ทุวิธโกฏฐาเส จะวินิจฉัยตัดสินในศีลมีประเภท ๒ ประการ คือ จาริตศีล แลวาริตศีลนั้น มีเนื้อความว่า ยํ ภควา อิทํ กตฺตพฺพํ พระภิกษุรักษาสิกขาบท ที่องค์สมเด็จพระผู้ทรงพระภาคบัญญัติไว้ว่า พระภิกษุพึงกระทำอภิสมาจาริกวัตร ดังนี้ชื่ือว่า จาริตศีล
ยํ อิทํ น กตฺตพฺพํ กิริยาที่พระภิกษุมิได้กระทำให้ล่วงสิกขาบทที่พระองค์พระบรมศาสดาตรัสห้ามว่ากรรมอันเป็นทุจริตนี้ ภิกษุทั้งหลายอย่าพึงกระทำ ดังนี้ชื่อว่าวาริตศีล
มีอรรถวิคหะว่า พระภิกษุทั้งหลายประพฤติกระทำให้บริบูรณ์ในศีลทั้งปวง ชื่อว่า จาริตศีล
มีอรรถาธิบายว่า สิกขาบทที่ภิกษุจะพึงให้สำเร็จด้วยศรัทธาแลความเพียร ชื่อว่า จาริตศีล
พระภิกษุรักษาสิกขาบทที่พระพุทธองค์ทรงห้าม ชื่อว่า วาริตศีล
มีอรรถาธิบายว่า สิกขาบทที่พระภิกษุจะพึงให้สำเร็จด้วยศรัทธาแลสติชื่อว่า วาริตศีล
ศีลมี ๒ ประการ คือจาริตศีล แลวาริตศีล บัณฑิตพึงรู้ดังนี้
มีคำตัดสินในทุกกะที่ ๒ นั้นว่า ศีลมี ๒ ประการ คืออภิสมาจาริกศีล แลอาทิพรหมจริยกศีล
มีอรรถาสังวรรณนาในบทคืออภิสมาจารนั้นว่า การที่ภิกษุประพฤติอุดม ชื่อว่า อภิสมาจาริกศีล
นัยหนึ่ง ศีลที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค เฉพาะมรรคแลผล เป็นประธานแล้ว แลบัญญัติไว้ ชื่อว่าอภิสมาจาริกศีล ๆ นี้ เป็นชื่อแห่งศีลอันเหลือลงจากศีลมีอาชีวะเป็นคำรบ ๘
แลอาิทิพรหมจริยกศีลนั้น มีอรรถว่า ศีลอันใดเป็นเบื้องต้นแห่งมรรคพรหมจรรย์ ศีลอันนั้นชื่อว่า อาทิพรหมจริยกศีล
อาทิพรหมจริยกศีลนี้ เป็นชื่อแห่งศีลมีอาชีวะเป็นคำรบ ๘ ศีลนี้เป็นต้นแห่งมรรคพรหมจรรย์ เพราะเหตุว่าศีลนั้น พระภิกษุจะพึงชำระในส่วนแห่งข้อปฏิบัติอันเป็นเบื้องต้น
เพราะเหตุการณ์นั้น องค์พระผู้่ทรงพระภาคจึงตรัสเทศนาว่า ปุพฺเพว โข ปนสฺส กายกมฺมํ ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายกรรมของพระภิกษุนี้ย่อมจะบริสุทธิ์ในเบื้องต้น วจีกรรมแลอาชีวะการที่จะเลี้ยงชีวิตพระภิกษุนี้ ก็ย่อมจะบริสุทธิ์ในเบื้องต้น
อนึ่งสิกขาบททั้งหลาย ที่พระองค์ตรัสเรียกว่า ขุททานุขุททกสิกขาบท น้อยแลน้อยตามลงมา สิกขาบททั้งปวงนี้ก็ได้นามชื่อว่า อภิสมาจาริกศีล
โลกิศีลอันเศษชื่อว่า อาิทิพรหมจริยกศีล
อนึ่งศีลอันนับเข้าในวิภังค์ทั้ง ๒ คือภิกขุวิภังค์ แลภิกขุนีวิภังค์ ชื่อว่า อาทิพรหมจริยกศีล
ศีลนับเข้าในขันวรรค ชื่อว่า อภิสมาจาริกศีล
