อุปสํหรณํ     อันจำแนกด้วยประการ   ๗      ดุจนัยที่สำแดงมาฉะนั้น      นักปราชญ์พึงสันนิษฐานว่ารวมเข้าเป็น     ๑   จัดเป็นอาการคำรบ   ๓    ในวิธีแห่งมรณานุสสิตภาวนา    แลอาการเป็นคำรบ    ๔   คือ    กายพหุสาธารณ์นั้น    ให้พระโยคาพจรระลึกว่า    อยํ   กาโย    อันว่ารูปกายแห่งสรรพสัตว์เราท่านทั้งหลายนี้    เป็นสาธารณ์ทั่วไปแก่หมู่หนอนทั้ง   ๘๐   ตระกูล      ฉวินิสฺสิตาปาณา    หนอนที่อาศัยอยู่ในผิวเนื้อก็ฟอนกัดกินผิวเนื้อ   ที่อาศัยอยู่ในหนังก็ฟอนกัดกินหนัง   ที่อาศัยอยู่เนื้อล่ำก็ฟอนกัดกินเนื้อล่ำ   ที่อยู่ในเอ็นก็กัดกินเอ็น     ที่อยู่ในอัฐิก็กัดอัฐิ    ที่อยู่ในสมองก็กัดสมอง        ชายนฺติ  ขียนฺติ  หนอนทั้งหลายนั้นเกิดในกาย   แก่ในกาย    ตายในกาย   กระทำอุจจาระ   ปัสสาวะในกาย   กายแห่งเราท่านทั้งปวงนี้เป็นเครื่องประสูติแห่งหมู่หนอน    เป็นศาลาไข้   เจ็บเป็นป่าช้าเป็นเว็จกุฏิเป็นร่างกาย      อุจจาระปัสสาวะแห่งหมู่หนอนควรจะสังเวชเวทนา    กายแห่งเราท่านทั้งหลายนี้บางทีหนอนกำเริบกล้าหนาขึ้น   ฟอนกัดฟอนทึ้งเกินประมาณทนทานบ่มิได้     ตายเสียด้วยหนอนกำเริบก็มี     ภายในกรัชชกายนี้ใช่จะมีแต่หมู่หนอนเบียดเบียนนั้นหามิได้   
  โรคที่เบียดเบียนในการนี้เล่าก็มีมากกว่า       อเนกสตานํ   ถ้าคณนานั้นมากกว่าร้อยจำพวกอีก    ไหนเหลือบยุงเป็นต้น    จะเบียดเบียนในภายนอกนั้น    ร่ายกายที่เป็นตกต้องแห่งอุปัทวะต่าง   ๆ       ลกฺขิ   อิว   อุปมาดุจป้อมเป้าหมายอันบุคคลตั้งไว้หนทาง   ๔    แพร่ง     เป็นที่ถูกต้องแห่งหอกใหญ่แลหอกซัดไม้ค้อนก้อนศิลาแลธนูหน้าไม้ปีนไฟทั้งปวง    เหตุดังนั้นสมเด็จพระมหากรุณา   จึงโปรดประทานพระธรรมเทศนาไว้ว่า   อิธ   ภิกฺขเว   ภิกฺขฺ    ทิวเส   นิกฺขนฺเต    รตฺติยา   ปตีหิ   ตาย   อิติปฏิสญฺจิกฺขิ    ภิกษุอันมีมรณสติในบวรพุทธศาสนานี้ในเมื่อเพลาอันล่วงไปแล้วแลย่างเข้าราตรีนั้น      ก็มาพิจารณาถึงมรณภาพแห่งตนว่า    พหุกา    โข   เม   ปจฺตยา    มรณสฺส   เหตุที่จะให้อาตมาถึงแก่มรณะมากมายนักหนา   อยู่  ๆ      ฉะนี้ถ้ามีอสรพิษมาขบ     มีแมลงป่องมาแทง    มีตะขาบมากัด    มรณะแลทุกขเวทนาก็จะมีแก่อาตมาเป็นอันตรายแก่อาตมา    