เล่มที่ ๗ ชื่อจุลลวัคค์ ( เป็นพระวินัยปิฏก )
จบเล่ม
๔. วัตตขันธกะ
( หมวดว่าวัตรหรือข้อปฎิบัติ)
(๑) อาคันตุกวัตร ( ข้อปฎิบัติของผู้มา)
  ภิกษุอาคันตุกะ ( ผู้เป็นแขกมาสู่วัดอื่น) ปฏิบัติไม่ชอบด้วยมารยาทของอาคันตุกะ พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติวัตรหรือข้อปฏิบัติไว้ ดัง ( จะย่อกล่าว ) ต่อไปนี้ :-
  ภิกษุผู้เป็นอาคันตุกะ เมื่อจะเข้าวัด ( ที่ตนขอพักอาศัย) พึงถอดรองเท้า เคาะ ( ฝุ่น) ในที่ต่ำลดร่ม เปิดศีรษะเอาจีวรที่คลุมศีรษะลดลงมาบนบ่า ค่อย ๆ เดินเข้าไปหาภิกษุผู้อยู่ในวัด วางบาตรจีวร นั่งในที่สมควร แล้วถามถึงน้ำดื่ม น้ำใช้ ถ้าต้องการน้ำดื่มก็พึงดื่ม ถ้าต้องการน้ำใช้ก็พึงใช้ล้างเท้า วิธีล้างเท้าพึงเอามือข้างหนึ่งรดน้ำ
เอามืออีกข้างหนึ่งล้าง แล้วพึงถามถึงผ้าเช็ดรองเท้า วิธีเช็ดรองเท้า คือเอาผ้าแห้งเช็ดก่อน
แล้วเอาผ้าเช็ดเท้าทีหลัง แล้วซักผ้าเช็ดรองเท้าบิดให้แห้งแล้วตากไว้ส่วนหนึ่ง ถ้าภิกษุผู้อยู่ในวัดแก่กว่า พึงกราบไหว้ ถ้าอ่อนกว่า ก็เปิดโอกาสให้เธอกราบไหว้ แล้วพึงถามถึงเสนาสนะ ( ที่อยู่อาศัย) ถามถึงที่ควรไปและไม่ควรไป ถามถึงสกุลที่สงฆ์สมมติว่าเป็นเสขะ ถามถึงที่ถ่ายอุจจาระ, ปัสสวะ, น้ำดื่ม, น้ำบริโภค, ไม้เท้า, กติกาของสงฆ์, กาลที่ควรเข้าควรออกจากจากวัด. เมื่อที่อยู่ไม่มีผู้ครอบครอง พึงเคาะประตู รอครู่หนึ่งแล้วยกลิ้มสลักผลักขึ้นผลักบานประตู
ยืนดูอยู่ภายนอก ถ้าสามารถก็พึงทำความสอาดที่อยู่ ( วิธีความสะอาดที่อยู่ แปลไว้แล้ว .ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก หมายเลข ๑๗๐)
(๒) อาวาสิกวัตร ( ข้อปฏิบัติของภิกษุเจ้าถิ่น )
  ภิกษุเจ้าถิ่น ( ผู้อยู่ประจำในวัด) ไม่ค่อยเอื้อเฟื้อในภิกษุอาคันตุกะ พระผู้มีพระภาคจึงบัญญัติวัตรไว้ ดัง ( จะย่อกล่าว) ต่อไปนี้:-
  เมื่อเห็นภิกษุผู้พรรษากว่า พึงปูอาสนะ ตั้งน้ำล้างเท้า ตั่งรองเท้า กระเบื้องเช็ดเท้า ลุกขึ้นต้อนรับ รับบาตรและจีวร ถามถึง ( ความต้องการ ) น้ำดื่ม น้ำใช้ ถ้าสามารถก็พึงเช็ดเท้ารองเท้าให้ แล้วกราบไหว้ และบอกให้ทราบเรื่องต่าง ๆ ที่ควรทราบ เช่น ที่ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ กติกาของสงฆ์ เป็นต้น.
  ถ้าภิกษุอาคันตุกะอ่อนพรรษากว่า พึงนั่งบอก ชี้ที่วางบาตรจีวร ชี้ที่นั่ง บอกน้ำดื่ม, น้ำใช้, บอกผ้าเช็ดรองเท้า เปิดโอกาสให้กราบไหว้ และบอกเรื่องต่าง ๆ ที่ควรทราบ.
(๓) คมิกวัตร ( ข้อปฏิบัติของภิกษุผู้จะเดินทางจากไป)
( เรื่องนี้แปลไว้ละเอียดแล้ว ..ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก หมายเลข ๑๖๙
(๔) ภัตตัคควัตร ( วัตรในโรงฉัน)
  ก่อนจะทรงบัญญัติเรื่องข้อปฏิบัติในโรงฉัน ได้ทรงอนุญาตให้กล่าวอนุโมทนาในโรงฉัน, และให้มีภิกษุผู้เป็นเถระ และพระผู้น้อย ( เถระนุเถระ) ๔- ๕ รูป อยู่เป็นเพื่อนพระเถระในการกล่าวอนุโมทนา ( สมัยก่อนพูดรูปเดียวเฉพาะหัวหน้า ), เมื่อมีธุระจำเป็น ให้พระเถระกลับก่อน ได้แล้วให้รูปรองลงมากล่าว อนุโมทนาแทน แล้วทรงปรารถภิกษุฉัพพัคคีย์ผู้ปฏิบัติไม่เรียบร้อย จึงทรงบัญญัติวัตรในโรงฉัน คือ:-
  เมื่อมีผู้บอกเวลาอาหารในวัดแล้ว ให้นุ่งห่มให้เป็นปริมณฑล คาดประคดเอว ถือบาตรเข้าบ้านด้วยดีไม่รีบด่วน ไม่พึงเดินออกหน้าพระเถระ และปฏิบัติตามเสขิยวัตร อันว่าด้วยการเข้าไป และการนั่งในบ้านทุกข้อ ไม่พึงนั่งเบียดเสียดพระเถระ ไม่ถึงนั่งกันที่นั่งของพระที่อ่อนพรรษากว่า ไม่พึงนั่งทับสังฑฏิในบ้าน เมื่อเขาถวายน้ำ พึงจับทั้งสองรับน้ำ แล้วล้างบาตร ถ้ามีที่รับน้ำสำหรับเท พึงเทที่ต่ำไมให้น้ำกระเซ็นเปียกภิกษุอื่นหรือเปียกสังฆฏิ. เมื่อเขาถวายข้าวก็จับบาตรด้วยมือทั้งสองรับข้าว. ถ้ามีเนยใส น้ำมัน หรือแกงอ่อม ให้พระเถระสั่งให้เขาใส่ให้สมส่วนกัน
พึงปฏิบัติตามเสขิวัตร ว่าด้วยการรับบิณฑบาตและการฉันอาหารทุกข้อ. ถ้าพระเถระไม่พึงรับน้ำจนกว่าภิกษุทั้งปวงจะฉันเสร็จ เมื่อเข้าถวายน้ำ พึงเอามือทั้งสองจับบาตรรับน้ำ ถ้ามีที่รับน้ำสำหรับเท พึงเทต่ำ ๆ ไม่ให้น้ำกระเซ็นเปียกภิกษุอื่นหรือเปียกสังฆาฏิ ฯลฯ เมื่อกลับให้ภิกษุอ่อนพรรษากว่ากลับบ้านก่อน ด้วยอาการอันดีงามตามเสขิยวัตรที่เกี่ยวกันการเข้าบ้าน.