ตสฺสา สมฺปตฺติยา เมื่อสมาจาริกศีลนั้น พระภิกษุกระทำให้บริบูรณ์แล้ว อาทิพรหมจริยกศีลก็สำเร็จมิได้วิกล
เตเนวาห เพราะเหตุการณ์นั้น องค์พระผู้ทรงพระภาค จึงตรัสเทศนาว่า ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โส อภิสมาจารีกํ พระภิกษุนั้นมิได้ยังข้ออภิสมาจาริกศีลให้สมบูรณ์ก่อนแล้ว แลจะยังอาทิพรหมจริยกศีลให้บริบูรณ์ ได้ด้วยเหตุอันใด เหตุอันนี้ จะเป็นที่ตั้งแห่งผลหามิได้
ศีลมี ๒ ประการ คืออภิสมาจาริกศีลแลอาทิพรหมจริยกศีลดังนี้
มีคำวินิจฉัยตัดสิน ในทุกกะเป็นคำรบสามนั้นว่า ศีลมี ๒ ประการ คือวิรัติศีล แลอวิรัติศีล
วิรัติศีลนั้น คือกิริยาที่จะเว้นจากบาปธรรมทั้งหลายมีปาณาติบาตเป็นต้น
อวิรัติศีลนั้น คือศีลอันเศษมีเจตนาศีลเป็นต้นเป็นอาทิ เป็น ๒ ประการดังนี้
ในจตุตถะทุกกะที่ ๔ นั้น มีคำวินิจฉัยว่า ศีลมี ๒ ประการคือ นิสสิตศีล แลอนิสสิตศีล
นิสสิตศีลนั้น มีอรรถว่า นิสสัยนั้นมี ๒ ประการ คือตัณหานิสสัยแลทิฏฐินิสสัย
ตัณหานิสสัยนั้น ได้แก่ศีลที่บุคคลรักษา ด้วยความปรารถนาสมาบัติในภพว่า เราจะบังเกิดเป็นเทวดา แลจะเป็นเทวบุตร เทวธิดาองค์ใดองค์หนึ่งด้วยศีลนี้ ศีลนั้นชื่อว่า ตัณหานิสสิตศีล
ศีลอันใดที่บุคคลรักษาไว้ด้วยคิดเห็นว่า เราจะบริสุทธิ์ด้วยศีลนี้ศีลนั้น ชื่อว่า ทิฏฐินิสสิตศีล
ยมฺปน โลกุตฺตรํ อนึ่งศีลอันใดเป็นโลกุตตรศีล แลเป็นโลกิยศีลที่บุคคลรักษา หมายว่าจะได้เป็นเหตุที่จะได้โลกกุตตรสมมบัติคือ มรรค ๔ ผล ๔ ศีลนั้นชื่อว่า อนิสสิตศีล
ศีลมี ๒ ประการ คือนิสสิตศีล แลอนิสสิตศีลดังนี้
มีคำวินิจฉัยตัดสิน ในทุกกะเป็นคำรบ ๕ นั้นว่า ศีลมี ๒ ประการ คือกาลปริยันตศีล ได้แก่ศีลที่บุคคลกระทำกาลปริจเฉทกำหนดกาลแล้ว แลสมาทาน ๑
อปาณโกฏิกศีล ได้แก่ศีลที่บุคคลสมาทานตราบเท่าสิ้นชีวิตแล้ว แลรักษาไปสิ้นชีวิต ๑ เป็น ๒ ประการดังนี้
วินิจฉัยในทุกกะเป็นคำรบ ๖ นั้นว่า ศีลมี ๒ ประการ คือสปริยันตศีล ได้แก่ศีลอันฉิบหาย ด้วยลาภแลยศ แลญาติ แลอวัยวะแลชีวิต ๑ คือ อปริยันตศีล ได้แก่ศีลอันมิได้ฉิบหาย ด้วยลาภแลยศ แลญาติ แลอวัยวะแลชีวิต ๑ เป็น ๒ ประการดังนี้
สมด้วยพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรกล่าวไว้ว่า ในปฏิสัมภิทาว่า กตมนฺติ สีลํ สปริยนตํ คือชื่อว่าสปริยันตะนั้น คือ ศีลฉิบหายด้วยลาภ แลฉิบหายด้วยยศ และฉิบหายด้วยญาติ และอวัยะ แลชีวิต
กตมนติ สีลํ ลาภปริยนตํ ศีลฉิบหายด้วยลาภนั้นเป็นดังฤๅ
