ก็พึงระลึกถึงความตายโดยอาการ   ๘    ประการคือ     วธกปัจจุปปัฏฐานประการ  ๑     สัมปัตติวิปัตติประการ   ๑      อุปสังหรณะประการ  ๑      กายพหุสาธารณะประการ  ๑     อายุทุพพละประการ  ๑     อนิมิตะประการ  ๑     อัทธานปริเฉทะประการ   ๑       ขณปริตตะประการ  ๑       รวมเป็น   ๘     ประการด้วยกันอาการเป็นปฐมคือวธกปัจจุปปัฏฐานนั้นมีอรรถาธิบายว่า     ให้ระลึกถึงความตายให้เห็นปรากฏ    ดุจนายเพชฌฆาตมีมือถือดาบอันคมกล้า    
  ปุจฉาว่า   เหตุไฉนให้ระลึกเช่นนี้   วิสัชนาว่า   ให้ระลึกนี้ด้วยสามารถจะให้เห็นว่าเกิดกับตายนั้นมาพร้อมกัน    สัตว์ทั้งหลายอันเกิดมาในโลกนี้ย่อมมีชรา   แลขณิกมรณะนั้นติดตามตัวมาทุกรูป   ทุกนาม       ยถา  หิ  อหิฉตฺตกํ   มกุลํ        อุปมาดุจดังเห็ดอันตูม   อันพึงขึ้นพื้นนดิน   แลพาเอาฝุ่นติดยอดขึ้นไปนั้น    ปฏิสนฺธิจิตฺตํ     อุปฺปาทานนฺตรํ      แท้จริงสัตว์ทั้งหลายอันบังเกิด    ถือเอาปฏิสนธิกำเนิดในโลกนี้จำเดิมแต่ปฏิสนธิแล้วในลำดับอุปปาทขณะแห่งปฏิสนธิจิตนั้น     ก็ถึงซึ่งความชราและมรณะ   ๆ  นั้นติดตามมากับตน      
   ปพฺพตสิขรโต   ปติถสิลา   วิย         เปรียบประดุจก้อนศิลาอันหักตกลงมาจากชะง่อนแห่งภูเขา     และพาเอาต้นไม้และหญ้าที่เนื่องด้วยตนนั้นลงมาด้วยกัน     มรณํปิ    สหชาติยา   อาคตํ      เกิดกับตายนี้มาพร้อมกัน    เหตุว่าความเกิดมีแล้ว     ความตายก็มีด้วยบุคคลที่เกิดมานั้นย่อมจะถึงซึ่งความตายเป็นแท้     จำเดิมแต่บังเกิดขึ้นแล้ว     ก็บ่ายหน้าสู่ความตาย     ดุจพระอาทิตย์อันอุทัยขึ้นมาแล้วและบ่ายหน้าสู่อัสดงคต   มิได้ถอยหลังมาจากวิถีที่ดำเนินไปนั้น   ถ้ามิดังนั้นอุปมาดุจดังว่านทีธารอันไหลย้อยลงมาแต่ซอกแห่งภูเขา    มีกระแสอันเชี่ยว    ย่อมพัดไปซึ่งใบไม้และต้นหญ้าแต่บรรดาที่ตกลงในกระแสนั้น    ไหลหลั่งถั่งลงไปหน้าเดียว   ที่จะไหลทวนกระแสขึ้นไปมาตรว่าหน่อยหนึ่งหาบ่มิได้อันนี้แล    มีฉันใด     อายุแห่งสัตว์ทั้งปวงก็ลาวงไป  ๆ    มิได้กลับหลัง     ตั้งหน้าเฉพาะสู่ความตาย    
 