อาตมายืน  ๆ   อยู่ฉะนี้ฉวยพลาดล้มลงก็ดี     จังหันที่อาตมาฉันในเพลาปุเรภัตรวันนี้   ถ้าเพลิงธาตุบ่มิอาจจะเผาให้ย่อยได้ก็ดี   แต่เท่านี้มรณะก็จะมีแก่อาตมา    จะเป็นอันตารยแก่อาตมา   ปิตฺติ   วา   เม   กุปฺเปยฺย   มิฉะนั้นดีแห่งอาตมานี้กำเริบ   เสมหะแห่งอาตมานี้กำเริบ     ลมสันถวาตอันให้จุกเสียดเจ็บดังเชือกด้วยมีดนั้นกำเริบขึ้นก็ดี   มรณะก็ดีจะมีแก่อาตมา    
  ให้พระโยคาพจรผู้จำเริญมรณนุสสติกรรมฐานให้ระลึกถึงความตายโดยกายพหุสาธารณ์โดยนัยที่พรรณนา    นาม   แลอาการคำรบ    ๕    ที่ว่าให้พิจารณาซึ่งความตายโดยอายุทุพพลนั้นคือให้ระลึกเห็นว่าอายุแห่งสรรพสัตว์ทั้งปวงนี้หากำลังบ่มิได้ทุพพลภาพยิ่งนัก      อสฺสาสุปุนิพฺพุธํ  ชีวิตแห่งสัตว์ทั้งปวงนี้เนื่องด้วยอัสสาสะปัสสาสะนั้น   มิได้ประพฤติเสมออยู่ก็ยังมิได้ดับสูญก่อน    ถ้าอัสสาสะปัสสาสะนั้นมิได้ประพฤติเสมอ     คือหายใจออกไปแล้วลมนั้นขาดไปบ่มิได้กลับเข้าไปในกายก็ดี      หายใจเข้าไปแล้วลมนั้นอัดอั้นมิได้กลับออกมาภายนอกก็ดี    แต่เท่านี้ก็จะถึงซึ่งมรณะภาพความตาย       อริยาบถทั้ง  ๔   นี้เท่าเมื่อประพฤติเสมออยู่อายุนั้นก็ยังมิได้ดับสูญ      ถ้าอิริยาบถนั้นประพฤติไม่เสมอ     นั่งนักนอนนักยืนนักเที่ยวนัก    ประพฤติอิริยาบถอันใดอันหนึ่งให้หนักนักแล้ว      ก็เป็นเหตุที่จะให้อายุอายุสั้นพลันตาย   
   เย็นแลร้อนนั้นเล่าถ้ามีอยู่เสมอ   อายุก็ยังมิได้ดับสูญก่อน    ถ้าเย็นแลร้อนนั้นประพฤติบ่มิได้เสมอเกินประมาณนักแล้ว      อายุก็ขาดชีวิตินทรีย์ก็จะดับสูญ       พลสมฺปนฺโนปิ   แม้ว่าถึงบุคคลนั้นจะบริบูรณ์ด้วยกำลังก็ดี     ถ้าธาตุอันใดอันหนึ่งกำเริบแล้วก็มีกายกระด้างเป็นโรคต่าง   ๆ  มีอติสารลมแดงเป็นต้น    มีกายอันเหม็นเน่า    เศร้าหมองร้อนกระวนกระวายทั่วสรรพางค์กาย    บางทีมีที่ต่อกันเคลื่อนคลาดออกจากกัน    ถึงซึ่งสิ้นชีวิตเพราธาตุกำเริบนั้นก็มี   แลกวฬิงการาหารที่สรรพสัตว์ทั้งปวงบริโภคนี้เล่า    ถ้าบริโภคพอควรอยู่แล้วอายุก็ตั้งอยู่ได้โดยปกติ     ถ้าบริโภคเกินประมาณเพลิงธาตุสังหารให้ย่อยยับลงมิได้อายุก็ขาด     อาหารนั้นถ้าไม่มีบริโภคเล่า    ชีวิตินทรีย์นั้นก็ขาดบ่มิได้สืบต่อไปได้อาศัยเหตุฉะนี้     จึงว่าชีวิตินทรีย์เนื่องอยู่ด้วยอาหาร    เนื่องไปด้วยอัสสาสะและอิริยาบถเย็นร้อน    