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ในโลกนี้ ประพฤติล่วงสิกขาบทที่ตนสมาทานเพราะเหตุลาภ เพราะปัจจัยคือลาภ เพราะการณ์คือลาภศีลนั้นชื่อว่า ลาภปริยันตศีล
สปริยันตศีล อื่นจากลาภรปริยันตศีล มียศปริยันตศีลเป็นอาทิ อาจารย์พึงให้พิสดาร โดยอุบายที่กล่าวแล้วนี้
เมื่อพระธรรมเสนาบดี จะวิสัชนาในอปริยันตศีลต่อไปนั้น จึงกล่าวว่า นลาภอปริยันตศีลนั้นเป็นดังฤๅ
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย บุคคลจำพวกหนึ่ง ในพระพุทธศาสนานี้มิได้ยังจิตให้บังเกิดขึ้นในการที่จะล่วงสิกขาบท เพราะเหตุลาภแลยศแลญาติ และอวัยวะ และชีวิต ศีลนี้ชื่อว่า อปริยันตศีล ๑ เป็น ๒ ประการดังนี้
วินิจฉัยในทุกกะ เป็นคำรบ ๗ นั้นว่า ศีลมี ๒ ประการ คือโลกิยศีล แลโลกุตตรศีล
ศีลที่ประกอบด้วยอาสวะมีตัณหาสวะเป็นอาทิ ข้องอยู่ในสันดาน ชื่อว่าโลกิยศีล
ศีลที่ปราศจากอาสวะชื่อว่าโลกุตตรศีล
แท้จริงโลกิยศีลนั้น ย่อมจะนำมาซึ่งสมบัติอันวิเศษในภพ กับประการหนึ่ง โลกิยศีลนี้ จะเป็นสัมภารเหตุ ที่จะรื้อตนออกจากภพ
ยถาห ภควา องค์สมเด็จพระผู้ทรงพระภาค ตรัสพระสัทธรรมเทศนาไว้เป็นดังฤๅ
องค์พระผู้ทรงภาคตรัสเทศนาไว้ว่า วินโย สํวรตถาย กริริยาที่จะเล่าเรียนพระวินัยปริยัตินี้ ย่อมจะประพฤติเป็นไปเพื่อประโยชน์จะให้สังวร
การที่สังวรนั้น จะประพฤติเป็นไปเพื่อประโยชน์จะมิได้ระลึกถึงกรรมแห่งตนควรที่นักปราชญ์จะพึงติเตียน
การที่จะไม่ระลึกถึงกรรมแห่งตน ที่บัณฑิตจะพึงติเตียนนั้นย่อมจะประพฤติเป็นไปเพื่อประโยชน์จะให้ได้ความปราโมทย์ คือตรุณปีติอันอ่อน
การที่ได้รับความปราโมทย์นัน้ ย่อมจะประพฤติเป็นไปเพื่อประโยชน์จะให้ได้พระนิพพาน อันธรรมทั้งหลายมีตัณหาเป็นอาทิ มิได้เขจ้าไปถือเอาได้
เอตทตฺถกถา การที่จะกล่าวถึงพระวินัย แลการที่จะพิจารณาซึ่งอรรถแห่งพระวินัย แลการที่จะปฏิบัติสืบ ๆ ตามเหตุที่กล่าวมา แลจะเงี่ยลงซึ่งโสตประสาทสดับฟังซึ่งธรรม ก็ย่อมมีอนุปาทานปรินิพพานเป็นที่ประสงค์ ยทิทํ วิโมกฺโข วิโมกข์คือกิริยาที่จะพ้นโดยวิเศษของจิตที่อุปาทานทั้งหลายมิได้เข้าไปใกล้ถือเอาซึ่งธรรม
อนึ่งวิโมกข์นั้น ก็มีอุปาทานปรินิพพานเป็นประโยชน์
อนึ่งโลกุตตรศีลนี้ ย่อมจะนำซึ่งกิริยาที่จะรื้อตนออกจากภพ แลจะเป็นภูมิคือจะเป็นที่เข้าไปอาศัยแห่งปัจจเวกขณญาณ
บัณฑิตพึงรู้ว่า ศีลมี ๒ ประการ คือโลกิยศีล ๑ โลกุตตรศีล ๑ เป็น ๒ ประการดังวิสัชนามานี้ เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้