   มีอุปไมยดังนั้นเหตุดังนั้นสมเด็จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้า    จึงมีพระพุทธฎีกาโปรดประทานพระธรรมเทศนาไว้ว่า     ยเมกรตฺตึ     ปมํ     คพฺเภว    สติมาณโว    อพฺภฏฺิโต   วาสยาติ        อธิบายในบาทพระคาถานี้ว่า       สัตว์อันอยู่ในครรภ์มารดานั้น   จำเดิมแต่ขณะตั้งปฏิสนธิในราตรีนั้น    แล้วก็ตั้งแต่แปรไป    ๆ   เดิมเกิดเป็นกลละแล้วก็แปรไปเป็นอัมพุทะ     ตั้งแต่แปรไป   ๆ    ตราบเท่าถึงมรณภาพเป็นที่สุด    จะเที่ยงจะแท้นั้นหามิได้   เปรียบประดุจว่าหมอก    อันตั้งขึ้นมาแล้วก็ถึงภาวะเคลื่อนไป   ๆ     ตราบเท่าสูญหาย    มีคำฎีกาจารย์วิสัชนาว่า     ซึ่งพระพุทธฎีกาตรัสว่า   รตฺตึ   ปมํ     ว่าสัตว์ตั้งปฏิสนธิในเพลาราตรีหนึ่งนั้น       ว่าโดยเยภุยยนัย     อันว่าธรรมดาสัตว์ที่ถือปฏิสนธิในเพลาราตรีนั้น     มีโดยมากที่จะถือเอาปฏิสนธิในเพลากลางวันนั้นมีโดยน้อย    เหตุดังนั้นนักปราชย์พึงสันนิฐานว่า    รัตติศัพท์นั้นพระพุทธเจ้าเทศนาโดยเยภุยยนัย    อายุแห่งสัตว์ที่ล่วงไป   ๆ    โดยนัยดังพรรณนาฉะนี้    
  พระอรรถกถาจารย์เจ้าอุปมาไว้ว่า     เหมือนด้วยอาการอันสิ้นไปแห่งแม่น้ำน้อย  ๆ    ต้องแสงพระสุริยเทพบุตรในคิมหันตฤดูแล้ง       และถึงซึ่งสภาวะเหือดแห้งสิ้นไปทุกวันทุกเวลา      ถ้ามิฉะนั้นดุจไม้มีขั่วอันอาโปธาตุมิได้ซาบถึงและหล่นลงมาจากต้น    ณ   เพลาเช้าธรรมดาผลไม้อันมีพรรณต่าง  ๆ      นั้นเมื่อรสแผ่นดินเอิบอาบซาบขึ้นไปบ่มิถึง     ก็มีขั่วอันเหี่ยวแห้งตกลงจากต้นในเพลาเช้าแลมีฉันใดรูปกาย   แห่งสัตว์ทั้งปวงนี้มีรสอาหารซาบไปบ่มิทั่วก็ถึงซึ่งคร่ำคร่าเหี่ยวแห้งขาดจากชีวิตินรีย์มีอุปไมยดังนั้น    ถ้ามิดังนั้นรูปธรรมนามธรรมทั้งปวงนี้    เมื่อชราแลพยาธิและมรณะเบียดเบียนแล้ว    ก็ถึงซึ่งคร่ำคร่าเหี่ยวแห้งเจ็บป่วยลำบากเวทนา    มีอัสสาสะปัสสาสะอันขาดเป็นอสุภสาธารณ์เปื่อยเน่าทิ้งทอดกระจัดกระจายเรี่ยราดแยู่เหนือแผ่นปฐพี    
   มีอุปไมยดังนั้นมิฉะนั้นเปรียบเหมือนภาชนาดินอันบุคคลประหารด้วยไม้ค้อน     และแตกกระจัดกระจาย    ถ้ามิฉะนั้น      สุริยรํสิสมฺผุฏานํ     อุสฺ   สาววินฺทูนํ    วิทฺธํสนํ     ดุจดังว่าหยาดน้ำค้าง    อันพลันที่จะเหือดแห้งได้ด้วยแสงสุริยเทพบุตร           เอวํ    วธกปจฺจุปฺปฏฺานโต     มรณํ    อนุสฺสริตพฺพํ         พระโยคาพจรผู้จำเริญมรณานุสสติกรรมฐาน      พึงระลึกถึงความตายโดยปัจจุปัฏฐานดุจนัยที่พรรณามานี้    ในอาการเป็นคำรบ   ๒   ซึ่งว่าให้พระโยคาพจรระลึกถึงความตายโดยสมบัติวิบัตินั้น    คือให้ระลึกให้เห็นว่าสัตว์ทั้งปวงเกิดมานี้บริบูรณ์แล้วก็มีความฉิบหายเป็นที่สุด     ซึ่งจะงดงามจะดีอยู่ไม่นั้นแต่เมื่อวิบัติยังมิได้ครอบงำ    ถ้าความวิบัติมาครอบงำแล้ว    ก็สารพัดที่จะเสียสิ้นทุกสิ่งทุกประการ     ที่งามนั้นก็ปราศจากงาม      ที่ดีนั้นก็กลับเป็นชั่ว    มีความสุขแล้วก็จะมีความทุกข์มาถึงเล่า   หาโศกเศร้าบ่มิได้แล้วก็ถึงซึ่งเศร้าโศกเล่า  