  แลมหาภูตรูปทุพพลภาพหนักหมิ่นอยู่นักที่จะถึงมรณภาพ     เอวํ     อายุทุพพฺพลโต   มรณํ    อนุสฺสริตพฺพํ     พระโยคาพจรผู้จำเริญมรณานุสสติกรรมฐานนั้น     พึงระลึกถึงความตายโดยอายุทุพพลดุจนัยที่พรรณนามาฉะนี้     แลอาการเป็นคำรบ   ๖     ซึ่งว่าให้ระลึกถึงความตายโดยอนิมิตนั้น       คือให้ระลึกว่า   สตฺตานํ    หิ    วีวิตํ      กาโล    จ    เทหนิกฺเขปนํ    คติสัตว์ทั้งหลายอันเกิดมาในโลกนี้ย่อมมีสภาวะกำหนดมิได้นั้น   ๕   ประการ    ชีวิตํ    คือชีวิตนั้นก็หากำหนดมิได้ประการ   ๑   พยาธิ       คือการป่วยไข้นั้นก็หากำหนดมิได้ประ  ๑ กาเล   เพลาอันมรณะนั้นก็หากำหนดมิได้ประการ  ๑  เทหนิกฺเขปนํ    ที่อันจะทิ้งไว้ซึ่งกเฬวระนี้ก็หากำหนดมิได้ประการ  ๑     คติซึ่งจะไปภพเบื้องหน้านั้นก็หากำหนดมิได้ประการ  ๑    เป็น   ๕   ประการด้วยกัน    เอตฺตเกเนวชีวิตพฺพํ   อันจะกำหนดกฏหมายว่าข้าจะมีชีวิตอยู่เพียงนั้น   ๆ   ถ้ายังไม่ถึงเพียงนั้นข้ายังไม่ตายก่อน     ต่อถึงเพียงนั้น   ๆ    ข้าถึงจะตาย   จะกำหนดบ่มิได้      
   กลฺลกาเลปิ    สตฺตา   มรนฺติ  สัตว์ทั้งหลายอันบังเกิดในครรภ์มารดานั้น    แต่พอตั้งขึ้นเป็นกลละฉิบหายไปก็มีเป็นอัมพุทะฉิบหายไปก็มี      บางคาบเป็นเปสิชิ้นเนื้อฉิบหายไปก็มี   บางคาบเป็นฆนะเป็นแท่งเข้า     แล้วฉิบหายไปก็มี   บางคาบเป็นปัญจสาขาแล้วฉิบหายไปก็มี    อยู่ได้  ๑,  ๒,  ๓      เดือนฉิบหายไปก็มี     อยู่ได้  ๔, ๕,  ๑๐    เดือนแล้วตายไปก็มี      สัตว์บางจำพวกก็ตายในกาลเมื่อคลอดจากมาตุคัพโภทร      บางจำพวกคลอดจากมาตุคัพโภทรแล้วอยู่ครู่  ๑   พัก  ๑   ตายไปก็มี    อยู่ได้แต่วัน   ๑,  ๒,  ๓   วันแล้วตายไปก็มี    ที่อยู่ได้   ๔,  ๕,  ๑๐  วันตายไปก็มี     อยู่ได้   ๑,  ๒,  ๓      เดือนแล้วตายไปก็มี   ที่อยู่ได้  ๔,  ๕,  ๑๐      เดือนแล้วตายไปก็มี    อยู่ได้  ๑,  ๒,  ๓     ปีแล้วตายไปก็มี    ที่อยู่ได้   ๑๐,  ๒๐,  ๓๐   ปี   แล้วตายไปก็มี      อันจะกำหนดชีวิตนี้ก็กำหมดบ่มิได้    แลพยาธิป่วยไข้นั้นก็กำหนดบ่มิได้เหมือนกัน    ซึ่งกำหนดว่าเป็นโรคแต่เพียงนั้น   ๆ   ข้ายังไม่ตายก่อน    ต่อโรคหนักหนาลงเพียงนั้น   ๆ    ข้าจึงจะตายจะกำหนดฉะนี้บ่มิได้      
