครั้งที่ ๒
..พระยสะ
กากัณฏกบุตร
คัดค้าน

 

เล่มที่ ๗ ชื่อจุลลวัคค์ ( เป็นพระวินัยปิฏก )
หน้า ๓

อนาถปิณฑิกคฤหบดีนับถือพระพุทธศาสนา

    อนาถปิณฑิกคฤหบดี (เศรษฐีชาวกรุงสาวัตถี) ผู้เป็นสามีของน้องสาวแห่งเศรษฐีกรุงราชคฤห์ เดินทางไปกรุงราชคฤห์ ทราบว่าพระพุทธเจ้าเกินขึ้นในโลกแล้ว และเศรษฐีกรุงราชคฤห์กำลังเตรียมถวายอาหารบิณฑบาต จึงไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ได้สดับพระธรรมเทศนา ได้ดวงตาเห็นธรรม ( เป็นพระโสดาบัน) เมื่อได้ถวายภัตตาหารในวันต่อมาแล้ว จึงอาราธนาพระผู้มีพระภาคไปจะพรรษา ณ กรุงสาวัตถี และได้เดินทางล่วงหน้าไปก่อน เมื่อไปถึงกรุงสาวัตถีแล้ว ก็ได้ซื้อสวนนอกเมืองแปลงหนึ่งจากราชกุมาร ชื่อเชตะ สร้างเชตวนารามขึ้นเป็นวัดในพระพุทธศาสนา.

ตั้งภิกษุผู้ควบคุมการก่อสร้าง

    พระผู้มีพระภาคเสด็จจากกรุงราชคฤห์ มาทางกรุงไพศาลี ประทับ ณ กูฎาคารศาลา ป่ามหาวันตรัสอนุญาตให้สงฆ์ให้สงฆ์สวดประกาศแต่งตั้งภิกษุผู้ควบคุมการก่อสร้างวิหาร ซึ่งคฤหบดีผู้หนึ่งสละทรัพย์สร้าง.

ลำดับอาวุโส

    ในการเสด็จสู่กรุงสาวัตถี ( จากกรุงไพศาลี) ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นศิษย์ของภิกษุฉัพพัคคีย์ มักจะเดินทางล่วงหน้าเที่ยวจองที่พักไว้มากมาย เพื่ออุปัชฌายะ เพื่ออาจารย์และเพื่อตัวเอง เป็นเหตุให้พระอื่น ๆ เช่น พระสารีบุตรหาที่พักไม่ได้ ต้องไปพักที่โคนไม้. พระผู้มีพระภาคทรงทราบ จึงตรัสให้เรียกประชุมสงฆ์กำหนดให้ภิกษุทั้งหลายปฏิบัติชอบต่อกัน และให้สิทธิต่าง ๆ เช่น ได้รับการกราบไหว้ ลุกขึ้นต้อนรับการทำอัญชลี การแสดงความเคารพ การได้อาสนะที่ดี ได้น้ำที่ดี ได้อาหารที่ดี ตามลำดับอาวุโส ( แก่พรรษากว่า) ผู้ใดปฏิเสธการถือเอาตามลำดับอาวุโสเกี่ยวกับสงฆ์ ผู้นั้นต้องอาบัติทุกกฏ.

บุคคลผู้ไม่ควรไหว้ ๑๐ ประเภท.

    ทรงแสดงถึงบุคคลที่ ( ภิกษุ) ไม่ควรไหว้ ๑๐ ประเภท คือ ๑ . ผู้บวชภายหลัง ไม่ควรที่ผู้บวชก่อนจะไหว้ ๒. ผู้ไม่ได้บวช ไม่ควรที่ผู้บวชจะไหว้ ๓. ภิกษุที่เป็นนานาสังวาส ( ต่างนิกายกัน) แก่กว่า ถ้าพูดไม่เป็นธรรมก็ไม่ควรไหว้ ๔. มาตุคาม ( ผู้หญิง ) อันภิกษุไม่ควรไว้ ๕. กะเทย ๖. ภิกษุที่อยู่ปริวาส ๗. ภิกษุผู้ควรสวดถอนจากอาบัติสังฆาทิเทส ทั้งหมดนี้ ไม่ควรที่ภิกษุจะพึงไหว้.

บุคคลผู้ควรไหว้ ๓ ประเภท

    ๑. ผู้บวชก่อน ควรที่ผู้บวชทีหลังจะไหว้ ๒. ภิกษุที่เป็นนานาสังวาส ( ต่างนิกายกัน ) แก่กว่าถ้าพูดเป็นธรรมก็ไหว้ ๓. พระตถาคตหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ควรไหว้.