   แต่พระเจ้าธรรมาโศกราชบพิตร    ผู้มีบุญญานุภาพได้เสวยมไหสุริยสมบัติพร้อมเพรียงไปด้วยความสุข      ถึงซึ่งอิสระภาพเป็นใหญ่ในภูมิมณฑลสกลชมภูทวีป    บริจากทานในพระศาสนาคิดเป็นทรัพย์นับได้ร้อยโกฏิมีอาณาจักรแผ่ไปใต้ปถพี    ๑   โยชน์      เบื้องบนอาการ   ๑    โยชน์     กอปรด้วยสมบัติสุขถึงเพียงนี้    เมื่อมรณะมาถึงก็มีความเศร้าโศกเฉพาะพักตร์สู่ความตาย      ควรจะสังเวชเวทนา       สพฺโพ    เยว   โลกสนฺนิวาโส    ชาติยา   อนุโคต    ชื่อว่าโลกสันนิวาสสัตว์ทั้งปวงนี้     ชาติทุกข์ย่อมติดตามล่อลวงให้ลุ่มหลง     ชรานั้นรัดตรึงตราให้ถึงความวิปริตต่าง   ๆ    พยาธิทุกข์นั้นติดตามย่ำยี      ให้ป่วยไข้ลำบากเวทนาเจ็บปวดทั่วสรรพางค์กาย    สุมรเณ     อพฺภาหโต       มรณทุกข์ครอบงำทำลายล้างชีวิตอินทรีย์ให้เสื่อมสูญพญามัจจุราชนี้จะได้ละเว้นบุคคลผู้ใดผู้หนึ่งนั้นหามิได้    ย่อมครอบงำย่ำยีสรรพสัตว์ทั้งปวงทั่วไปทุกรูปทุกนาม    มิได้เลือกว่ากษัตริย์ว่าพราหมณ์ว่าพ่อค้าชาวนา     จัณฑาลคนขนหยากเยื่อ     
   อุปมาดุจเขาอันมีศิลาเป็นแท่งหนึ่งแท่งเดียวเบื้องบนจดจนนภากาศ     กลิ้งมาแล้วแลเวียนไปในทิศทั้ง    ๔     บดเสียซึ่งสรรพสัตว์วัตถุทั้งปวง        บ่มิได้เลือกสัตว์แลสังขารนั้น    อันจะต่อยุทธพญามัจจุราชนั้นใช่วิสัยที่จะต่อยุทธได้         เพราะเหตุว่ามรณะสงความนั้นไม่มีที่ตั้งแห่งพลช้างพลม้าพลราชรถพลเดินเท้าไม่มีที่ตั้งค่ายคูประตูหอรบทั้งปวง   จะมีพลพาหนะมากก็มากเสียเปล่า    ซึ่งจะเอามาต่อยุทธด้วยมรณะสงความนั้นเอามาบ่มิได้ถึงแม้จะมีแก้วแหวนเงินทองมากสักเท่าใด   ๆ    ก็ดี    จะรู้เวทมนต์ศาสตราคมกล้าหาญประการใด  ๆ   ก็ดี     ก็มิอาจเอามาต่อยุทธด้วยพญามัจจุราชได้   