  สัตว์บางจำพวกก็ตายด้วยจักษุโรคโสตโรค    บางจำพวกก็ตายด้วยฆานโรค  ชิวหาโรคกายโรคศีรษะโรคก็มีประการต่าง  ๆ   ตายด้วยโรคอันเป็นปิตตสมุฏฐานก็มี   ตายด้วยโรคอันเป็นเสมหะสมุฏฐานก็มี    วาตสมุฏฐานก็มี   ที่จะกำหนดพยาธินี้กำหนดบ่มิได้     เพลาตายนั้นจะกำหนดก็บ่มิได้     สัตว์จำพวกนั้นตายในเวลาเช้า   บางจำพวกนั้นตายในเวลาเที่ยงเวลาเย็น   บางจำพวกตายในปฐมยาม    มัชฌิมยามที่กำหนดเพลามรณะนั้นกำหนดบ่มิได้    แลที่ทอดทิ้งไว้ซึ่งกเฬวระซากอสุภนั้นก็กำหนดบ่มิได้       ซึ่งกำหนดว่าข้าจะตายที่นั้น   ๆ   ข้าจะตายในบ้านของข้าเรือนของข้าจะกำหนดฉะนี้    กำหนดบ่มิได้สัตว์บางจำพวกเกิดในบ้าน      เมื่อจะตายออกไปตายนอกบ้าน   บางจำพวกเกิดนอกบ้านเข้าไปตายในบ้าน    บางจำพวกอยู่ในบ้านนี้เมืองนี้   ไปตายบ้านโน้นเมืองโน้น    อยู่บ้านโน้นเมืองโน้น     มาทิ้งกเฬวระไว้ที่บ้านนี้เมืองนี้      ที่อยู่ในน้ำขึ้นมาตายบนบกที่อยู่บนบกลงไปตายในน้ำ    ซึ่งจะกำหนดที่ตายนั้นกำหนดบ่มิได้        คติที่จะไปในภพเบื้องหน้านั้นเล่าที่จะกำหนดว่า   ข้าตายจากที่นี้แล้วจะไปบังเกิดในที่นั้น   ๆ   บ้านนั้นตำบลนั้น   ก็กำหนดฉะนี้บ่มิได้
   เทวโลกโต   จุตา   มนุสฺเสสุ   นิพฺพตฺตนฺติ        สัตว์บางจำพวกนั้นจุติจากเทวโลก   ลงมาเกิดในมนุษย์โลก    บางจำพวกนั้นจุติจากมนุษย์โลกขึ้นไปบังเกิดในเทวโลก     บางทีก็ไปบังเกิดในรูปภพตลอดอรูปภพ     บางทีก็ไปบังเกิดในดิรัจฉานกำเนิด   แลเปรตวิสัย   แลอสุรกาย      แลนรกตามกุศลกรรม  แลอกุศลกรรมจะเวียนไปอยู่ในภพทั้ง   ๕   มีอุปมาดังโคอันเทียมเข้าไปในแอกยนต์    ธรรมดาว่าโคอันเทียมเข้าในแอกยนต์นั้น    ย่อมยกเท้าเดินหันเวียนวงไปโดยรอบแห่งเสาเกียดบ่มิได้ไปพ้นจากรอยดำเนินแห่งตน    แลมีอุปมาฉันใด     สัตว์ทั้งปวงก็เวียนวนอยู่ใตนคติทั้ง   ๕   คือ     นิรยคติ     เปตคติ    ติรจฺฉานคติ    มนุสฺสคติ    เทวคติ         มิได้ไปพ้นจากคติทั้ง   ๕   มีอุปไมยดังนั้น   