มณฑปที่สร้างอุทิศสงฆ์

    ศิษย์ของภิกษุฉัพพัคคีย์ถือโอกาสเลี้ยงข้อบัญญัติที่ให้ถือเอาตามลำดับอาวุโสเกี่ยวกับสงฆ์ เมื่อมีผู้สร้างมณฑปอุทิศแก่สงฆ์ ก็เที่ยวจับจองแย่งที่ให้อุปัชฌายะ ให้อาจารย์ และเพื่อตนเอง โดยอ้างว่า ที่ห้ามนั้น ห้ามเฉพาะของสงฆ์ ไม่ได้ห้ามเกี่ยวกับที่อยู่ที่มีผู้สร้างขึ้นอุทิศสงฆ์ ( เป็นการอ้างเกี่ยวถ้อยคำที่ห้าม) พระผู้มีพระภาคทรงทราบ ก็ทรงห้ามเช่นนั้นอีก และปรับอาบัติทุกกฏแก่ผู้ล่วงละเมิด.

ที่นั่งต่างชนิดของคฤหัสถ์

    เมื่อคนทั้งหลายนิมนต์พระไปฉันในโรงฉันในละเเวกบ้าน ก็จัดที่นั่งต่างชนิดหลายอย่าง ( ดี ๆ ตามคฤหัสถ์ใช้) ครั้งแรกทรงห้ามกำหนดอาสันทิ บัลลังก์ และของยัดนุ่น ภายหลังทรงอนุญาตให้นั่งทับเครื่องนั่งของคฤหัสถ์ (ทุกชนิด) แต่ไม่ให้นอนทับ.

การถวายเชตวนาราม

    เมื่อเสด็จถึงกรุงสาวัตถีแล้ว อนาถฑิกคฤหบดีนิมนต์ฉันในวันรุ่งขึ้น. เมื่อถวายภัตตาหารเสร็จกราบทูลถามว่า จะปฏิบัติอย่างไรเกี่ยวกับเชตวนาราม. ตรัสให้ถวายแก่สงฆ์ ๔ ทิศ ทั้งที่มาแล้ว และยังไม่มาสู่เชตวนาราม.

ปัญหาลำดับอาวุโสเพิ่มเติม

    ทรงห้ามภิกษุผู้แก่พรรษากว่า ไล่ภิกษุอ่อนกว่าที่กำลังฉันค้างอยู่ เพื่อเข้านั่งแทน ทรงปรับอาบัติทุกกฏแก่ผู้ทำเช่นนั้น ( พระอุปนนทะมาช้า ไล่ภิกษุอื่น เกิดโกลาหลในขณะฉัน). แต่ก็ทรงยืนยันสิทธิในที่นั่งตามลำดับอาวุโส ซึ่งภิกษุผู้อ่อนพรรษากว่าจะปฏิเสธไม่ได้.

    ตรัสห้ามไล่ที่ภิกษุไข้ เพื่อถือเอาที่อยู่ตามลำดับอาวุโส ทรงปรับอาบัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้ไล่ . ภิกษุฉัพพัคคีย์ถือโอกาสที่ตนเป็นไข้ เลือกเสนาสนะดี ๆ ด้วยคิดว่า ใครไล่ตนไม่ได้ พระผู้มีพระภาคจึงตรัสให้จัดที่นอนตามสมควรแก่ภิกษุไข้ ( ไม่ใช้เลือกเองตามชอบใจ).

    ภิกษุฉัพพัคคีย์อ้างเลศ กีดกันเสนาสนะ และถือสิทธิฉุดคร่าภิกษุพวก ๑๗ รูปออกจากที่อยู่ ทรงห้ามทำเช่นนั้น และปรับอาบัติทุกกฏในกรณีกีดกันเสนาสนะโดยอ้างเลศ และปรับอาบัติปาจิตตีย์ ในกรณีฉุดคร่า ..มีในพระวินัย เล่ม ๒ สิกขาบทที่ ๗. เพราะปรารภเหตุเหล่านี้ จึงตรัสให้จัดสรรภิกษุถือเสนาสนะ คือเข้าอยู่อาศัย โดยแต่งตั้งภิกษุผู้จัดสรร.

การจัดสรรที่อยู่อาศัย

    ทรงกำหนดคุณสมบัติของภิกษุผู้จัดสรรที่อยู่อาศัย ( เสนาสนคาหาปกะ) ๕ ประการ คือ ๑ . ไม่ลำเอียงเพราะชอบ ๒. ไม่ลำเอียงเพราะชัง ๓. ไม่ลำเอียงเพราะหลง ๔. ไม่ลำเอียงเพราะกลัว และ ๕. รู้จักเสนาสนะ ที่จัดสรรแล้วยังมิได้จัดสรร.