   พระโยคาพจรผู้จำเริญมรณานุสสติภาวนานั้น    ถึงระลึกถึงความตายโดยสมบัติวิบัติดุจพรรณนามาฉะนี้    อุปสํหรณโต     แลอาการเป็นคำรบ   ๓   ที่ว่าให้พระโยคาพจรระลึกถึงความตายโดยอุปสังหรณะนั้น    คือให้ระลึกถึงความตายแห่งผู้อื่นแล้วนำเอามาใส่ตน     เมื่อระลึกถึงความตายแห่งบุคคลผู้อื่นพึงระลึกโดยอการ   ๗   ประการ    ยสมหคฺคโต     คือให้ระลึกโดยภาวนามากไปด้วยยศประการ   ๑      ปุญฺญมหคฺคโต        ให้ระลึกโดยภาวนามากไปด้วยบุญประการ  ๑      ถามมหคฺคโต          ให้ระลึกโดยภาวะนามากไปด้วยกำลังประการ  ๑        อิทฺธิมหคฺคโต       ให้ระลึกโดยภาวะนามากไปด้วยฤทิธิ์ประการ  ๑      ปจฺเจกพุทฺธโต        ให้ระลึกโดยภาวะพระปัจเจกโพธิ์   ๑        สมฺมาสมฺพุทฺธโต     ให้ระลึกโดยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ๑    เป็น  ๗   ประการด้วยกัน     
   ซึ่งว่าให้ระลึกโดยภาวะมากไปด้วยยศนั้น     คือให้ระลึกว่าพญามัจจุราชนี้    จะได้รังเกียจเกรงใจว่าท่านผู้นี้เป็นผู้ดีมีบริวารยศมากอย่าเบียดเบียนท่านเลย      จะได้เกรงใจอยู่ในฉะนี้หาบ่มิได้      แต่พระยามหาสมมติราช     แลพระยามันธาตุราช       พระยามหาสุทัพสนะบรมจักรพัตราธิราชเป็นต้นเป็นประธาน     ซึ่งมีอิสริยยศแลบริวารยศเป็นอันมากบริบูรณ์ไปด้วยพลพาหนะแลทรัพย์สมบัติอันโอฬารริกภาพนั้นยังตกอยู่ในอำนาจแห่งพญามัจจุราชสิ้นทั้งปวง      กิมงฺคํ      ปน    ก็จะป่วยกล่าวไปไยถึงตัวเรานี้เล่า     อันจะพ้นอำนาจแห่งพญามัจจุราชนั้นหามิได้       เอวํ     ยสมหคฺคโต     พระโยคาพจร    พึงระลึกถึงความตายโดยภาวะมากไปด้วยยศดุจพรรณนามาฉะนี้      
   ปญฺญมหคฺคโต  ซึ่งว่าให้ระลึกโดยภาวะมากไปด้วยบุญนั้น    คือให้ระลึกตรึกตรองไปถึงบุคคลเป็นต้นว่า    โชติกเศรษฐี   แลชฏิลเศรษฐี   แลอุคคิยเศรษฐี   แลเมณฑกเศรษฐี    แลปุณณกเศรษฐี    แต่บรรดาที่เป็นคนมีบุญญาภิสมภารเป็นมันมากนั้น    ว่าท่านโชติกเศรษฐีนั้นมีปรางค์ปราสาทแล้วไปด้วยแก้ว   ๗   ประการ     มีพื้นได้   ๗   ชั้น   มีกำแพงแวดล้อมนั้นก็   ๗   ชั้น    แต่ล้วนแล้วไปด้วยแก้ว   ๗   ประการ    แล้วก็มีไม้กัลปพฤกษ์เกิดขึ้นทุก  ๆ    มุมแห่งกำแพง    มีขุมทองอันเกิดขึ้นในมุมทั้ง   ๔     แห่งปรางค์ปราสาท      ขุมหนึ่งปากกว้าง   ๑   โยชน์     ขุมหนึ่งปากกว่างกึ่งโยชน์    ขุมหนึ่งปากกว้าง   ๓๐๐   เส้น    ขุมหนึ่งปากกว้าง    ๑๐๐    เส้น    สมบัติพัสถานของท่านนั้นโอฬารริกภาพ    มีนางมาแต่อุตตกุรุทวีปเป็นอัครภรรยา     แลชฏิลเศรษฐีนั้นเล่ามีภูเขาทองขึ้นข้างหลังเรือนจะรื้อจะขนสักเท่าใด  ๆ    ก็ไม่สิ้นไม้สุด       
