และจะสมาทานด้วยพระบาลีว่า “เนสชฺชิกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลว่าข้าพระองค์จะสมาทานเนสัชชิกธุดงค์อย่างนี้ก็ได้ชื่อว่าสมาทานแล้ว
“เตน ปน เนสชฺชิเกน” อนึ่ี่งพระภิกษุผู้รักษาเนสัชชิกธุดงค์นั้น ราตรีหนึ่ง ๓ ยาม คือปฐมยาม มัชฌิมยาม และปัจฉิมยาม พึงลุกขึ้นจงกรมยามหนึ่งแท้จริงล้ำอิริยาบททั้ง ๔ อิริยาบถคือนอนนี้มิได้ควรแก่ภิกษุที่จะรักษาเนสัชชิกธุดงค์
วิธานแห่งเนสัชชิกธุดงค์นี้ บัณฑิตพึงรู้ด้วยประการดังนี้
“ปเภทโต ปน อยํปิ ติวิโธ” อนึ่งถ้าจะว่าโดยประเภทเนสัชชิกธุดงค์นี้มีประเภท ๓ ประำการ คืออุกฤษฏฺ์ และมัชฌิมะ และมุทุกะ
อนึ่ง พนักพิงและอาโยค อันบุคคลกระทำด้วยผ้าแผ่นนั้นมิได้ควรแก่พระภิกษุผู้รักษาเนสัชชิกธุดงค์อันเป็นอุกฤษฏ์
ของทั้ง ๓ สิ่ง คือพนักพิงและอาโยคผ้า วัตถุสิ่งของอันใดอันหนึ่ง ควรแก่ภิกษุอันรักษาเนสัชชิกธุดงค์เป็นมัชฌิมะท่ามกลาง
พนักและอาโยคผ้า แลแผ่นอาโยค และหมอน และเตียง อันประกอบด้วยองค์ ๙ และองค์ ๗ ก็ควรแก่ภิกษุอันรักษาเนสัชชิกธุดงค์อันเป็นมุทุกะอย่างต่ำ
เตียงอันบุคคลกระทำด้วยพนักพิงหลัง และกระทำกับด้วยพนักพิงข้างทั้ง ๒ นั้น ชื่อว่าเตียงประกอบด้วย ๗
“กิร” ดังได้สดับมา มนุษย์ทั้งหลายกระทำเตียงอย่างนั้นถวายแก่พระติปิฎกจุฬาภยเถระ พระผู้เป็นเจ้ากระทำความเพียรได้พระอนาคามีมรรคแล้ว ได้พระอรหัตต์เข้าสู่พระปรินิพพาน
อนึ่ง ธุงดค์ของภิกษุ ๓ จำพวกนี้ ย่อมทำลายในกาลเมื่อถึงซึ่งสำเร็จอิริยบถนอน
การที่จะทำลายในเนสัชชิกธุดงค์ว่า “วินิพนฺธสฺส อุปจฺเฉทนํ” พระภิกษุรักษาธุดงค์นี้ จะตัดเสียซึ่งอกุศลอันผูกไว้ซึ่งจิต ที่องค์พระผู้ทรงพระภาคตรัสเทศนาไว้ว่า “เมยุยสุขํ อนุยุตฺโต” พระภิกษุประกอบไว้เนือง ๆ ซึ่งความสุขคือนอน แลลงไปในข้าง ๆ นี้ แลข้าง ๆ โน้น แลประกอบเนือง ๆ ซึ่งมิทธะ คือเงียบเหงาง่วงนอนแล้วแลยับยั้งอยู่ แลจะมีอานิสงส์คือสภาวะจะให้ภิกษุนั้นประกอบเนือง ๆ ซึ่งกรรมฐานทั้งปวง แลจะให้มีอริยาบถนำมาซึ่งความเลื่อมใส แลจะให้เป็นไปตามความปรารถนาจะกระทำเพียร แลจะประกอบอยู่เนือง ๆ ซึ่งสัมมาปฏิบัติ
“อาภุชิตฺวาน ปลฺลงฺกํ” พระยัติโยคาวจรภิกษุคู้เข้าแล้วซึ่งบัลลังก์ นั่งตั้งกายไว้ให้ตรง อาจสามารถจะยังหทัยแห่งมารให้ไหว