    ทรงแนะวิธีสวดประกาศแต่งตั้งภิกษุผู้จัดสรรที่อยู่อาศัยเป็นการสงฆ์ แล้วตรัสแนะวิธีจัดสรร โดยให้นับภิกษุก่อนแล้วให้นับที่นอน นับแล้วให้จัดสรรที่อยู่ตามที่นอน. เมื่อจัดสรรแล้ว ยังมีที่นอนเหลือ ให้จัดสรรตามจะนวนวิหาร ( กุฏิ) ถ้ากุฏิยังเหลือก็ให้จัดตามจำนวนบริเวณ ถ้าบริเวณยังเหลือก็ให้แบ่งส่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้อีก. เมื่อได้รับส่วนรับส่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้ว ถ้ามีภิกษุอื่นมา แม้ไม่อยากให้ก็ต้องให้. ทรงห้ามจัดสรรที่อยู่อาศัยแก่ภิกษุผู้อยู่นอกสีมา และทรงห้ามยึดครองที่อยู่อาศัยตลอดกาล, อนุญาตเพียง ๓ เดือน ต่อจากนั้นจะหวงห้ามไม่ได้.

    ทรงแสดงการจัดสรรที่อยู่อาศัย ( เสนาสนคาหะ) ว่ามี ๓ อย่าง คือ ๑. การจัดสรร ตอนต้น คือ ในวันใกล้เข้าพรรษาแรก ๒ . การจัดสรร ตอนหลัง คือในวันใกล้เข้าพรรษาหลัง และ ๓. การจัดสรร ที่นอกจากระหว่างพรรษา คือเมื่อใกล้จะถึงวันปวารณา จัดเพื่อให้จำพรรษาคราวต่อไป.

    ทรงห้ามภิกษุรูปเดียวหวงห้ามที่อยู่อาศัยไว้ถึง ๒ แห่ง ถ้าทำเช่นนั้น ต้องอาบัติทุกกฏ.

การนั่งต่ำนั่งสูง

    ทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้สอนที่บวชใหม่นั่งอาสนะเสมอหรือสูงกว่าได้ และให้ภิกษุผู้เป็นเถระ ( แก่กว่า) ที่เรียนนั่งอาสนะเสมอหรือต่ำกว่าได้ ด้วยความเคารพในธรรม ( ในปัจจุบันนี้ ภิกษุที่แสดงธรรมแม้พรรษาน้อยก็ขึ้นนั่งบนธรรมมาสน์สูงกว่าภิกษุทั้งปวง).

    ทรงอนุญาตให้ภิกษุที่มีสิทธิในการนั่งเสมอกัน นั่งรวมกันได้ คือภิกษุที่มีพรรษาไล่เลี่ยกันภายใน ๓ ปี . ภิกษุที่มีสิทธิในการนั่งเสมอกัน นั่งเตียงตั่งเดียวกัน เตียงตั่งพังลงมา จึงทรงจำกัดจำนวนให้นั่งไม่เกิน ๓ รูป เตียงตั่งก็ยังพังอีก จึงให้นั่งได้เพียง ๒ รูป. ส่วนที่นั่งยาว แม้ภิกษุจะมีสิทธิในการนั่งไม่เสมอกันก็ให้นั่งรวมกันได้ เว้นแต่กระเทย , ผู้หญิง, ผู้มีอวัยวะเพศทั้งสองเพศ . มีปัญหาว่า อย่างไรจึงจัดว่าเป็นที่นั่งยาวจึงกำหนดว่า ถ้านั่งได้ถึง ๓ คน ก็จัดเป็นที่นั่งยาวอย่างต่ำที่สุด ( มากกว่านั่นไม่มีปัญหา).

ปราสาทและเครื่องนั่งนอนต่าง ๆ

    ทรงอนุญาตให้ใช้ปราสาทได้ทุกชนิด ( ปราสาท คือเรือนเป็นชั้น ๆ ) ส่วนเครื่องนั่งนอน เป็นต้น ของคฤหัสถ์รวมหลายอย่าง ซึ่งถวายแก่สงฆ์ เมื่อคราวพระอัยยิกา ( ยาย) ของพระเจ้าปเสนทิโกศลสิ้นพระชนม์นั้น ทรงอนุญาตให้ตัดเท้าอาสันทิ ( ตั่งสี่เหลี่ยม) แล้วใช้ได้ ส่วนบัลลังก์ ( เก้าอี้นวม) ให้รื้อขนสัตว์ออกใช้ได้, เครื่องใช้ยัดนุ่น ให้รื้อนุ่นมายัดหมอน ส่วนเครื่องใช้ที่เหลือ ให้ใช้เป็นเครื่องปูพื้น.

ปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยเกิดขึ้นอีก

    ภิกษุที่อยู่ประจำในวัดใกล้หมู่บ้าน มีภิกษุอื่นผ่านไปมาเสมอ ลำบากด้วยการจัดที่อยู่อาศัย เพื่อแก้ข้อขัดข้องนี้ สงฆ์จึงประชุมกันมอบหน้าที่อยู่อาศัยให้ภิกษุรูปหนึ่งเสีย ทุกรูปจึงได้อยู่อาศัยด้วยการให้ของภิกษุรูปนั้น เมื่อมีภิกษุผ่านไปมาจะขอพักอาศัย ก็อ้างว่า ได้ยกให้แก่ภิกษุรูปหนึ่งไปแล้ว ไม่มีที่จะให้พัก พระผู้มีพระภาคจึงทรงวางหลักเกณฑ์เพิ่มเติม คือ  :-

สิ่งที่จะสละ ( ให้ใคร ๆ ) ไม่ได้ ๕ หมวด

    ของ ๕ อย่าง ที่สงฆ์ หรือคณะ หรือบุคคล จะสละให้ใคร ๆ ไม่ได้ แม้สละแล้วก็ไม่เป็นอันสละ ผู้สละ ( หรือยกให้) ต้องอาบัติถุลลัจจัย คือ ๑. วัดและที่ตั้งวัด ๒. วิหารและที่ตั้งวิหาร (หมายถึงกฏิที่อยู่ทั่วไป) ๓. เตียง, ตั่ง , ฟูก, หมอน, ๔ . เครื่องใช้โลหะ, คือหม้อโลหะ , อ่างโลหะ, กระถางโลหะ, กะทะโลหะ, มีดใหญ่ หรือพร้าโต้, ขวาน, ผึ่งสำหรับถากไม้, จอบ หรือเสียม , สว่านสำหรับเจาะไม้ ( สิ่วก็อยู่ในข้อนี้) ๕ . เถาวัลย์ เช่น หวาย, ไม้ไฝ่ , หญ้ามุงกระต่าย, หญ้าปล้อง, หญ้าสามัญ,

    ดินเหนียว, ของทำด้วยไม้, ของทำด้วยดินเผา ( ที่ห้ามนี้ คือไม่ให้เอาของสงฆ์ไปเป็นของบุคคล).

    ภายหลังทรงเพื่มข้อความให้มากขึ้น จากคำว่า ไม่ให้สละ เป็นไม่ให้แบ่ง ไม่ให้แจก ของ ๕ หมวดดังที่กล่าวแล้ว ผู้ใดแบ่ง หรือแจก ต้องอาบัติถุลลัจจัย.

การควบคุมการก่อสร้าง

    ห้ามมอบหมายการควบคุมการก่อสร้างในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ติดประตู , ทาสี , มุงหลังคา และห้ามมอบหมายการควบคุมการก่อสร้างนานเกินไป เช่น ๒๐- ๓๐ ปี หรือตลอดชีวิต หรือจนถึงเวลาเผาศพผู้รับมอบหมาย.

    ห้ามมอบหมายการก่อสร้างวิหารหมดทุกอย่าง, ห้ามมอบการก่อสร้าง ๒ อย่างแก่ภิกษุรูปเดียว. ภิกษุผู้รับมอบการก่อสร้าง จะถือสิทธิหวงห้ามที่อยู่ของสงฆ์ไม่ได้. ภิกษุอยู่นอกสีมา ห้ามมอบหมายให้เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้าง. ภิกษุผู้ควบคุมการก่อสร้าง จะครอบครองที่อยู่อาศัยได้เพียง ๓ เดือน ห้ามครอบครองตลอดไป เมื่อพ้น ๓ เดือน ต้องยินยอมให้จัดสรรใหม่.

    ภิกษุผู้ควบคุมการก่อสร้างพอรับมอบหรือทำค้างไว้ สึกไปหรือเดินทางไปที่อื่น เป็นต้น ให้มอบให้ผู้อื่นทำการแทน . ต่อจากนั้นเป็นการแสดงสิทธิในสิ่งก่อสร้างว่าในกรณีเช่นไรเป็นของสงฆ์ เป็นของบุคคล.