           เมณฑกะเศรษฐีนั้นเล่าก็มีแพะทองเกิดขึ้นด้วยบุญเต็มไปในที่ได้    ๘  กรีส    ในท้องแพะนั้นเต็มไปด้วยสิ่งสรรพข้าวของทั้วปวงจะปรารถนาวัตถุอันใดชักลูกข่างอันกระทำด้วยเบญจพรรณ    ซึ่งปิดปากแพะนั้นออกแล้ววัตถุนั้นก็ไหลหลั่งออกมาจากปากแพะ      ได้สำเร็จความปรารถนาทุกสิ่งทุกประการ    แลปุณณกเศรษฐีนั้นเล่า    เดิมเมื่อเป็นลูกจ้างอยู่นั้นออกไปไถนา    ขี้ไถก็กลับกลายเป็นทอง     ครั้นได้เป็นเศรษฐีเมื่อพื้นที่จะกระทำเรือนอยู่นั้นก็ได้ขุมทรัพย์เต็มไปในที่จักหวัด    บ้านบุคคลผู้มีบุญญาภิสมภารมากมีทรัพย์มากถึงเพียงนี้แล้ว     ก็มิอาจเอาทรัพย์มาไถ่ถอนตนให้พ้นจากอำนาจพญามัจจุราชได้  อญฺเญ     จ   โลกเก     มหาปุญฺญาติ   วิสฺสุตา      ถึงบุคคลจน  ๆ   ที่ปรากฏว่ามีบุญมากในโลกนี้แต่ผู้ใดผู้หนึ่งจะพ้นจากอำจาจแห่งพญามัจจุราชนั้นหามิได้    แต่ล้วนถึงซึ่งมรณภาพดับสูญล่วง   ๆ    ไปสิ้นทั้งปวง   มาทิเสสุกถาวกา     ก็ป่วยกล่าวไปไยถึงบุคคลเห็นปานดังตัวเรานี้ดังฤๅจะพ้นอำนาจแห่งพญามัจจุราช     
  พึงระลึกไปโดยภาวะมากไปด้วยบุญอันนี้    ถามมหคฺคโต       ซึ่งว่าให้ระลึกไปโดยภาวะมากไปด้วยกำลังนั้น     คือให้ระลึกถึงบุคคลที่มีกำลังมากเป็นต้นว่า    พระยาวาสุเทพ    พระยาพลเทพ    พระยาภิมเสน    พระยานุธิฏฐิล     พระยาหนุร    พระยามหามล     พระยาเหล่านี้แต่ละพระองค์   ๆ  นั้นทรงพลกำลังมาก    กำลังนายขมังธนู   ๕๐๐     คนจึงเท่าพระยาภิมเสนพระองค์หนึ่ง     บุคคลอันมากำลังมากสามารถปรากฏในโลกสันนิวาสเห็นปานดังนี้     ก็มิอาจต่อยุทธด้วยพญามัจจุราชได้    กถาวกา     ก็จะป่วยกล่าวไปไยถึงตัวเรานี้เล่าดังฤๅแลจะต่อสู้ด้วยพญามัจจุราชนั้นได้    พึงระลึกโดยภาวะมากไปด้วยกำลังดังพรรณนามาฉะนี้ 
  อิทฺธิมหคฺคโต      ซึ่งว่าให้ระลึกไปโดยภาวะมากไปด้วยฤทธิ์นั้น     พึงให้ระลึกว่าบุคคลอันเกิดมาในโลกนี้    ถึงจะมีฤทธิ์ศักดานุภาพเป็นประการใด   ๆ      ก็ดี    ก็มิอาจทำสงครามแก่พญามัจจุราชได้    แต่พระมหาโมคคัลลานเถระเจ้าผู้เป็นทุติยสาวก    แห่งสมเด็จพระมหากุณากอปรด้วยฤทธาศักดานุภาพ    อันล้ำเลิศประเสริฐได้ที่เอตทัคคะฝ่ายข้างฤทธิ์    แต่บรรดาเฉพาะสาวกในพระศาสนานี้     พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง    จะมีฤทธิ์เหมือนพระโมคคัลลานะหาบ่มิได้      