(๕) ปิณฑจาริกวัตร ( วัตรของภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต)
  ภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต เมื่อจะเข้าบ้าน พึงนุ่งห่มให้เรียบร้อย และปฏิบัติขณะเข้าบ้าน ( เหมือนภิกษุผู้เข้าไปฉันในบ้าน) ตามเสขิยวัตร เมื่อจะเข้าสู่ที่อยู่ พึงสังเกตทางเข้าออก ไม่พึงเข้าออกโดยรีบด่วน ไม่พึงยืนไกลเกินไปหรือใกล้เกินไป ไม่พึงยืนนานเกินไปหรือเร็วเกินไป พึงสังเกตว่า เขาใคร่จะถวายอาหารหรือไม่ ถ้าเขาแสดงอาการจะถวาย พึงยืนอยู่ เมื่อเขาถวายอาหาร ( ใสบาตร) พึงยกสังฆาฏิด้วยมือข้างซ้าย ส่งบาตรออกด้วยมือขวา จับบาตรด้วยมือทั้งสองรับอาหาร. ไม่พึงมองหน้าของผู้ถวายอาหาร พึงสังเกตดูว่า เขาทำอาการจะถวายแกงหรือไม่ ถ้าเขาแสดงอาการ
พึงยืน ( รอ) อยู่ เมื่อเขาถวายเสร็จแล้วพึงปิดบาตรด้วยสังฆาฏิ กลับไปด้วยดี ไม่รีบด่วน . ( ต่อจากนั้นทรงแสดงเสขิยวัตรเนื่องในการเข้าบ้านทุกข้อที่ภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาตจะพึงปฏิบัติ) เมื่อเสร็จการบิณฑบาตแล้ว รูปใดกลับก่อน พึงปูอาสนะ (ที่นั่ง) ตั้งน้ำ ล้างเท้า ตั่งรองเท้า กระเบื้องเช็ดเท้าไว้ พึงล้างภาชนะใส่เศษอาหารตั้งไว้
พึงตั้งน้ำดื่ม น้ำใช้ ผู้ใดกลับจากบิณฑบาตในภายหลัง ถ้ามีของฉันเหลือ ถเาปรารถนาก็พึงฉัน ถ้าไม่ปรารถนาก็พึงเททิ้งเสียในที่ไม่มีของเขียวสด หรือเทลงในน้ำที่มีตัวสัตว์ พึงเก็บอาสนะ เก็บน้ำล้างเท้า ตั่งรองเท้า กระเบื้องเช็ดเท้า ล้างภาชนะใส่เศษอาหารเก็บไว้ เก็บน้ำดื่ม น้ำใช้ กราดโรงฉัน ผู้ใดเห็นหม้อน้ำดื่ม น้ำใช้ หม้อน้ำชำระว่างเปล่า พึงตักน้ำใส ถ้าไม่สามารถ ก็พึงเรียกภิกษุรูปที่ ๒ มา ด้วยใช้มือแสดงให้ทราบว่าควรตักน้ำใส่ ไม่พึงเปล่งวาจาในเรื่องนั้น.
(๖) อรัญญกวัตร ( วัตรของภิกษุผู้อยู่ป่า)
  ภิกษุผู้อยู่ป่า พึงลุกขึ้นแต่เช้า เอาบาตรใส่ถุงแล้วคล้องบ่า เอาจีวรพาดที่คอ ใส่รองเท้า เก็บเครื่องใช้ที่ทำด้วยไม้และดินเผา ปิดประตูหน้าต่างแล้วลงจากที่อยู่อาศัย ( สนาสนะ) เมื่อจะเข้าบ้าน พึงถอดรองเท้าเคาะในที่ต่ำ
ใส่ไว้ในถุงแล้วคล้องบ่า นุ่งให้เรียบร้อย คาดประคดเอว ซ้อนผ้า ( จีวรกับสังฆาฏิ) แล้วห่มผ้าซ้อนนั้น ติดลูกดุม ล้างบาตรแล้วถือเข้าไปด้วยดี ไม่รีบด้วน ( ต่อจากนั้นพึงปฏิบัติตามเสขิยวัตรเนื้องในการเข้าบ้านทุกข้อ) ๑ เมื่อเสร็จจากการรับบิณฑบาตออกจากบ้านแล้ว ใส่บาตรไว้ในถุงคล้องบ่า ม้วนจีวรวางไว้บนศีรษะ ใส่รองเท้าเดินไป. ภิกษุอยู่ป่าพึงตั้งน้ำดื่ม น้ำใช้ และจุดไฟไว้ วางไม้สีไฟไว้ ตั้งไม้เท้าไว้ เรียนนักษัตรบท ( ทางเดินของดาวฤกษ์) ทั้งหมด หรือบางส่วน และเป็นผู้ฉลาดในทิศ.
(๗) เสนาสนวัตร ( วัตรเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย)
( แปลไว้แล้ว .ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก
หมายเลข ๑๗๐)
(๘) ชั้นตาฆรวัตร ( วัตรในเรือนไฟ)
  ภิกษุเข้าไปในเรือนไฟก่อน ถ้ามูลเถ้ามีมาก ก็พึงน้ำไปทิ้งเสีย. ถ้าเรือนไฟรกก็พึงกวาด. ถ้าชานภายนอกรก หรือบริเวณรก หรือซุ้มรก หรือโรงแห่งเรือนไฟ ( โรงโถงที่มีเรือนไฟตั้งอยู่) รก ก็พึงกวาดพึงนำผง ( สำหรับถูตัว) ไปไว้ให้พร้อม ทำดินเหนียวให้เปียก รดน้ำลงในรางน้ำเมื่อเข้าสู่เรือนไฟ พึงเอาดินเหนียวทาหน้า ปิดด้านหน้าปิดด้านหลัง
( คงหมายถึงปิดเรือนไฟ) แล้วพึงเข้าไป. ไม่พึงนั่งเบียดเสียดภิกษุผู้เป็นเถระ ไม่พึงนั่งกันที่ภิกษุผู้อ่อนพรรษากว่า ถ้าสามารถก็พึงถูหลังให้ภิกษุผู้เป็นเถระ. เมื่อจะออกจากเรือนไฟ พึงนำตั่งประจำเรือนไฟออกด้วย พึงปิดด้านหน้าด้านหลังแล้วออกจากเรือนไฟ. ถ้าสามารถก็พึงถูหลังให้ภิกษุผู้เป็นเถระ แม้ในน้ำ ไม่พึงอาบน้ำเบื้องหน้าภิกษุผู้เป็นเถระ ไม่พึงอาบน้ำในกระแสน้ำด้านเหนือพระเถระ
เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้วจะขึ้น ก็พึงให้ทางแก่ภิกษุทั้งหลายผู้กำลังจะขึ้น ( จากน้ำ) . ส่วนภิกษุผู้ออกจากเรือนไฟทีหลัง ถ้าเรือนไฟลื่น พึงล้างเสีย พึงล้างรางใส่ดินเหนียวแล้วเก็บตั่งประจำเรือนไฟเสีย ดับไฟปิดประตูแล้วออกไป. ( แสดงว่าเมื่อเข้าไปอบในเรือนไฟให้เหงื่อออกแล้วก็อาบน้ำในที่ใกล้ ๆ กันนั้นเอง).
(๙) วัจจกุฏิวัตร ( วัตรเกี่ยวกับส้วม)
  ก่อนที่จะทรงบัญญัติข้อปฏิบัติเกี่ยวกับวัจจกุฏิ ทรงบัญญัติให้ภิกษุผู้ถ่ายอุจจาระเสร็จแล้วใช้น้ำชำระ ถ้าไม่ชำระ ต้องอาบัติทุกกฏ และทรงอนุญาตให้เข้าสู่วัจจกุฏิตามลำดับที่ไปก่อนหลัง ( ไม่ต้องคอยตามลำดับ พรรษา ซึ่งภิกษุผู้มีพรรษาอ่อนกว่าเดือดร้อน) และทรงปรารภความไม่เรียบร้อยในการเข้า การใช้วัจจกุฏิของภิกษุเบญจวัคคีย์ จึงทรงบัญญัติข้อปฏิบัติเกี่ยวกับวัจจกุฏิ ดังต่อไปนี้:-
  ภิกษุผู้ไปสู่วัจจกุฏิ พึงยืนอยู่ข้างนอก ทำเสียงกระแอม ถ้ามีภิกษุอยู่ข้างใน พึงกระแอมรับ จึงพาดจีวรไว้ที่ห่วงสำหรับแขวนหรือราวสำหรับพาด พึงเข้าไปด้วยดี ไม่รีบด่วน ไม่พึงเลิกผ้าเข้าไป ต่อเมื่อยืนบนเขียงรองเหยียบแล้วจึงเลิกผ้า, ไม่พึงเบ่งถ่าย , ไม่พึงเคี้ยวไม้สีฟันขณะถ่าย, ไม่พึงถ่ายนอกหลุมอุจจาระนอกรางปัสสาวะ ไม่พึงบ้วนน้ำลายลงในรางปัสสาวะ ไม่พึงใช้ไม้ชำระที่หยาบ ( คมแข็ง) ไม่พึงทิ้งไม้ชำระลงในหลุมถ่าย เมื่อยืนบนเขียงรองเหยียบแล้ว พึงปกปิด ( ดึงผ้านุ่งลงไปปกปิด) ไม่ถึงออกโดยรีบร้อน ไม่พึงเลิกผ้าออกมา
( เมื่อจะชำระ) ยืนอยู่บนเขียงรองเหยียบสำหรับชำระแล้วจึงเลิกผ้า ไม่พึงชำระให้มีเสียงดัง
ไม่พึงเหลือน้ำไว้ในขันชำระ เมื่อยืนบนเขียงสำหรับเหยียบแล้ว ถึงปกปิด.
( แสดงว่าที่ถ่ายกับที่ชำระอยู่แยกกันแต่ใกล้กัน). ถ้าวัจจกุฏิเปื้อน พึงล้างเสีย ถ้าไม่ทิ้งไม้ชำระเต็ม พึงนำไม้ชำระไปทิ้ง. ถ้าวัจจกุฏิรก พึงปัดกวาด ถ้าชานภายนอก, บริเวณ, ซุ้ม รก ก็พึงปัดกวาด ถ้าน้ำในหม้อชำระไม่มี ก็พึงตักน้ำใส่.
(๑๐) อุปัชฌาวัตร ( วัตรเกี่ยวกับอุปัชฌายะ)
  สัทธิวิหาริก ( ผู้ที่อุปัชฌายะบวชให้ ) พึงลุกขึ้นแต่เช้า ถอดรองเท้า ทำผ้าห่มเฉวียงบ่า ถวายไม้สีฟันน้ำล้างหน้า ปูอาสนะ ถ้ามีอาสนะ ถ้ามีข้าวยาคู พึงล้างภาชนะแล้วน้อมข้าวยาคูเข้าไปถวาย แล้วถวายน้ำ รับภาชนะมาล้างเก็บ เมื่ออุปัชฌายะลุกขึ้นให้ลุกขึ้นยกอาสนะขึ้น ถ้าสถานที่รก พึงปัดกวาด ถ้าอุปัชฌายะใคร่จะเข้าสู่หมู่บ้านพึงถวายผ้านุ่ง รับผ้าที่ท่านผลัด ถวายประคดเอว เอาผ้า ( จีวรกับสังฆาฏิ) ซ้อนกันแล้วถวาย ล้างบาตรแล้วถวายทั้งที่มีน้ำ ถ้าอุปัชฌายะต้องการพระไปด้วย
พึงนุ่งให้เรียบร้อย ซ้อนผ้า ห่มผ้าซ้อนติดรังดุมตามท่านไป . ไม่พึงเดินไกลหรือใกล้เกินไป. พึงรับอาหารแต่พอเหมอะแก่บาตร. เมื่ออุปัชฌากำลังพูด ไม่พึงพูดซ้อน.