การขนย้ายของใช้และรักษาที่อยู่อาศัย

    ห้ามย้ายของใช้ประจำที่อยู่อาศัยแห่งหนึ่งไปที่อื่น ( ผิดความประสงค์ของผู้ถวาย), ขอยืมไปชั่วคราวได้, นำไปเพื่อรักษาไม่ให้เสียหายได้, แลกเปลี่ยน ( ผาติกรรม) ได้ ในกรณีที่ของนั้นราคาแพงเกินไป ( ไม่เหมาะแก่สงฆ์จะใช้สอยเอง). ต่อจากนั้นเป็นการอนุญาตเครื่องใช้เบ็ดเตล็ด เช่น เครื่องเช็ดเท้า และให้รักษาที่อยู่อาศัย ไม่ให้เหยียบทั้งที่เท้าเปื้อนเท้าเปียก หรือเหยียบทั้งรองเท้า. ทรงอนุญาตกระโถนเพื่อไม่ให้บ้วนน้ำลายลงบนพื้น ทรงปรับอาบัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้บ้วนน้ำลายลงบนพื้น. ทรงอนุญาตให้ใช้ผ้าพันเท้าเตียงตั่ง เพื่อไม่ให้พื้นที่อยู่เสียหาย. ทรงห้ามพิงผนังที่ทาสี และอนุญาตให้มีแผ่นกระดานสำหรับพิง และให้เอาผ้าพันแผ่นกระดานนั้นเพื่อกันครูดผนัง รวมทั้งอนุญาตให้นอนโดยปูผ้าก่อน.

เจ้าหน้าที่ทำการสงฆ์อื่น ๆ

    ทรงแนะนำให้มีการแต่งตั้งภิกษุผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมเป็นเจ้าหน้าที่ทำการสงฆ์อื่น ๆ โดยการสวดประกาศ คือภิกษุผู้ปูลาดเสนาสนะ, ผู้ดูแลเรือนคลัง, ผู้รับจีวร, ผู้แจกจีวร, ผู้แจกข้าวยาคู, ผู้แจกผลไม้, ผู้แจกของเคี้ยว , ผู้แจกของเล็ก ๆ น้อย ๆ ( เช่น เข็ม, มีด, รองเท้า) , ผู้แจกผ้า ( อาบน้ำฝน ? ) ผู้แจกบาตร, ผู้ใช้คนทำงานวัด, ผู้ใช้สามเณร.

๓ สังฆเภทขันธกะ )
( หมวดว่าด้วยสงฆ์แตกกัน)

    เล่าเรื่องราชกุมารในศากยสกุล คือ ภัททิยาราชา, อนุรุทธ์ , อานนท์, ภัคคุ, กิมพิละ และราชกุมารในโกลิยสกุล คือเทวทัต รวมเป็น ๗ ทั้งอุบาลีผู้เป็นช่างกัลบกออกบวช ต่างเห็นพร้อมกันว่า ควรให้อุบาลีบวชก่อน ตนจะได้กราบไหว้ คลายทิฏฐิมานะ.

    เมื่อบวชแล้ว พระภัททิยะได้วิชชา ๓ , พระอนุรุทธ์ได้ทิพจักษุ, พระอานนท์ได้เป็นโสดาบัน ส่วนพระเทวทัตได้ฤทธิ์ของปุถุชน.

พระเทวทัตคิดการใหญ่

    พระเทวทัตคิดหวังลาภสักการะ จึงแปลงการเป็นเด็กน้อยไปนั่งอยู่บนตักของราชกุมารชื่ออชาติศัตรู ( ผู้เป็นโอรสพระเจ้าพิมพิสารแคว้นมคธ) เพื่อทำให้ราชกุมารเลื่อมใส ทีลาภสักการะเกิดขึ้นแล้ว ก็คิดการจะปกครองคณะสงฆ์เสียเองแทนพระพุทธเจ้า.

    ความทราบถึงพระโมคคัลลานเถระ จึงเข้าไปเฝ้ากราบทูลพระผู้มีพระภาค ตรัสแสดงศาสดา ๕ ประเภทที่ต้องอาศัยหรือหวังความคุ้มครองจากสาวก คือศาสดาผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์, มีการเลี้ยงชีพไม่บริสุทธิ์, มีการแสดงธรรมไม่บริสุทธิ์, มีการตอบคำถามไม่บริสุทธิ์, มีญาณทัสสนะไม่บริสุทธิ์ แต่แสดงตนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ใน ๕ ทางนั้น. ส่วนพระองค์มิต้องหวังความคุ้มครองของสาวก เพราะมิได้เป็นดังนั้น.

พระเทวทัตขอปกครองคณะสงฆ์

    เมื่อได้โอกาส พระเทวทัตจึงเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค อ้างว่า พระองค์มีอายุมากแล้ว ขอให้ทรงขวนขวายน้อย และให้สละภิกษุสงฆ์ให้แก่ตน ตนจะบริหารเอง พระผู้มีพระภาคทรงปฏิเสธถึง ๓ ครั้ง และในครั้งที่ ๓ ทรงกล่าวว่า แม้พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ พระองค์ยังมิได้มอบภิกษุสงฆ์ให้ไฉนจะทรงมอบแก่พระเทวทัต ซึ่งได้ยังความอาฆาตให้เกิดขึ้นแก่พระเทวทัตเป็นครั้งแรก.