“เสยฺยสุขมิทฺธขํสุ หิตฺวา” พระโยคาวจรเจ้าสละเสียซึ่งนอนเป็นสุขแลง่วงเหงาเป็นสุข มีความเพียรอันปรารภแล้ว ยินดีในอิริยาบถนั่งงาม อยู่ในท่าที่จะประพฤติตน ย่อมจะได้ปิติสุขอันปราศจากอามิสเหตุใดเหตุดังนั้น พระภิกษุที่มีเพียรพึงประกอบเนือง ๆ ซึ่งเนสัชชิกธุดงค์วัตร
สังวรรณนามาในสมาทาน แลวิธาน แลประเภท แลทำลาย แลอานิสงส์ในเนสัชชิกธุดงค์นี้ บัณฑิตพึงรู้ด้วยประการดังนี้
ในกาลบัดนี้จะสังวรรณนาด้วยสามารถแห่งพระคาถานี้คือ “กุสลติกฺกโตเจว” จะวินิจฉัยตัดสินโดยประมาณ ๑ แห่งกุศล แลจำแนกซึ่งคุณมีธุดงคคุณเป็นอาทิโดยย่อแลพิสดาร บัณฑิตพึงรู้โดยนัยที่เราแสดงมานี้
มีอรรถสังวรรณนาในบทคือ “กุสลติกฺกโต” นั้นว่า แท้จริง “สพฺพาเนว ธุตงฺคานิ” ธุดงค์ทั้งปวงนี้ คือมีประเภท ๑๓ ประการ บางทีก็เป็นกุศล บางทีก็เป็นอพยากตธรรม ด้วยสามารถแห่งปุถุชนแลพระเสขอริยบุคคล และพระขีณาสวเจ้า
“นตฺถิ ธุตงฺคํ อกฺสลํ” ธุดงค์จะเป็นอกุศลนั้นมิได้
อนึ่ง อาจารย์องค์ใดจะพึงกล่าวว่า ธุดงค์เป็นอกุศลมี “ปาปิจฺโฒ อจฺฉาปกโต” พระภิกษุมีความปรารถนาลามก แลมีอิจฉาความปรารถนาครอบงำย่ำยีย่อมจะรักษาอารัญญิกธุดงค์มิอยู่ในป่าเป็นปกติ
เมื่ออาจารย์กล่าวคำอย่างนี้แล้ว บัณฑิตพึงกล่าวคำตอบอาจารย์นั้นว่า เราทั้งหลายมิได้กล่าวว่า ภิกษุย่อมจะอยู่ในอรัญราวป่าด้วยอกุศลจิตแท้จริง การที่อยู่ในอรัญราวป่ามีพระภิกษุรูปใด พระภิกษุรูปนั้น ก็ชื่อว่า อรัญญิกภิกษุ แปลว่าภิกษุมีอยู่ป่าเป็นปกติ อนึ่งพระภิกษูมีปรารถนาลามกบ้าง มีปรารถนาน้อยเป็นอัปปิจฉบุคคลก็จะพึงมี
อนึ่ง “อิมานิ ธุตงฺคานิ” ธุดงค์ทั้ง ๑๓ ประการนี้ชื่อว่าองค์แห่งพระภิกษุชื่อธุตะ เพราะเหตุว่าภิกษุนั้นมีกิเลสอันกำจัดเสียแล้วด้วยสามารถสมาทานถือเอาด้วยดีซึ่งธุดงค์ “กิเลสธุนฺนโตวา” นัยหนึ่งญาณคือปัญญาได้คำเรียกว่าธุตะ เพราะเหตุกำจัดบำบัดเสียซึ่งกิเลสเป็นองค์แห่งธุดงค์ทั้งหลายนี้ เพราะเหตุดังนั้นจึงได้ชื่อว่าธุดงค์
มีเนื้อความในอปรนัยว่า “ตาทิสํ วจนํ” คำเหมือนคำนั้นว่าธรรมทั้งหลายชื่อธุตะ เพราะเหตุว่ากำจัดเสียซึ่งข้าศึก ชื่อว่าเป็นองค์แห่งปฏิบัติ เพราะเหตุดังนี้ ธรรมทั้งหลายนั้นจึงชื่อว่าธุตังคานิ คำอันนี้อาจารย์กล่าวแล้วในวินิจฉัยอรรถแห่งศัพท์ในหนหลัง