พระโมคคัลลานะนี้ยังเวชยันตปราสาทให้กัมปนาทหวาดหวั่นไหวด้วยมาตรว่า    สะกิดด้วยนิ้วแม่เท้า       อนึ่งเมื่อทรมานพญานันโทปนันทนาคราชนั้นเล่า   ฤทธิ์แห่งพระโมคคัลลานเถรเจ้าก็ปรากฏว่าเลิศรวดเร็วในกิจที่จะเข้าสู่สมบัติไม่มีใครเสมอ     มีฤทธิ์ถึงเพียงนี้แล้ว    ยังว่าเข้าไปสู่ปากแห่งพญามัจจุราชอันพิลึกกับทั้งฤทธิ์ทั้งเดช    ดุจดังว่าเนื้ออันเข้าไปสู่ปากแห่งพญาไกรสรราชสีห์    ก็ตัวอาตมานี้ดังฤๅจะพ้นพญามัจจุราชเล่า    พึงระลึกไปโดยภาวะมากไปด้วยฤทธิ์ดังนี้   
    ปญฺญมหคฺคโต   ซึ่งว่าให้ระลึกโดยภาวะมากไปด้วยปัญญานั้นคือให้ระลึกด้วยเห็นว่าสัตว์ทั้งหลาย    แต่บรรดาที่เวียนว่ายอยู่ในกระแสชลาโลกโอฆสาครนี้    ถึงจะมีปัญญาเฉลี่ยวฉลาดเป็นประการใด   ๆ  ก็ดี       ก็บ่มิอาจจะคิดเลศอุบายให้พ้นจากอำนาจแห่งพญามัจจุราชนั้นได้    จะว่าไปไยถึงผู้อื่น   ๆ  นั้นเล่า    แต่พระสารีบุตรเถรเจ้า       ผู้เป็นอัครสาวกกอปรด้วยปัญญาอันกล้าหาญ     แม้ฝนจะตกเต็มไปในห้องจักรวาลตกไปช้านานสิ้น   ๑   กัปป์     หยาดเม็ดฝนแลละอองเม็ดฝนนั้นมีประมาณมากน้อยสักเท่าใด  ๆ      พระสารีบุตรเถรเจ้าก็อาจนับถ้วน      แต่บรรดาสัตว์ในโลกนี้    ยกเสียแต่พระบรมโลกนาถเจ้าพระองค์เดียวแล้วนอกออกไปกว่านั้นแล้ว    ผู้ใดผู้หนึ่งซึ่งจะมีปัญญามากเหมือนพระสารีบุตรนั้นหามิได้    
   ปัญญาแห่งพระสารีบุตรเถรเจ้านั้น      ถ้าจะเอามาแบ่งออกเป็น   ๑๖      ยกเสีย   ๑๕     เอาแต่ส่วน   ๑    ส่วน   ๑     นั้นเอามาแบ่งออกเป็น   ๑๖    ยกเสีย   ๑๕    เอาแต่ส่วน    ๑      อีกเล่าแบ่งลงไป  ๆ   โดยในดังนี้ถึง   ๑๖    ครั้งแล้ว      จึงเอาปัญญาพระสารีบุตรที่แบ่งเสี้ยว  ๑    เป็น  ๑๖    ส่วนในที่สุดนั้นมาเปรียบด้วยปัญญาแห่งบัณฑิตทั้งชาติทั้งปวง   ๆ      ก็น้อยกว่าปัญญาแห่งพระสารีบุตรเสี้ยว   ๑    นั้นอีก       พระสารีบุตรได้เอตทัคคะฝ่ายข้างปัญญาถึงเพียงนี้แล้ว       ก็มิอาจล่วงเสียอำนาจแห่งพญามัจจุราชนั้นได้      ยังถือซึ่งดับสูญเข้าสู่ปากแห่งพญามัจจุราชจะมิครอบงำเล่า    พึงระลึกโดยภาวะมากไปด้วยปัญญาดังกล่าวนี้  