  พระโยคาพจรพึงพิจารณาถึงความมรณะโดยอนิมิต   มีนัยดังพรรณนามานี้  แลอาการเป็นคำรบ   ๗   ที่ว่าให้พระโยคาพจรระลึกถึงความตายโดยอัทธานปริจเฉทนั้น    คือให้ระลึกว่า ทนุสฺสานํ   ชีวิตสฺส   นาม   เอตรหิ    ปริตฺโต    อทฺธา       ชีวิตแห่งมนุษย์ในกาลบัดนี้น้อยนัก    ที่อายุยืนทีเดียวนั้นอยู่ได้มากกว่าร้อยปีบ้าง     แต่เพียงร้อยปีบ้าง     น้อยกว่าร้อยปีบ้าง    ถึงร้อยปีนั้นมีโดยน้อย      ก็มีแต่ถอยลงมาเหตุดังนั้นสมเด็จพระสรรเพชญ์พุทธเจ้า     จึงโปรดประทานพระธรรมเทศนาว่า   อปฺปมายู ํ    มนุสฺสานํ    หิเลยฺย   นํ   สุฏปริโส      จเรยฺยาทิตฺตสีโสว    นตฺลิ    มจฺจุสฺส   นาคโม        ดูก่อนสงฆ์ทั้งปวง      บุคคลผู้เป็นสัปบุรุษนั้น    เมื่อรู้แจ้งว่าอายุแห่งมนุษย์นี้น้อย    ก็พึงประพฤติดูหมิ่นซึ่งอายุแห่งตนอย่ามัวเมาด้วยอายุ   อย่าถือว่าอายุนั้นยืน       พึงอุตสาหะในสุจริตธรรมขวนขวายที่จะให้ได้สำเร็จพระนิพพานอันเป็นที่ระงับทุกข์     กระทำการให้เหมือนบุคคลที่มีศีรษะแห่งอาตมา     พึงอุตสาหคิดธรรมสังเวชถึงความตาย    เกิดมาเป็นสัตว์เป็นบุคคลแล้ว    แลพญามัจจุราชจะไม่มาถึงนั้น     ไม่มีเลยเป็นอันขาด                                                                 
    สมเด็จพระบรมโลกนาถโปรดประทานพระธรรมเทศนา   มีอรรถาธิบายดังพรรรณนามาฉะนี้แล้ว   พระพุทธองค์เจ้าจึงเทศนาอลังกตสูตรสืบต่อไป   ภูตปุพฺพํ     ภิกฺขเว   อรโก    นาม   สตฺถา   อโหสิ     ดูกรภิกษุทั้งปวงแต่ก่อนโพ้นพระตถาคตเสวยพระชาติเป็นครูชื่อ     อรกะ      สำแดงธรรมแก่พราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อว่าอลังกตพราหมณ์    ในพระธรรมเทศนานั้น     มีใจความว่าชีวิตแห่งสัตว์ทั้งปวง    บ่มิได้อยู่นาน    ดุจหยาดน้ำค้างอันติดอยู่ในปลายหญ้าแลเร็วที่จะเหือดแห้งไปด้วยแสงอาทิตย์      ถ้ามิดังนั้นดุจต่อมน้ำ   อันเกิดขึ้นด้วยกำลังแห่งกระแสน้ำกระทบกันแลเร็วที่จะแตกจะทำลายไป      ถ้ามิดังนั้นชีวิตแห่งสัตว์ทั้งปวงนี้เร็วที่จะดับสูญดุจรอยขีดน้ำ    แลเร็วที่จะอันตรธาน     ถ้ามิดังนั้นเปรียบประดุจแม่น้ำไหลลงมาแต่ธารแห่งภูเขา      และมีกระแสอันเชี่ยวพัดเอาจอกแหนแลสิ่งสรรพวัตถุทั้งปวงไปเป็นเร็วพลัน    
   ถ้ามิดังนั้น    ดุจฟองเขฬะอันวุรุษผู้มีกำลังประมาลเข้าแล้ว       แลบ้วนลงในที่สุดแห่งน้ำแลอันตรธานสาบสูญไปเป็นอันเร็วพลัน     ถ้ามิดังนั้นดุจชิ้นเนื้ออันบุคคลทิ้งลงกระทะเหล็กอันเพลิงไหม้สิ้นวันหนึ่งยังค่ำแลเร็วที่จะเป็นฝุ่นเป็นเถ้าไป    ความตายนี้มารออยู่ใกล้   ๆ      คอยที่จะสังหารชีวิตสัตว์    ดุจพราหมณ์อันคอยอยู่ที่ลงฆ่าโคบูชายัญ   ชีวิตํ   มนุสฺสานํ    ปริตฺตํ         ชีวิตแห่งมนุษย์ในกาลทุกวันนี้น้อยนัก    มากไปด้วยความทุกข์ความยาก     มากไปด้วยความโศกความเศร้า     สะอื้นอาลัยทั้งปวง    บุคคลผู้เป็นบัญฑิตชาติอย่าได้ประมาทเลย     พึงอุตสาหะกระทำการกุศลประพฤติซึ่งศาสนพรหมจรรย์    นตฺถิชาตสฺส     อมรณํ       อันเกิดมาแล้วก็มีความตายเป็นที่สุด    
   มีพระพุทธฎีกาตรัสเทศนาอลังกตสูตรมีความเปรียบชีวิตสัตว์    ด้วยอุปมา     ๗   ประการ    ดุจนัยที่พรรณนามาฉะนี้แล้ว    อปรํปิ    อาห       สมเด็จพระพุธองค์เจ้าก็มีพระพุทธฎีกาตรัสพระธรรมเทศนาอันอื่นสืบต่อไปเล่าว่า  โยจายํ    ภิกฺขเว    ภิกฺขุ    เอวํ        มรณสฺสตึ    ภาเวติ     อโห      วตาหํ    รตฺตินฺทิวํ      ชีเวยฺยํ      ภควโต    สาสนํ    มนสิกเรยฺยํ       พหุ ํ     วต   เม    กตํ     อสฺส        ดูก่อนภิกษุทั้งปวง      ภิกษุในบวรพุทธซาสนา     ที่มีศรัทธาจำเริญมรณานุสสตินั้นองค์ใดแลกระทำมนสิการว่า    อโห   วต       ดังเราปรารถนาดังเราวิตก      อาตมานี้ถ้ามีชีวิตอยู่สิ้นทั้งกลางวันแลกลางคืน      อาตมาก็จะมนสิการตามคำสิ่งสอนแห่งสมเด็จพระผู้มีพระภาค    อันเป็นเหตุที่จะนำมาซึ่งปฏิเวธธรรม    คืออริยมรรคอริยผล       อาตมาจะประพฤติบรรพชิตกิจ    อันเป็นปนะโยชน์แก่ตนนั้นให้มากอยู่ในขันธสันดาน   ตราบเท่ากำหนดชีวิตอันอาตมาประพฤติเป็นไปในวันหนึ่งคืนหนึ่งนั้น    ดูกรภิกษุทั้งปวง    ภิกษุรูปใดมีมรณสติระลึกเห็นความตาย   มีกำหนดชีวิตวันหนึ่งกับคืนหนึ่งด้วยประการฉะนี้    ตถาคตตรัสว่า    ภิกษุรูปนั้นจำเริญมรณานุสสติยังอ่อนอยู่   ยังช้าอยู่ประกอบด้วยความประมาท    