การที่จะสมาทานนี้ ชื่อว่าเป็นองค์แห่งพระภิกษุใด “น จ อกุสเลน” พระภิกษุรูปนั้นจะได้ชื่อว่าธุตะ ด้วยอกุศลนั้นมิได้มีแท้จริงอกุศลนั้นมิไ้ด้ชำระธรรมอันลามกอันใดอันหนึ่ง การที่จะสมาทานนั้นอาจารย์พึงร้องเรียกว่า “ธุตงฺคานิ” เพราะเหตุอรรถวิคคหะว่า “เยสํ ตํ องฺคํ” กุศลนั้นชื่อว่าเป็นองค์แห่งสมาทานทั้งหลายใด สมาทานทั้งหลายนั้นชื่อว่า ธุตังคานิ
“นาปิ อกุสลํ” อกุศลไม่ชำระโลภทั้งปวงมีโลภในจีวรเป็นอาทิได้ กุศลนั้นได้ชื่อว่าเป็นองค์แห่งปฏิบัติหามิได้ เหตุใดเหตุดังนั้นคำที่อาจารย์กล่าวว่า “นตฺถิ อกุสลํ ธุตงฺกํ” อกุศลจะได้ชื่อว่าธุดงค์หามิได้ คำอันนี้อาจารย์กล่าวดีแล้ว
อนึ่ง ธุดงค์พ้นแล้วจากประมาณ ๓ แห่งกุศล เป็นอธิบายแห่งอาจารย์ทั้งหลายในธุดงค์ก็มิได้มี โดยอรรถแห่งอาจารย์ทั้งหลายนั้นธรรมชาติชื่อว่าธุดงค์มักบังเกิดมี เพราะเหตุธรรมชาตินั้นจะชำระเสียกิเลสอันมิได้มี
อนึ่ง “วจนวิโรโธ” ผิดจากคำกล่าวว่า ภิกษุสมาทานซึ่งคุณทั้งหลายชื่อว่าธุดงค์ แล้วแลประพฤติเป็นไปก็จะถึงแก่อาจารย์ทั้งหลายนั้น “ตสฺมา ตํ น คเหตพฺพํ” เหตุใดเหตุดังนั้น คำที่กล่าวว่าอกุศลชื่อว่าธุดงค์นั้น นักปราชญ์อย่าพึงถือเอา การที่สังวรรณนาซึ่งบทโดยกุศลติกกะ บัณฑิตพึงรู้ดังนี้ก่อน ในบทคือ “ธุตาทีนํ วิภาคโต” นั้นมีอรรถสังวรรณนาว่า “ธุโต เวทิตพฺโพ” สภาวะชื่อว่าธุตะ บัณฑิตพึงรู้ในบทคือ “ธุตาทีนํ วิภาคโต” บุคคลชื่อว่าธุตวาท กล่าวซึ่งธุตะ บัณฑิตพึงรู้ในบทคือ “ธุตาทีนํ วิภาคโต” ธรรมทั้งหลายชื่อว่าธุตะ บัณฑิตพึงรู้ในบทต้นนั้น ธุดงค์ทั้งหลายบัณฑิตพึงรู้ในบทต้นนั้น “กสฺส ธุตงฺคเสวนา” การที่จะเสพซึ่งธุดงค์ฺชื่อว่าเป็นที่สบายแก่บุคคลดังฤๅ บัณฑิตพึงรู้ในบทคือ “ธุตาทีนํ วิภาคโต” นั้นในบทคือ “ธุโต” นั้นมีอรรถสังวรรณนาว่า บุคคลมีกิเลสอันกำจัดเสียแล้วก็ดี ธรรมอันกำจัดเสียซึ่งกิเลสก็ดี ชื่อว่า “ธุโต” เป็นต้นนั้น “ธุตวาโทปิ เอตถ ปน” อนึ่งวินิจฉัยในบทคือ “ธุตาวาโท” ที่แปลว่าบุคคลกล่าวธุตะนั้นว่า “อตฺถิ ธุโต น ธุตวาโท” บุึคคลมีกิเลสอันขจัดแล้วมิได้กล่าวซึ่งการที่ขจัดเสียซึ่งกิเลสมีจำพวก ๑ “อตฺถิ น ธุวาโท” บุคคลมิได้ขจัดกิเลส มิได้กล่าวซึ่งการที่ขจัดเสียซึ่งกิเลสมีจำพวก ๑ “อตฺถิ เนว ธุโต น ธุตาโท” บุคคลมิได้ขจัดกิเลส มิได้กล่าวซึ่งธรรมที่จะขจัดกิเลสมีจำพวก ๑ “อตฺถิ ธุโต เจว ธุตวาโท” บุคคลมิได้ขจัดกิเลสแล้ว กล่าวซึ่งธรรมอันขจัดกิเลสมีจำพวก ๑ เป็น ๔ จำพวกด้วยกันดังนี้