  ปจฺเจกพุทฺธโต    ซึ่งว่าให้ระลึกโดยพระปัจเจกโพธิ์นั้นคือให้ระลึกว่า    แท้จริงพระปัจเจกโพธิ์ทั้งปวงนั้นแต่ละพระองค์   ๆ  กอปรด้วยปัญญาพลแลวิริยพลอันเข้มแข็งย่ำยีเสียได้    ซึ่งข้าศึกคือกิเลสธรรมทั้งปวงแล้ว    แลถึงซึ่งปัจเจกสัมโพธิญาน       ตรัสรู้ไญยธรรมเองหาอาจารย์จะสั่งสอนมิได้    พระปัจเจกโพธิ์เจ้าผู้ประเสริฐเห็นปานดังนี้    ก็มิอาจล่วงลัดจากอำนาจแห่งพญามัจจุราชนั้นได้ดังฤๅอาตมาจะพ้นจากอำนาจแห่งพญามัจจุราชนั้นเล่า    พึงระลึกโดยประปัจเจกโพธิ์โดยนัยดังกล่าวมานี้   
   สมฺมาสัมฺพุทฺธโต     ซึ่งว่าให้ระลึกโดยพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นคือให้ระลึกว่า     ภควา    อันว่าสมเด็จพระสรรเพชญ์พุทธองค์ผู้ทรงพระสวัสดิโสภาคย์เป็นอันงาม    พระองค์มีพระรูปโฉมพระสรีรกายอันวิจิตรด้วยทวัตติงสมหาบุรุษลักษณะ  (  ลักษณะสำหรับพระมหาบุรุษ   ๓๒)     แลพระอสีตยนุพยัญชนะ   ๘๐    ทัศประเสริฐด้วยพระธรรมกาย    สมาธิขันธ์     ปัญญาขันธ์    วิมุตติขันธ์      วิมุตติญาณทัสสนขันธ์     อันบริสุทธิ์บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง     
   ปารคโต     ถึงซึ่งภาวะมากไปด้วยยศมากไปด้วยบุญ    มากไปด้วยกำลังมากไปด้วยฤทธิ์มากไปด้วยบุญ    หาผู้จะเปรียบเทียบปูนปานบ่มิได้    อรหํ   สมฺมาสมฺพุทฺโธ    พระพุทธองค์เจ้าหักเสียซึ่งกำแห่งสังสารจักร     ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยอาการมิได้วิปริต    หาผู้จะถึงสองมิได้ในไตรภพ     สมเด็จพระพุทธองค์ผู้แสวงหาศีลหาทิคุณอันประเสริฐเลิศด้วยพระคุณศักดานุภาพ      เป็นที่ไหว้สักการะบูชาแห่งสรรพเทพา    มนุษย์     อินทรีย์     พรหม     ยมยักษ์     อสูร     คนธรรมพสุบรรณนาค    แลสรรพสัตว์นิการทั้งหลายทั่วทั้งอนันตโลกธาตุไม่มีผู้จะเท่าเทียมเลย      มัจจุราชยังมิได้กลัวได้เกรง    ยิงมิได้มีความละอาย       ยังครอบงำกระทำให้สูญเข้าสู่พระปรินิพพาน   ดุจกองเพลิงอันใหญ่ส่องสว่างทั่วโลก    ต้องท่อธารห่าฝนประลัยกัลป์ดับสูญ   หาบัญญัติบ่มิได้      นีลชฺชํ   วีตสารชฺชํ    มรณธรรมนี้     ปราศจากความละอายปราศจากความกลัว      มีแต่ย่ำยีจะครอบงำทั่วทุกสิ่งสรรพสัตว์    แต่องค์สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้ามรณธรรมยังมิได้ละได้เว้น    ก็บุคคลเห็นปานดังตัวอาตมานี้       ดังฤๅมรณธรรมจะละเว้นเล่าก็จะครอบงำเหมือนกัน        เอวํ    สมฺมาสมฺพุทฺธโตสรณํ    อนุสฺสริตพฺพํ   พึงระลึกถึงมรณะแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยประการฉะนี้