“เอกาสนิกงคํปิ นานาสนโภชนํ ปฏิกฺขิปามิ เอกาสนิกงฺคํ สมาทิยามีติ อิเมสํ อญฺญตรวจเนน สมาทินฺนิ โหติ เตน ปน เอกาสนิเกน อาสนสาลายํ นิสีทนฺเตน เถราสเน อนิสีทิตฺวา อิทํ มยฺหํ ปาปฺณิสฺสตีติ ปฏิรูปํ อาสนํ สลฺลกฺเขตฺวา นิสีติตพฺพํ สจสฺส วิปุปกเต โภชเน อาจริโย วา อุปชฺฌาโย วา อาคจฺฉติ อุฏาย วตฺตํ กาตุ ํ วฏฺฏติ ติปิฏกจุฬาภยตฺเกโร อาห อาสนํ วา รกฺเขยฺย โภชนํ วา อยํ จ วิปฺปกตโภชโน ตสฺมา วตฺตํ กโรตุ โภชนํ ปนมา ภุญฺชตูติ
วาระนี้จะได้รับพระราชทานถวายวิสัชนาในเอกาสนิกธุดงค์ อันมีในธุดงค์นิเทศ ในปกรณ์ชื่อว่าวิสุทธิมรรค สืบอนุสนธิตามกระแสวาระพระบาลีมีเนื้อความว่า
“เอกาสนิกงฺคํปิ” แม้อันว่าเอกาสนิกังคธุดงค์ องค์พระภิกษุจะสมาทาน ก็พึงสมาทานด้วยพระบาลีทั้ง ๒ คือสมาทานว่า “นานาสนโภชนํ ปฏิกฺขิปามิ” แปลว่าข้าพระองค์จะห้ามเสียซึ่งบริโภคโภชนะในอาสนะต่าง ๆ
แลสมาทานด้วยพระบาลีว่า “เอกาสนิกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลว่าข้าพระองค์จะสมาทานซึ่งเอกาสนิกกังคธุดงค์อันใดอันหนึ่งก็ได้ซึ่งว่าสมาทานแล้ว
อนึ่ง เอกาสนิกภิกษุนั้น เมื่อนั่งอยู่ในศาลาอันเป็นที่บริโภคนั้นอย่านั่งในอาสนะพระมหาเถระ พึงกำหนดอาสนะพอสมควรด้วยมสิการกระทำไว้ในใจว่า อาสนะนี้จะถึงแก่เราแล้วพึงนั่งอยู่
อนึ่ง เมื่อเอกาสนิกภิกษุนี้บริโภคยังค้างอยู่ พระเถระผู้เป็นอาจารย์แลเป็นพระอุปัชฌาย์มาในอาสนศาลา ก็พึงลุกขึ้นกระทำวัตรจึงจะควร
พระติปิฎกจุฬาภยเถระกล่าวว่า อาสนะและโภชนะจะพึงรักษา
มีอรรถรูปว่าอาสนะจะพึงรักษา พระภิกษุมีอาสนะอันหนึ่งเป็นปกติอันจะบริโภคมิได้ให้ธุดงค์จะทำลาย พระภิกษุบริโภคยังไม่แล้วตราบใดอย่าพึงลุกขึ้นจากอาสนะตราบนั้น
โภชนะจะพึงรักษา พระภิกษุเมื่อจะบริโภคมิได้ให้ธุดงค์ทำลายภิกษุนั้น ยังไม่ปรารภเพื่อจะบริโภคตราบใด ก็พึงลุกขึ้นได้ตราบนั้น
“อยํ จ วิปฺปกตโภชโน” แท้จริงพระเอกาสนิกภิกษุนี้ ยังบริโภคค้างอยู่ เพราะเหตุดังนั้น พระภิกษุจึงกระทำวัตรแก่พระเถระอันเป็นอาจารย์เป็นอาทิ จงอย่าบริโภคโภชนะ
วิธานแห่งพระภิกษุมีเอกาสนิกธุดงค์เป็นอาทิ บัณฑิตพึงรู้ดังกล่าวมานี้
อนึ่ง จะว่าโดยประเภทเอกาสนิกภิกษุนี้มีประเภท ๓ ประการ คือ อุกฤษฏ์ แลมัชฌิมะ แลมุทุกะ
เอกาสนิกภิกษุอันเป็นอุกฤษฏ์นั้น ยังหัตถ์ให้หย่อนลงในภาชนะอันใด อันน้อยก็ดี อันมากก็ดี ก็มิได้เพื่อจะถือเอาซึ่งโภชนะอันอื่นจากโภชนะนั้น
ถ้าแลจะว่ามนุษย์ทั้งหลายรู้ว่าพระมหาเถระของเราบริโภคน้อยจะนำมาซึ่งวัตถุมีสัปปิเป็นต้นเข้าไปถวาย ภิกษุนั้นจะรับเพื่อเภสัชจึงจะควรถ้าจะรับเพื่ออาหารแล้วก็ไม่ควร
เอกาสนิกภิกษุอันเป็นมัชฌิมะนั้น ภัตรในบาตรยังไม่สิ้นตราบใดก็ได้ เพื่อจะรับเอาซึ่งวัตถุอันอื่นตราบนั้น
แท้จริงมัชฌิมะภิกษุนั้น ชื่อว่าโภชะเป็นที่สุด
มุทุกภิกษุนั้น ไม่ลุกจากอาสนะตราบใด ก็ได้เพื่อจะบริโภคไปตราบนั้น
แท้จริงมุทุกภิกษุนั้น ชื่อว่ามีน้ำเป็นที่สุด เพราะเหตุว่าไม่ถือเอาน้ำชำระบาตรตราบใด ก็ได้เพื่อจะบริโภคโภชนะตราบนั้น แลชื่อว่ามีอาสนะเป็นที่สุด เพราะเหตุว่าไม่ลุกขึ้นจากอาสนะตราบใดก็ได้เพื่อจะบริโภคตราบนั้น
ธุดงค์แห่งภิกษุทั้งสามจำพวกนี้ ย่อมทำลายในขณะบริโภคโชนะในอาสนะต่าง ๆ
“อยเมตฺถ เภโท” กิริยาทำลายในเอกาสนิกธุดงค์ บัณฑิตพึงรู้ดังกล่าวมานี้
อนึ่ง อานิสงส์ของพระภิกษุที่มีเอกาสนิกธุดงค์ เป็นปกตินั้นว่า “อปฺปาพาธตา” คือจะมีอาพาธน้อย แลจะให้ปราศจากทุกข์อันบังเกิดแก่สรีระ เพราะเหตุบริโภคปัจจัยสิ้นวาระเป็นอันมาก แลจะประพฤติเบากาย แลจะมีกำลังกาย แลจะอยู่สบาย แลจะหาอาบัติมิได้ เพราะปัจจัยคืออนติริตโภชนะ แลจะบรรเทาเสียซึ่งความปรารถนาในรส แลจะเป็นไปตามคุณทั้งหลาย มีปรารถนาน้อยเป็นอาทิ
พระพุทธโฆษาจารย์เจ้า นิพนธ์พระบาลีสรรเสริญเอกาสนิกธุดงค์ว่า “เอกาสนโภชเน รตํ น ยตึ โภชนปจฺจยา” โรคทั้งหลายมีโภชนะเป็นเหตุปัจจัย มิได้เบียดเบียนซึ่งพระยัติโยคาวจรภิกษุ ผู้ยินดีในเอกาสนิกธุดงค์ พระภิกษุนั้นปราศจากโลกในรสอาหารมิได้ยังโยคกรรม คือกระทำความเพียรแห่งตนให้เสื่อม เหตุใดเหตุนั้นพระโยคาวจรมีกมลจิตอันบริสุทธิ์พึงยังความยินดีให้บังเกิดในเอกาสนิกธุดงค์เป็นเหตุที่จะให้อยู่สบาย เป็นที่เข้าไปใกล้ เสพซึ่งความยินดีในสัลเลขอันบริสุทธิ์
สังวรรณนาในสมาทานแลวิธานแลประเภท แลเภทะ คือทำลาย แลอานิสงส์ในเอกาสนิกธุดงค์ ก็ยุติแต่เพียงนี้