   แลภิกษุอันมีสติระลึกเห็นความตายมีกำหนดแต่เช้าจนค่ำนั้นก็ดี    ที่ระลึกเห็นความตายมีกำหนดเพียงเพลาฉันจังหันมื้อ   ๑   นั้นก็ดี    ที่ระลึกถึงความตายมีกำหนดเพียงเพลาฉันหังได้   ๔ , ๕    ปั้นนั้นก็ดี       ภิกษุทั้งหลายนี้ตถาคตก็ตรัสว่ายังประกอบอยู่ด้วยความประมาท     จำเริญมรณานุสสติเพื่อให้สิ้นอาวะนั้นยังอ่อนยังช้าอยู่มรณสติ     นั้นยังมิได้กล้าหาญก่อน    ภิกษุรูปใดจำเริญมรณานุสสติระลึกเห็นความตายทุกคำจังหันระลึกเห็นความตาย    ทุกขณะลมอัสสาสะ   ปัสสาสะ      กระทำมนสิการว่าถ้าอาตมายังมีชีวิตอยู่สิ้นเพลากลืนจังหันคำ    ๑   นี้    ยังมีชีวิตอยู่สิ้นเพลาอันระบายลมหายใจออกไปที   ๑       นี้อาตมาก็จะมนสิการตามคำสั่งสอนแห่งสมเด็จพระบรมศาสดาจารย์เจ้า   จะประพฤติบรรพชิตกิจอันเป็นประโยชน์แก่ตน     ให้มากอยู่ในขันธสันดานแห่งอาตมา    
  ดูกรภิกษุทั้งหลาย     ภิกษุอันเห็นความมรณะทุก   ๆ    คำจังหัน    ทุก  ๆ    อัสสาสะ   ปัสสาสะเห็นปานฉะนี้    พระตถาคตสรรเสริญว่ามีมรณสติอันกล้าหาญว่าประกอบด้วย    พระอัปปมาทธรรมอันบริบูรณ์   ว่าว่องไว     ที่จะได้สำเร็จอาสวขัย     ขึ้นชื่อว่าอาการอันเป็นไปแห่งชีวิตนี้น้อยนัก    ที่จะวิสสาสะกับชีวิตของอาตมาว่ายั่งยืนไปอยู่    อาตมายังไม่ถึงมรณภาพก่อนจะวิสสาสะไว้ใจบ่ได้     สมเด็จพระมหากรุณาพระพุทธฎีกาตรัสฉะนี้   นักปราชญ์พึงสันนิษฐานว่า     พระโยคาพจรผู้จำเริญมรณานุสสติภาวนานั้น    พึงระลึกโดยอันทธานปริจเฉทตามนัยพระพุทธฎีกา    ที่สมเด็จพระมหากรุณาธิคุณเจ้าตรัสพระธรรมเทศนา    โดยวิธีพรรณนามาฉะนี้   
  แลอาการเป็นคำรบ    ๘    ซึ่งว่าให้พระโยคาพจรระลึกถึงความตายโดยขณะปริตตะนั้น    คือให้พระโยคาพจรระลึกให้เห็นว่า  ปริตฺโต     สตฺตานํ    ชีวิตกฺขโณ   เอกจิตฺตปฺปวตฺติมตฺ    โตเยว     ชีวิตขณะแห่งสัตว์ทั้งปวงนี้น้อยนักประพฤติเป็นไปมาตรว่าขณะจิตอันหนึ่ง    ซึ่งมีพระพุทธฎีกาตรัสด้วยนัยเป็นต้นว่าชีวิตแห่งสัตว์แห่งสัตว์ที่ยืนนานมีประมาณได้ร้อยปีนั้น   ว่าด้วยสามารถชีวิตินทรีย์อันประพฤติเป็นไปมีด้วยภพละอัน  ๆ   ว่าโดยสมมติโวหาร    ถ้าจะว่าโดยปรมัตถ์นั้น       ถ้าว่าถึงภังคขณะแห่งจิตที่ใดก็ได้ชื่อว่ามรณะที่นั้นได้อุปปาทขณะแลฐิติขณะแห่งจิตนั้นได้ชื่อว่ามีชีวิตอยู่      