ตรัสให้ขออนุมัติสงฆ์ประกาศเรื่องพระเทวทัต

    ตรัสสั่งให้ประชุมสงฆ์ เพื่อขออนุมัติให้ประกาศไม่รับรองการกระทำใด ๆ ทางกายวาจาของพระเทวทัต ถือไม่เกี่ยวกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และให้สงฆ์สวดประกาศแต่งตั้งพระสารีบุตรเป็นผู้ชี้แจงแก่ชาวกรุงราชคฤห์.

พระเทวทัตยุให้ขบท

    พระเทวทัตจึงยุราชกุมารชื่ออชาตศัตรู ให้คิดฆ่าพระราชบิดา เพื่อชิงราชสมบัติ ส่วนตนเองจะฆ่าพระพุทธเจ้า เพื่อเป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง. แต่ราชกุมารทำการหละหลวมถูกจับได้ ขณะพวกอาวุธเข้าวังมหาอำมาตย์จึงถวายความเห็นให้ฆ่าเสียทั้งพระเทวทัตและราชกุมาร รวมทั้งภิกษุทั้งหลาย ( ที่เป็นพวก) ด้วย. บางพวกก็ให้ฆ่าแต่พระเทวทัตกับราชกุมาร, บางพวกเห็นว่าไม่ควรฆ่าทั้งหมด.

การประทุษร้ายพระพุทธเจ้าครั้งแรก

    พระเจ้าพิมพิสารทรงทราบว่าราชกุมารอยากได้ราชสมบัติ ก็ทรงมอบราชสมบัติให้ พระเทวทัตก็มีอำนาจยิ่งขึ้น จึงขอกำลังจากพระเจ้าอชาตศัตรูส่งคนไปคอยฆ่าพระพุทธเจ้า แล้วสั่งว่า ถ้าฆ่าแล้วให้ไปทางนั้น ๆ แล้วส่งคน ๒ คนไปคอยดักฆ่าคนที่ฆ่าพระพุทธเจ้า ส่งคน ๔ คนไปคอยดักฆ่าพวก ๒ คนนั้น ส่งคน ๘ คนไปคอยดักฆ่าพวก ๔ คนนั้น และส่งคน ๑๖ คนไปคอยดักฆ่าพวก ๘ คนนั้น ( เพื่อปิดปาก) แต่คนเหล่านั้นกลับเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ปฏิญาณตนเป็นอุบาสกหมดสิ้น พระผู้มีพระภาคทรงส่งคนเหล่านั้นกลับไปให้สับทางกับที่พระเทวทัตสั่ง จึงไม่มีการฆ่ากันเกิดขึ้น และเมื่อพวกที่คอยอยู่เห็นนานไป นึงสงสัยมาถามพระพุทธเจ้า ก็ทรงแสดงธรรมให้ฟัง ต่างแสดงตนเป็นอุบาสกหมดทุกชุด.

การประทุษร้ายครั้งที่ ๒

    เมื่อใช้คนไปฆ่าไม่สำเร็จ พระเทวทัตจึงเตรียมลงมือเอง คือขึ้นไปอยู่บนเขาคิชฌกูฏ คอยกลิ้งก้อนหินใหญ่ให้ลงมาทับพระพุทธเจ้า แต่ไม่สมประสงค์ เพียงสะเก็ดหินที่แตกมากระทบพระบาทห้อพระโลหิตเท่านั้น. ภิกษุทั้งหลายพากันเป็นห่วง จึงมาอยู่ยามเฝ้าแหนพระพุทธเจ้า ท่องบ่นด้วยเสียงอันดัง ( ด้วยเกรงว่าพระเทวทัตจะส่งคนมาทำร้ายพระพุทธเจ้า เพราะได้กำลังจากพระเจ้าอชาตศัตรู) แต่พระผู้มีพระภาคตรัสสั่งให้ภิกษุเหล่านั้นกลับไป ไม่ต้องมีใครมาคอยคุ้มครองให้ แล้วตรัสว่า เป็นธรรมดาที่พระตถาคตจะไม่ปรินิพพานด้วยความพยายามของผู้อื่น แล้วตรัสเรื่องศาสดา ๕ ประเภทที่ต้องหวังอารักขาจากสาวก ดั่งที่ตรัสกับพระโมคคัลลานะ.