นอกจากนั้นยังมีข้อปฏิบัติอีกมากมาย ซึ่งพอจะย่อกล่าวไว้คือ:-
  หวังความศึกษาในท่าน , ขวนขวายป้องกัน หรือระงับความเสื่อมเสียอันจักมี หรือได้มีแล้ว เช่น ระงับความกระสัน, ความเบื่อหน่าย ช่วยปลดเปลี้ยงความเห็นผิดของท่าน ขวนขวายเพื่อสงฆ์งดโทษที่จะลงแก่ท่าน หรือเพื่อผ่อนเบาลงมา, รักษาน้ำใจท่าน ไม่คบคนนอกให้เป็นเหตุแหนงใจ เช่น จะรับจะให้ เป็นต้น กับคนเช่นนั้น บอกท่านก่อน ไม่ทำตามลำพัง, ไม่เที่ยวแตร่ตามลำพัง จะไปข้างไหนลาท่านก่อน , เมื่อท่านอาพาธ เอาใจใส่พยาบาล ไม่ไปข้างไหนเสีย จนกว่าท่านจะหายเจ็บหรือมรณภาพ.
(๑๑) สัทธิวิหาริกวัตร ( ข้อปฏิบัติต่อสัทธิวิหาริก)
 ภิกษุผู้เป็นอุปัชฌายะ ( ผู้บวชให้) พึงปฏิบัติชอบในสัทธิวิหาริก ( ผู้ที่ตนบวชให้) ดังต่อไปนี้ :-
 เอาธุระในการศึกษาของสัทธิวิหาริก, สงเคราะห์ด้วยบาตรจีวร และบริขารอย่างอื่น ถ้าตนไม่มีก็ต้องขวนขวายหาให้, ขวนขวายป้องกัน หรือระงับความเสื่อมเสียอันจักมี หรือได้มีแล้วแก่สัทธิวิหาริก ( เช่นเดียวกับข้อปฏิบัติต่ออุปัชฌายะ), เมื่อสัทธิวิหาริกอาพาธ เอาใจใส่พยาบาล.
(๑๒) อาจริยวัตร ( ข้อปฏิบัติต่ออาจารย์)
(๑๓) อันเตวาสิกวัตร ( ข้อปฏิบัติต่ออันเตวาสิก)
 ทั้งสองอย่างนี้เหมือนกับข้อปฏิบัติ ระหว่าง อุปัชฌายะกับสัทธิวิหาริก.
๕. ปาฏิโมกขฐปนขันธกะ
( หมวดว่าด้วยการแสดงปาฏิโมกข์)
ในวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ วันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับ ณ ปราสาทที่นางวิสาขาสร้างถวาย ในบุพพาราม พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จนกระทั้งดึกล่วงปฐมยามแห่งราตรี พระอานนท์จึงกราบทูลขอให้แสดงปาฏิโมกข์ แต่พระผู้มีพระภาคก็ทรงนั่งนิ่ง. เมื่อมัชฌิมยามแห่งราตรีล่วงไป พระอานนท์ก็กราบทูลเตือนเป็นครั้งที่ ๒ แต่ก็ทรงนั่งนิ่ง ครั้นปัจฉิมยามแห่งราตรีล่วงแล้ว อรุณกำลังจะขึ้น พระอานนท์ก็กราบทูลเตือนอีกเป็นครั้งที่ ๓ พระผู้มีพระภาคจึงตรัสตอบว่า บริษัท
( ผู้ที่ประชุมกันอยู่) ไม่บริสุทธิ์. พระโมคคัลลานะพิจจารณาก็รู้ว่ามีภิกษุที่ขาดจากความเป็นภิกษุ แต่ปฏิญญาตนว่าเป็นภิกษุ นั่งปนอยู่ในบริษัทนั้น จึงพูดกับภิกษุนั้นให้ออกไป แม้พูดถึง ๓ ครั้ง ภิกษุนั้นก็ยังนั่งนิ่ง ท่านจึงจับแขนพาออกไปนอกซุ้มประตู แล้วลงกลอนข้างในเสีย.
 พระผู้มีพระภาคจึงตรัสถึงความอัศจรรย์ ๘ ประการของมหาสมุทร เปรียบด้วยพระธรรมวินัยของพระองค์ และมีที่เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้อยู่ข้อหนึ่ง คือมหาสมุทรย่อมซัดซากศพให้ขึ้นสู่ฝั่งหมด เปรียบเหมือนการที่สงฆ์ไม่ยอมคบหากับผู้ประพฤติผิด และยกเสียจากหมู่.
ต่อจากนั้นไม่ทรงแสดงปาฏิโมกข์อีก
  เนื่องจากด้วยเหตุการณ์นั้น จึงตรัสว่า ต่อไปจะไม่ทรงแสดงปาฏิโมกข์อีก ทรงมอบให้สงฆ์ทำอุโบสถสวดปาฏิโมกข์ ทรงอ้างเหตุผลว่า พระตถาคตไม่แสดงปาฏิโมกข์ในบริษัทที่ไม่บริสุทธิ์ แล้วทรงบัญญัติพระวินัย ห้ามภิกษุที่ยังมีอาบัติติดตัวอยู่ฟังปาฏิโมกข์ ถ้าขืนฟัง ต้องอาบัติทุกกฏ. ทรงอนุญาตให้งดสวดปาฏิโมกข์เพราะเหตุที่ภิกษุยังมีอาบัติฟังปาฏิโมกข์ได้. พร้อมทั้งทรงแสดงวิธีสวดประกาศระงับการสวดปาฏิโมกข์ด้วย. แต่ก็ทรงห้ามมิให้งดสวดปาฏิโมกข์แก่ภิกษุบริสุทธิ์ไม่มีอาบัติ โดยไม่มีเหตุผล
แล้วทรงแสดงการระงับการสวดปาฏิโมกข์ที่ไม่เป็นธรรม และที่เป็นธรรมหลายประการ รวมทั้งอันตรายหรือเหตุที่ทรงอนุญาตให้หยุดสวดปาฏิโมกข์ได้ ๑๐ ประการ คือ ๑. พระราชาเสด็จมา, ๒. โจรปล้น, ๓. ไฟไหม้, ๔. น้ำท้วม, ๕. คนมามาก ( เลิกสวดเพื่อทราบเรื่องหรือเพื่อต้อนรับ), ๖. อมนุษย์เบียดเบียน, ๗. สัตว์ร้าย เช่น เสือเข้ามา, ๘ งูร้ายเลื้อยเข้ามา , ๙. ภิกษุเกิดอาพาธอันจะถึงแก่ชีวิต, ๑๐. มีอันตรายแก่พรหมจรรย์.
การโจทฟ้อง
 ทรงตอบคำถามของพระอุบาลีเกี่ยวกันการโจทฟ้อง ( ภิกษุผู้ไม่สมควรจะฟังปาฏิโมกข์) เริ่มตั้งแต่การตัดสินใจนำตนเข้าไปเกี่ยวข้อง เพื่อธรรม เพื่อวินัย และการโจทฟ้องกันเป็นธรรมและไม่เป็นธรรมซึ่งมีลักษณะต่าง ๆ หลายประการ.
๖. ภิกขุนีขันธกะ
( หมวดว่าด้วยนางภิกษุณี)
 เรื่องต้นคือประวัติความเป็นมาของนางภิกษุณี ได้แปลไว้แล้ว
(ความน่ารู้พระไตรปิฎก ) หมายเลข ๘๓ พระนางมหาปชาบดีโคตมี ( ผู้เป็นพระน้านาง พระมารดาเลี้ยงของพระพุทธเจ้า) ทูลขอบวชในพระพุทธศาสนา. ในชั้นแรกซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงปฏิเสธ แต่ในที่สุดทรงอนุญาต โดยทรงวางเงื่อนไขไว้ถึง ๘ ประการ ที่เรียกว่าครุธรรมซึ่งพระนางมหาปชาบดี โคตมี ก็ทรงยอมรับ พระอานนท์จึงนำความไปกราบทูลพระผู้มีพระภาค. พระองค์ตรัสว่า การที่มีสตรีมาบวชในพระพุทธศาสนา จะทำให้พระธรรมวินัยตั้งอยู่ไม่ได้นานนักเท่าที่ควร.
( แต่การทรงวางเงื่อนไขมิให้สตรีบวชได้ง่าย ๆ ก็ได้ผล คือภายหลังพุทธปรินิพพานแล้วไม่นานนัก ก็หมดเชื้อสายของนางภิกษุณี).
ทรงอนุญาตการบวชภิกษุณี
ทรงอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายบวชให้ภิกษุณี ( และในภายหลังทรงอนุญาตให้ภิกษุณีบวชในสงฆ์ ๒ ฝ่าย คือบวชในภิกษุณีสงฆ์ก่อน แล้วจึงบวชในภิกษุสงฆ์ เมื่อมีเหตุเกิดขึ้น มีนักเลงคอยดักประทุษร้ายนางภิกษุณีที่บวชในภิกษุสงฆ์แล้ว จะเดินทางมาบวชในฝ่ายภิกษุสงฆ์ จึงทรงอนุญาตให้บวชโดยทูตได้ คือเมื่อบวชในภิกษุณีสงฆ์เสร็จ ให้นางภิกษุณีผู้ฉลาดรูปหนึ่งเข้าไปหาภิกษุสงฆ์สวดขออนุมัติสงฆ์ เพื่อให้อุปสมบทแก่นางภิกษุณีที่มาไม่ได้ รวม ๓ ครั้ง แล้วให้ภิกษุผู้ฉลาดสามารถสวดประกาศการอุปสมบท ในที่ประชุมสงฆ์ด้วยญัตติจตุถกรรม คือเสนอญัตติ ๑ ครั้ง สวดประกาศ ๓ ครั้ง). อนึ่ง ทรงชี้แจงด้วยว่า พระนางมหาปชาบดี โคตมี เป็นอันบวชแล้วดี ด้วยการรับครุธรรม ๘ ประการ.
การศึกษาสิกขาบท
ทรงอนุญาตให้นางภิกษุณีศึกษาในสิกขาบทที่เป็นสาธารณะ คือใช้ได้ด้วยกันระหว่างภิกษุกับนางภิกษุณี. ส่วนสิกขาบทที่เป็นอสาธารณะ คือบัญญัติไว้เฉพาะแก่นางภิกษุณี ก็ทรงอนุญาตให่ศึกษา.
ลักษณะตัดสินธรรมวินัย ๘ ประการ
ทรงแสดงลักษณะตัดสินธรรมวินัย คือ ๑. ถ้าเป็นไปเพื่อความกำหนัดยินดี มิใช่เพื่อปราศจากความกำหนัดยินดี ๒. เป็นไปเพื่อผูกมัดไว้ในภพ มิใช่คลายการผูกมัด ๓. เป็นไปเพื่อสะสมกิเลสมิใช่เพื่อรื้อถอนกิเลส ๔. เป็นไปเพื่อความปรารถนาใหญ่ มิใช่เพื่อความปรารถนาน้อย ๕. เป็นไปเพื่อไม่ยินดีด้วยของตน มิใช่เพื่อยินดีด้วยของของตน ( สันโดษ) ๖. เป็นไปเพื่อคลุกคลีด้วยหมู่ มิใช่เพื่อสงัดจากหมู่ ๗. เป็นไปเพื่อความรังเกียจคร้าน มิใช่เพื่อปรารถนาความเพียร ๘. เป็นไปเพื่อเลี้ยงยาก มิใช่เพื่อเลี้ยงง่าย พึงทราบว่าธรรมเหล่านั้นมิใช่ธรรมมิใช่วินัย มิใช่สัตถุศาสนา ถ้าตรงกันข้ามจึงเป็นธรรมวินัย เป็นสัตถุศาสนา.
เรื่องเกี่ยวกับปาฏิโมกข์และสังฆกรรม
ครั้งแรกทรงอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายสวดปาฏิโมกข์ให้นางภิกษุณีฟัง ต่อมาทรงห้ามและให้นางภิกษุณีสวดเอง โดยให้ภิกษุทั้งหลายสอนให้ ครั้งแรกทรงอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายรับการแสดงอาบัติของนางภิกษุณีได้ ภายหลังทรงห้าม และให้นางภิกษุณีรับการแสดงอาบัติของนางภิกษุณีด้วยกัน โดยให้ภิกษุทั้งหลายสอนวิธีการให้ ครั้งแรกอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายทำกรรมแก่นางภิกษุณีได้ ( สวดประกาศลงโทษ) ภายหลังทรงห้าม และให้นางภิกษุณีทำกรรมแก่นางภิกษุณีด้วยกัน โดยให้ภิกษุทั้งหลายสอนวิธีการให้. ทรงอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายระงับอธิกรณ์ของนางภิกษุณีได้ แต่เกี่ยวกับการทำกรรม ทรงอนุญาตให้ภิกษุยกกรรมยกอาบัติของภิกษุณีได้ แล้วให้มอบให้นางภิกษุณีด้วยกันทำกรรมและรับการแสดงอาบัติต่อไป. และทรงอนุญาตให้ภิกษุสอนวินัยแก่นางภิกษุณีได้.
การลงโทษภิกษุด้วยการไม่ไหว้
ภิกษุฉัพพัคคีย์เอาน้ำโคลนรดนางภิกษุณีบ้าง แสดงอาการต่าง ๆ ที่ไม่ดีไม่งาม เพื่อจะให้นางภิกษุณีกำหนัดในตน ทรงปรับอาบัติทุกกฏแก่ผู้ทำเช่นนั้น และให้ลงโทษ ( ทัญฑกรรม) แก่ภิกษุนั้น โดยให้ภิกษุณีสงฆ์นัดกันไม่ไหว้ภิกษุนั้น.
การลงโทษนางภิกษุณี
นางภิกษุณีฉัพพัคคีย์ ( พวก ๖ ) พระพฤติไม่ดีไม่งามเพื่อให้ภิกษุกำหนัดในตน ทรงปรับอาบัติทุกกฏและอนุญาตให้ลงโทษนางภิกษุณีนั้นโดยให้กักบริเวณ และถ้ายังไม่ละเลิกก็ให้งดให้โอวาท . นางภิกษุณีที่ถูกงดโอวาทจะทำอุโบสถร่วมกับภิกษุอื่น ๆ ไม่ได้ จนกว่าอธิกรณ์จะสงบ.
การให้โอวาทนางภิกษุณี
ภิกษุณีให้โอวาทนางภิกษุณี จะงดเสียแล้วเที่ยวจาริกไปก็ตาม งดโอวาทเพราะเขลาก็ตาม งดโอวาทโดยไม่มีเหตุผลสมควรก็ตาม งดโอวาทแล้วไม่วินิจฉัย ( คือเมื่อลงโทษงดโอวาท ก็จะต้องมีการตัดสินให้เห็นผิด) ก็ตาม ต้องอาบัติทุกกฏ . ครั้งแรกทรงอนุญาตให้นางภิกษุณีไปฟังโอวาทของภิกษุ ภายหลังอนุญาตให้สมมติ คือแต่งตั้งภิกษุรูปใดรูปหนึ่งให้ไปสอนนางภิกษุณี เป็นต้น รวมทั้งระเบียบเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการให้โอวาท.
ข้อห้ามเบ็ดเตล็ด
ต่อจากนั้นทรงบัญญัติพระวินัยเบ็ดเตล็ดเกี่ยวด้วยนางภิกษุณี เช่น ห้ามใช้ประคดเอวยาวเกินไป ให้รัดประคดรอบเดียว ห้ามใช้ผ้ารัดดัดซี่โครง ( เพื่อรัดรูป ดั่งสตรีผู้เป็นคฤหัสถ์) นอกจากนั้นยังห้ามทำการแบบสตรีผู้ครองเรือนอีกหลายอย่าง เช่น ผัดหน้า เจิมหน้า ย้อมหน้า ตลอดจนห้ามมีทาส ทาสี กรรมกร หญิงชาย เป็นต้น ไว้รับใช้ และห้ามใช้จีวรย้อมสีไม่ถูกต้องเช่นเดียวกับที่ห้ามสำหรับภิกษุ และห้ามใช้เสื้อใช้หมวก เป็นต้น. นางภิกษุณีถึงมรณภาพ ทรงบัญญัติให้เครื่องใช้ของเธอเป็นของภิกษุณีสงฆ์ ต่อจากนั้นมีข้อห้ามเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ รวมทั้งเรื่องการอุปสมบท การทำอุโบสถ และปวารณา.
๗. ปัญจสติกขัรธกะ
( หมวดว่าด้วยพระอรหันต์ ๕๐๐ รูป
ในการทำสังคายนาครั้งที่ ๑)
เล่าเรื่องพระผู้มีพระภาคนิพพานแล้ว ภิกษุทั้งหลายเศร้าโศก แต่มีภิกษุผู้บวชเมื่อแก่รูปหนึ่งชื่อ สุภัททะ กล่าวห้ามไม่ให้เศร้าโศก ควรจะดีใจว่า ต่อไปจะได้ไม่มีใครคอยห้ามทำนั้นทำนี่ อยากทำอะไรก็ทำก็จะทำได้ พระมหากัสสปปรารภถ้อยคำนั้น จึงเสนอให้ทำสังคายนา คือร้อยกรองหรือจัดระเบียบพระธรรมวินัยและเลือกพระอรหันต์ ๔๙๙ รูป ( เว้นไว้ ๑ รูป สำหรับพระอานนท์ ซึ่งยังมิได้เป็นพระอรหันต์ ) แล้วเดินทางไปยังกรุงราชคฤห์ สวดประกาศมิให้สงฆ์อื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสังคายนาอยู่ในกรุงราชคฤห์ และใช้เวลา ๑ เดือนแรกในการปฏิสังขรณ์สิ่งปรักหักพัง. รุ่งขึ้นจะมีการประชุม พระอานนท์ก้ได้บรรลุอรหัตตผล.
การสังคายนาครั้งที่ ๑
พระมหากัสสปสวดขอให้สงฆ์สมมติ คือแต่งตั้งตัวแทนเองเป็นผู้ถามวินัย พระอุบาลีเป็นผู้ตอบวินัย เมื่อถามตอบเสร็จแล้ว จึงขอสมมติตัวท่านเองเป็นผู้ถามธรรมะ พระอานนท์เป็นผู้ตอบธรรมะ แล้วได้ถามตอบนิกาย ๕.
( หมายเหตุ : หลักฐานสั้น ๆ นี้แสดงว่า คำว่า ธรรม นั้น รวมทั้งพระสูตรและอภิธรรม ตามที่อรรถกถาอธิบายว่า อภิธรรมนั้นรวมอยู่ในขุททกนิกาย อันเป็นนิกายที่ ๕. ฝ่ายที่ค้านไม่เชื่อว่าอภิธรรมมีมาในสมัยพระพุทธเจ้า แต่มาแต่งขึ้นภายหลัง ก็อ้างเหตุผลตอนนี้ บอกว่าเป็นหลักฐานที่แสดงว่าไม่มีการสังคายนาอภิธรรมเลย เพราะนิกาย ๕ เป็นเรื่องของพระสูตรล้วน ๆ ).
การถอนสิกขาบทเล็กน้อย
ต่อจากนั้นพระอานนท์ได้เสนอให้ที่ประชุมทราบถึงพระพุทธานุญาตที่ให้สงฆ์ ถ้าปรารถนา ก็ถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียได้ ที่ประชุมไม่ตกลงกันได้ว่า แค่ไหนเป็นสิกขาบทเล็กน้อย พระมหากัสสปจึงสวดเสนอญัตติให้สงฆ์งดถอนสิกขาบทเล็กน้อย เพื่อป้องกันมิให้มีผู้กล่าวได้ว่า สิกขาบทที่พระสมณโคดมทรงบัญญัตินั้น อยู่ได้ตราบเท่าที่ยังมีศาสดาเท่านั้น จึงมีระยะกาลเหมือนควันไฟ ( ซึ่งจางหายไปง่าย). ในที่สุดเมื่อไม่มีผู้ใดคัดค้าน ก็เป็นอันใช้อำนาจสงฆ์ห้ามถอนสิกขาบทเล็กน้อย.
พระอานนท์ถูกปรับอาบัติ
พระเถระทั้งหลายได้ปรับอาบัติทุกกฏแก่พระอานนท์หลายข้อ คือ ๑. ไม่ถามให้ทรงแสดงว่าสิกขาบทเล็กน้อยคืออะไรบ้าง ๒. เมื่อเย็บผ้าอาบน้ำฝนถวายพระผู้มีพระภาคได้เหยียบผ้านั้น ๓. ตอนที่นำสตรีเข้าถวายบังคมพระศพ คนเหล่านั้นร้องไห้ น้ำตาเปื้อนพระสรีระของพระผู้มีพระภาค ๔. ไม่อาราธราให้พระผู้มีพระภาคทรงพระชนม์อยู่ ทั้งที่ทรงทำนิมิตโอภาสให้ปรากฏ ๕. ขวนขวายให้สตรีบวชในพระพุทธศาสนา. พระอานนท์มีข้อชี้แจงทุกข้อ แต่ยอมแสดงอาบัติด้วยศรัทธาในพระเถระเหล่านั้น.
พระปุราณะไม่ค้าน แต่ถือตามที่ฟังมาเอง
พระปราณะพร้อมด้วยภิกษุประมาณ ๕๐๐ ท่องเที่ยวไปในทักษิณาคิรี ( ภูเขาแถบภาคใต้ของอินเดีย ) พอสมควรแล้ว ก็เดินทางไปพัก ณ เวฬวนาราม กรุงราชคฤห์ เมื่อเข้าไปหาพระเถระได้รับบอกเล่าว่าพระเถระทั้งหลายได้สังคายนาพระธรรมวินัยแล้ว และแนะให้รับรองข้อที่สังคายนาแล้วนั้น. พระปุราณะตอบว่า ธรรมและวินัยเป็นอันพระเถระทั้งหลายสังคายนาดีแล้ว แต่ข้าพเจ้าได้ฟังมา ได้รับมาในที่เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคอย่างไร ข้าพเจ้าจักทรงจำไว้อย่างนั้น. ( เรื่องนี้เป็นจุดหนึ่งในประวัติศาสตร์ ที่แสดงว่าความคิดเห็นไม่ตรงกันเริ่มขึ้นบ้างแล้ว).
ลงพรหมทัณฑ์พระฉันนะ
พระอานนท์จึงแจ้งให้สงฆ์ทราบถึงพระพุทธดำรัสที่ให้ลงพรหมทัณฑ์ ( การลงโทษแบบผู้ใหญ่ หรือผู้ดี ) คือพระฉันนะอยากทำอะไรก็ปล่อยให้ทำตามชอบใจ ภิกษุทั้งหลายไม่พึงว่ากล่าวตักเตือนสั่งสอน. สงฆ์จึงมอบให้พระอานนท์เป็นผู้จัดการลงพรหมทัณฑ์ โดยให้นำภิกษุไปด้วยเป็นอันมากเดินทางไปกรุงโกสัมพีโดยทางเรือ ได้พบพระเจ้าอุเทน พระเจ้าอุเทนทรงเลื่อมใสในคำชี้แจงเรื่องการใช้ผ้าให้เป็นประโยชน์ แม้เมื่อเก่าแล้วก็ยังเอามาทำผ้าเช็ดเท้า ผ้าถูพื้น และนำมาขยำกับดินเหลวโบกชานภายนอกกุฏิ. ต่องจากนั้นพระอานนท์ก็เดินทางไปยังโฆสิตารามลงพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนะ ทำให้พระฉันนะเสียใจถึงสลบ และพยายามบำเพ็ญเพียรจนได้บรรลุอรหัตตผล จึงมาขอให้ถอนพรหมทัณฑ์ แต่พระอานนท์ตอบว่า พรหมทัณฑ์เป็นอันระงับไปแล้ว ตั้งแต่พระฉันนะได้บรรลุอรหัตตผล.
๘. สัตตสิกขันธกะ
( หมวดว่าด้วยพระอรหันต์ ๗๐๐ รูป
ในการสังคายนาครั้งที่ ๒ )
วัตถุ ๑๐ ประการ
เมื่อพุทธปรินิพพานล่วงแล้ว ๑๐๐ ปี ภิกษุพวกวัชชีบุตร ชาวเมืองไพศาลี แสดงวัตถุ ๑๐ ประการ ( ซึ่งผิดธรรมวินัย) ว่า เป็นของควรหรือถูกต้องตามธรรมวินัย คือ ๑ . เก็บเกลือในเขาสัตว์ ( เขนง)
เอาไว้ฉันกับอาหารได้ ( ความจริง ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะเมื่อเก็บค้างคืนแล้วนำมาบนกับอาหาร อาหารนั้นก็เหมือนค้างคืนด้วย). ๒. ตะวันชายไปแล้ว ๒ นิ้ว ฉันอาหารได้ ( ความจริง ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะฉันอาหารในเวลาวิกาล คือเที่ยงไปแล้ว) ๓. ภิกษุฉันอาหารในนิมนต์จนบอกพอ
ไม่รับอาหารที่เขาเพิ่มเติมแล้วคิดว่าจะเข้าบ้าน ฉันอาหารที่ไม่เป็นเดนได้ ( ความจริงไม่ได้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ดูหน้าพระวินัยปิฎก เล่ม ๒ ) ๔. ภิกษุอยู่ในสีมาเดียวกัน ทำอุโบสถแยกกันได้ ( ความจริงไม่ได้ ต้องอาบัติทุกกฏ)
๕. สงฆ์ยังมาประชุมไม่พร้อมกันแต่ครบจำนวนพอจะทำกรรมได้ ก็ควรทำไปก่อนได้ แล้วขออนุมัติหรือความเห็นชอบจากภิกษุผู้มามาทีหลัง ( ความจริงไม่ควร) ๖. เรื่องที่อุปัชฌายะอาจารย์เคยประพฤติมาแล้วใช้ได้ ( ความจริงถ้าถูกก็ใช้ได้ ถ้าผิดก็ใช้ไม่ได้ ) ๗. นมสดที่แปรแล้ว
แต่ยังไม่เป็นนมส้ม ภิกษุฉันในที่นิมนต์ จนบอกไม่รับอาหารที่เขาถวายเพิ่มให้แล้วคงดื่มนมนั้นได้
( ความจริงไม่ได้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะยังไม่เข้าลักษณะเภสัช ๕) ๘. น้ำเมาอย่างอ่อนที่มีรสเมาเจืออยู่น้อย ไม่ถึงกับจะทำให้เมา ควรดื่มได้ ( ความจริงไม่ควร) ๙. ผ้าปูนั่งที่ไม่มีชาย ควรใช้ได้ ( ความจริงไม่ควร) ๑๐. ทองเงิน ควรรับได้ ( ความจริงไม่ควร ถ้ารับ ต้องอาบัติปาจิตตีย์).
พระยสะ กากัณฏกบุตร คัดค้าน
ภิกษุพวกวัชชีบุตรเอาถาดใส่น้ำ เที่ยวเรี่ยไรเงินพวกอุบาสกที่มาในวันอุโบสถ เพื่อเป็นค่าบริขารของพระสงฆ์. พระยสะ กากัณฏกบุตร ( ซึ่งเป็นพระมาจากที่อื่น) กล่าวห้ามอุบาสกเหล่านั้นว่าไม่ควรให้แต่เพราะไม่รู้วินัย เขาจึงให้ไปตามที่เคยให้มา. ตกลางคืนภิกษุเหล่านั้นแบ่งเงินกันแล้วเฉลี่ยมาให้ พระยสะกากัณฏกบุตร ท่านปฏิเสธ ก็โกรธเคือง หาว่าท่านด่าอุบาสกเหล่านั้น
จึงประชุมกันลงปฏิสารณียกรรม ( ให้ไปขอขมาชาวบ้าน). พระยสะ กากัณฏกบุตร จึงอ้างวินัยว่า จะต้องมีพระเป็นทูตไปด้วย ๑ รูป. เมื่อภิกษุวัชชีบุตรสวดประกาศแต่งตั้งภิกษุรูปหนึ่งมอบหน้าให้ไปด้วยแล้ว พระยสะก็เข้าไปหาอุบาสกเหล่านั้น ชี้แจงข้อที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้หลายแห่ง ห้ามรับทองเงิน. อุบาสกเหล่านั้น ได้ทราบข้อวินัยก็เลื่อมใสพระยสะและกล่าวประณามภิกษุวัชชีบุตร. เมื่อกลับจากที่นั้น ภิกษุที่เป็นทูตร่วมไปด้วยก็ชี้แจงให้ภิกษุวัชชีบุตรทราบต่างพากันโกรธเคืองพระยสะ อ้างว่า การที่พระยสะไปพูดกับคนเหล่านั้นเป็นการไปแจ้งความแก่คฤหัสถ์โดยมิได้รับแต่งตั้งจากสงฆ์ จึงควรอุกเขปนียกรรม ( ยกเสียจากหมู่ ไม่ให้ใครคบด้วย).
การสังคายนาครั้งที่ ๒
พระยสะ กากัณฏกบุตร จึงหนีไป ชวนพระเถระที่เห็นแก่ธรรมวินัยหลายรูป ซึ่งเป็นประมุขสงฆ์อยู่ในที่ต่าง ๆ เช่น พระสัพพกามี , พระสาฬหะ , พระอุชชโสภิตะ ( บางแห่งว่า ขุชชโสภิตะ) พระวาสภะคามิกะ ๔ รูปนี้ เป็นผู้แทนคณะสงฆ์ฝ่ายตะวันออก พระเรวต. พระสัมภูตะ สาณวสี, พระยสะ กากัณฏกบุตร, พระสุมนะ ๔ รูปนี้เป็นผู้แทนคณะสงฆ์ฝ่ายตะวันตก ( ชาวเมืองปาฐา) รวมทั้งพระอรหันต์ทั้งหลายเป็นอันมาก ถึง ๗๐๐ รูป ประชุมกัน ณ วาลิการาม โดยมีพระอชิตะผู้มีพรรษา ๑๐ เป็นผู้ปูอาสนะ วินิจฉัยวัตถุ ๑๐ ประการ แสดงที่มาที่ทรงห้ามไว้ ปรับอาบัติไว้อย่างชัดเจน ชี้ขาดด้วยมติของสงฆ์ ให้วัตถุ ๑๐ นั้นผิดธรรมผิดวินัย มิใช่สัตถุศาสนา.
( ประวัติการทำสังคายนาทั้งสองคราว คือครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ นี้ มีมาในพระไตรปิฎกด้วยเห็นได้ว่าเป็นการเพิ่มไว้เมื่อสังคายนาครั้งที่ ๓ เพื่อให้เป็นหลักฐานความเป็นมาแห่งพระธรรมวินัย).
๑. มีแปลไว้แล้วในข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก
หมายเลข ๑
|