บุคคลผู้ใดขจัดเสียซึ่งกิเลสแห่งตน ด้วยธุดงคคุณมิได้ให้โอวาท แลอนุศาสน์สั่งสอนบุคคลผู้อื่นด้วยธุดงค์ ดุจดังพระพักกุลเถรเจ้าบุคคลผู้นี้ชื่อว่า “ธุโต ธุตวาโท” คือขจัดกิเลสด้วยตนไม่กล่าวธรรมอันขจัดเสียซึ่งกิเลส “ยถาห ตยิทํ อายสฺมา พกฺกุโล” เหตุใดเหตุนั้นอาจารย์พึงกล่าวว่า “อติทํ อายสฺมา พกฺกุโล” พระพักกุลเถรเจ้าผู้มีอายุ “ธุโต น ธุตวาโท” ท่านเป็นผู้กำจัดเสียซึ่งกิเลส แต่ไม่กล่าวธรรมอันขจัดเสียซึ่งกิเลสแก่บุคคลอื่น
“โย ปน น ธุตงฺเคน” อนึ่งบุคคลผู้ใดไม่รักษาซึ่งธุดงค์ มิได้ขจัดเสียซึ่งกิเลสทั้งหลายแห่งตน กล่าวคำโอวาทสั่งสอนบุคคลผู้อื่นด้วยธุดงค์ ดุจดังว่าพระอุปนันทเถระ “อยํ น ธุโต ธุตวาโท” บุคคลผู้นี้ชื่อว่า “น ธุโต ธุึตวาโท” คือตนไม่รักษาธุดงค์มีแต่จะกล่าวธุดงค์ให้บุคคลอื่นรักษาอย่างเดียว เหตุใดเหตุดังนั้น อาจารย์กล่าวว่า “ตยิทํ อายสฺมา อุปนนฺโท” พระอุปนันทเถรเจ้าผู้มีอายุอันเป็นบุตรแห่งศากยราชนั้นชื่อว่า “น ธุโต ธุตวาโท”
“โย ปน อุภยวิปฺปนฺโน” อนึ่งบุคคลผู้ใดวิบัติจากธรรมทั้งสองคือตนก็มิได้รักษาธุดงค์ แลมิได้กล่าวโอวาทอนุศาสน์สั่งสอนบุคคลผู้อื่นให้รักษาธุดงค์ ดุจดังพระเถระชื่อว่าโลฬุทายี “อยํ เนว ธุโต นธุตวาโท” บุคคลนี้ชื่อว่า “เนว ธุโต น ธุตวาโท” แปลว่าตนไม่รักษาธุดงค์ แลไม่กล่าวธุดงค์ให้โอวาทสั่งสอนบุคคลอื่น เหตุใดเหตุดังนั้น อาจารย์จึงกล่าวว่า “ตยิทํ อายสฺมา โลฬุทายี” พระโลฬุทายีเถรเจ้าผู้มีอายุนั้นชื่อว่า “เนว ธุโต น ธุตวาโท” แปลว่าวิบัติจากธรรมทั้ง ๒ ประการดังกล่าวมาแล้ว
“โย ปน อุภยสมฺปนฺโน” อนึ่งบุคคลผู้ใดถึงพร้อมด้วยธรรมทั้ง ๒ ประการ คือตนก็รักษาธุดงค์แลกล่าวโดยโอวาทสั่งสอนบุคคลผู้อื่นให้รักษาธุดงค์ด้วย ดังพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถรเจ้า “อยํ ธุโต เจว ธุตวาโท จ” บุคคลนี้ชื่อว่าธุตะธุตวาท แปลว่าตนก็รักษาธุดงค์ผู้กำจัดกิเลส ทั้งได้สั่งสอนผู้อื่นให้รักษาธุดงค์ด้วย เหตุใดเหตุดังนั้น อาจารย์จึงกล่าวว่า “ตยิทํ อายสฺมา สารีปุตฺโต” พระผู้เป็นเจ้าสารีบุตร ทั้งได้ชื่อว่า ธุโต ทั้งได้ชื่อว่า ธุตวา่โท ด้วยประการดังนี้ เอวํ ก็มีด้วยประการดังนี้