การประทุษร้ายครั้งที่ ๓

    พระเทวทัตไปหาคนเลี้ยงช้างของพระราชา อ้างตนเป็นญาติของพระราชา แล้วอ้างว่า สามารถเลื่อนตำแหน่ง เพิ่มค่าจ้างได้ แล้วสั่งให้ปล่อยช้างนาฬาคิรีซึ่งดุร้ายฆ่ามนุษย์ไปทำร้ายพระพุทธเจ้า ถ้าเห็นพระองค์เสด็จมาทางตรอกนั้น. คนเลี้ยงช้างยอมทำตาม เมื่อเห็นพระผู้มีพระภาคเสด็จมาก็ปล่อยช้างไป ภิกษุทั้งหลายเห็นดังนั้น ก็กราบทูลให้เสด็จหนี แต่ทรงปฏิเสธ และตรัสว่า ตถาคตจะไม่ปรินิพพานด้วยความยายามของผู้อื่น . ในการนี้มีผู้เห็นเหตุการณ์คอยดูบนที่สูง พระผู้มีพระภาคแผ่เมตตาจิต ช้างก็เอางวงจับฝุ่นที่พระบาทขึ้นโรยบนกระพองและกลับสู่โรงช้างตามเดิม.

พระเทวทัตเสนอข้อปฏิบัติ ๕ ข้อ

    พระเทวทัตคิดฆ่าพระพระพุทธเจ้าไม่สมประสงค์ จึงชวนพรรคพวกมีพระโกกาลิกะ เป็นต้น คิดเสนอข้อปฏิบัติ ๕ ประการ เพื่อให้เห็นว่าตนเคร่งครัด คือ ๑. ให้ภิกษุทั้งหลายอยุ่ป่าตลอดชีวิต เข้าสู่บ้านมีโทษ ๒. ให้ถือบิณฑบาตตลอดชีวิต รับนิมนต์มีโทษ ๓. ให้ถือผ้าบังสกุลตลอดชีวิต รับคฤหบดีจีวร ( ผ้าที่เขาถวาย) มีโทษ. ๔. ให้อยู่โคนต้นไม้ตลอดชีวิต เข้าสู่ที่มุงบังมีโทษ ๕. ห้ามฉันเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต ฉันเข้ามีโทษ เมื่อได้โอกาสจึงเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลเสนอข้อทั้งห้านั้น. พระผู้มีพระภาคทรงปฏิเสธ คือใน ๔ ข้อข้างต้น ให้ภิกษุปฏิบัติตามความสมัครใจ ไม่บังคับ โดยเฉพาะข้อที่ ๔ ทรงอนุญาตให้อยู่โคนไม้เพียง ๘ เดือน ( ฤดูฝนไม่ให้อยู่โคนไม้) และข้อ ๕ การฉันเนื้อสัตว์ ทรงอนุญาตเนื้อที่บริสุทธ์โดยเงื่อนไข ๓ ประการ คือ ไม่ได้เห็น ไม่ได้ฟัง ไม่ได้นึกรังเกียจว่าเขาฆ่าเพื่อตน.

    พระเทวทัตก็ดีใจที่จะได้ประกาศว่า ตนเคร่งกว่าพระพุทธเจ้า จึงเที่ยวประกาศทั่วกรุงราชคฤห์ถึงเรื่องข้อเสนอนั้น.

ทำสงฆ์ให้แตกกัน

    ครั้นถึงวันอุโบสถ พระเทวทัตก็ชวนภิกษุเป็นพวกได้มาก ( เป็นพระบวชใหม่โดยมาก) แล้วพาภิกษุเหล่านั้นแยกไปทำอุโบสถ ณ ตำบลคยาสีสะ.

พระเทวทัตอาเจียนเป็นโลหิต

    พระผู้มีพระภาคจึงส่งพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะไปชี้แจงให้ภิกษุที่เข้าเป็นพวกพระเทวทัตหายเข้าใจผิด. พระเทวทัตเข้าใจว่าพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะมาเข้าพวกด้วย ก็มอบให้พระสารีบุตรสั่งสอนพระเหล่านั้นตนเองนอนพักผ่อน พระสารีบุตรแสดงธรรมให้พระเหล่านั้นฟัง ได้ดวงตาเห็นธรรม ( เป็นพระโสดาบัน) แล้วก็กลับ มีภิกษุเหล่านั้นประมาณ ๕๐๐ รูปตามมา พระโกกาลิกะรีบปลุกพระเทวทัต แจ้งข้อความให้ฟัง. พระเทวทัตถึงกับอาเจียนเป็นโลหิต.

    พระผู้มีพระภาคจึงให้พระภิกษุเหล่านั้นแสดงอาบัติถุลลัจจัย เพราะประพฤติตามภิกษุผู้ทำสงฆ์ให้แตกกัน และตรัสสรรเสริญพระสารีบุตรว่ามีลักษณะสมเป็นทูต เพราะประกอบด้วยองค์ ๘ คือ ๑. ฟังคนอื่น ๒ . ทำให้คนอื่นฟังตน ๓. คงแก่เรียน ๔. ทรงจำดี ๕. รู้คำพูดของคนอื่น ๖. ทำให้คนอื่นรู้คำพูดของตน ๗. ฉลาดในประโยชน์และมิใช้ประโยชน์ และ ๘. ไม่ชวนทะเลาะ ครั้นแล้วได้ทรงแสดงธรรมอีกหลายเรื่อง.

ความร้าวและความแตกกันของสงฆ์

    ทรงแสดงเรื่อง “ สังฆราชิ” ความร้าวรานแห่งสงฆ์ว่า ถ้าภิกษุสองฝ่าย ยังไม่ครบฝ่ายละ ๔ รูป ก็ยังเป็นเพียงความร้าวรานแห่งสงฆ์เท่านั้น ยังไม่เป็น “ สังฑเภท” ความแตกแห่งสงฆ์ ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายมีตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป มีรูปที่ ๙ สวดประกาศ จึงเป็นทั้งความร้าวรานและความแตกแยกกันแห่งสงฆ์.

ใครทำให้สงฆ์แตกกันได้และได้

    ๑ . ภิกษุณี ๒. นางสิกขมานา ๓. สามเณร ๔. สามเณรี ๕. อุบาสก ๖. อุบาสิกา บุคคล ๖ ประเภทนี้ ทำให้สงฆ์แตกกันไม่ได้ ทำได้แต่เพียงพยายามให้สงฆ์แตกกัน.

    ภิกษุปกติ มีสังวาสเสมอกัน อยู่ในสีมาเดียวกัน จึงทำลายสงฆ์ให้แตกกันได้.

เหตุเป็นเครื่องทำให้สงฆ์แตกกันและสามัคคีกัน

    มี ๑๘ ข้อ คือ ๑. แสดงอธรรมว่าเป็นธรรม ๒ . แสดงธรรมว่าเป็นอธรรม ๓. แสดงอวินัยว่าเป็นวินัย ๔. แสดงวินัยว่าเป็นอวินัย ๕. แสดงข้อที่พระพุทธเจ้ามิได้ตรัสไว้ว่าตรัสไว้ ๖. แสดงข้อที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่ามิได้ตรัสไว้ ๗. แสดงข้อที่พระพุทธเจ้ามิได้ประพฤติว่าได้ประพฤติ ๘. แสดงข้อที่พระพุทธเจ้าประพฤติว่ามิได้ประพฤติ ๙. แสดงข้อที่พระพุทธเจ้ามิได้บัญญัติว่าบัญญัติ ๑๐. แสดงข้อที่พระพุทธเจ้าได้บัญญัติว่ามิได้บัญญัติ ๑๑. แสดงสิ่งมิใช่อาบัติว่าเป็นอาบัติ ๑๒. แสดงอาบัติว่ามิใช้อาบัติ ๑๓. แสดงว่าอาบัติเบาว่าหนัก ๑๔. แสดงอาบัติหนักว่าเบา ๑๕ . แสดงอาบัติไม่มีส่วนเหลือว่ามีส่วนเหลือ ๑๖. แสดงอาบัติมีส่วนเหลือว่าไม่มีส่วนเหลือ ๑๗. แสดงอาบัติชั่วหยาบว่าไม่ชั่วหยาบ ๑๘. แสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่าชั่วหยาบ แล้วทำอุโบสถทำปวารณา และทำสังฆกรรมแยกกัน ส่วนเหตุเป็นเครื่องทำให้สงฆ์สามัคคีกันก็มี ๑๘ อย่าง แต่ที่ตรงกันข้าม คือแสดงถูกตรงตามความจริงแล้ว ไม่ทำอุโบสถแยกกัน ไม่ทำปวารณาแยกกัน และไม่ทำสังฆกรรมแยกกัน.

การทำสงฆ์ให้แตกกันที่ทำให้ไปอบายและไม่ไปอบาย

    ทรงแสดงหลังการทำสงฆ์ให้แตกกันที่มีโทษเป็นเหตุให้ไปอบาย และไม่เป็นเหตุให้ไปอบาย โดยชี้ไปที่ความบริสุทธิ์ใจ และเจตนา คือฝ่ายที่จะไปอบายนั้น รู้ว่าผิดธรรมวินัย แต่ยังเเกล้งแสดงว่าถูกธรรมวินัย ส่วนฝ่ายที่ไม่ไปอบายนั้น คือทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ และด้วยเข้าใจว่าเรื่องที่โต้เถียงกันนั้น เหตุผลของตนถูกต้องตามธรรมวินัย.


    ๑. ควรดูที่แปลไว้แล้ว ..ในข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก.. เทียบเคียงด้วย

บทนำ   ความรู้เรื่องพระไตรปิฎก  เอกสารทางประวัติศาสตร์   ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก   พระวินัยปิฎก  

พระสุตตันตปิฎก   พระอภิธรรมปิฎก   พระไตรปิฎก ๔๕ เล่ม   ชาดก  คำค้นหาพระไตรปิฎก  ธรรมปฏิบัติ