ครั้นย่างเข้าภังคขณะแล้ว   ก็ได้ชื่อว่าดับสูญหาชีวิตบ่มิได้    แต่ทว่ามรณะในภังคขณะนั้น        พ้นวิสัยที่สัตว์ทั้งปวงจะหยั่งรู้หยั่งเห็น    เหตุว่าขณะแห่งจิตอันประพฤติเป็นไปในสันดานแห่งเราท่านทั้งปวงนี้เร็วนัก      ที่จะเอาสิ่งใดมาเปรียบเทียบนั้นอุปมาได้เป็นอันยาก      
  ดุจพระพุทธฎีกาโปรดไว้  นาหํ     ภิกฺขเว    อญฺญํ    เอกธมฺมํปิ    ปสฺสามิ     เอวํ      ลหุปริวตฺตํ     ยถยิทํ    ภิกฺขเว     จิตฺตํ       แปลว่าดูกรสงฆ์ทั้งปวง    ลหุปริวตฺตจิตฺติ    จิตนี้มีสภาวะพระพฤติเป็นอันเร็วยิ่งนัก     ธรรมชาติอื่น  ๆ   ซึ่งจะว่องไวรวดเร็วเหมือนจิตนี้    พระตถาคตพิจารณาไม่เห็นสักสิ่งหนึ่งเลย   เสยฺยถาปิ    ภิกฺขเว        จตฺตาโร    ทฬฺธมฺมา    ธนุคฺคหา       ดูกรสงฆ์ทั้งหลาย       นายขมังธนูทั้ง   ๔    อันฝึกสอนเป็นอันดีในศิลปศาสตร์ธนูแม่นยำชำนิชำนาญนั้น     ออกยืนอยู่ในทิศทั้ง   ๔    ด้วยยิงลูกธนูไปพร้อมกัน    ยิงไปคนละทิศ   ๆ    ลูกศรอันแล่นไปในทิศทั้ง    ๔      ด้วยกำลังอันเร็วฉับพลันเห็นปานดังนั้น    
    แม้บุรุษที่มีกำลังอันรวดเร็วยิ่งกว่าลมพัดเล่นไปในทิศข้างตะวันออก     ฉวยเอาลูกศรในทิศข้างตะวันออกนั้นได้แล้วกลับแล่นมาข้างทิศตะวันตกฉวยได้ลูกศรข้างตะวันตกนี้    เล่าแล้วก็แล่นไปข้างฝ่ายเหนือฝ่ายใต้    ฉวยเอาลูกศรได้ในอากาศทั้ง   ๔    ทิศลูกศรทั้ง    ๔    ทิศนั้นบ่มิได้ตกถึงพื้น ปถพี   เอวรูโป     ปุริสเวโค        กำลังบุรุษอันว่องไวรวดเร็วยิ่งกว่าลมเห็นปานดังนี้      จะเอามาเปรียบความเร็วแห่งจิตนี้ก็มิอาจจะได้   จนฺทิมสุริยานํ   ชโว     ถึงเร็วแห่งพระจันทร์มณฑลเร็วแห่งพระสุริยมณฑลเร็วแห่งเทวดาที่แล่นหนีหน้าจันทรมณฑลนั้นได้ก็ดี         จะเอามาเปรียบด้วยรวดเร็วแห่งจิตนี้   ก็มิอาจเปรียบได้          อุปมาปิ   น    สุกรา     ดูกรสงฆ์ทั้งปวง     ขึ้นชื่อว่าเร็วแห่งจิตนี้ที่จะเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง    อุปมานั้นอุปมาบ่มิได้ด้วยง่าย    มีพระพุทธฎีกาตรัสแก่สงฆ์ทั้งปวงด้วย
  ประการฉะนี้   นักปราชญ์พึงสันนิษฐานว่า    จิตอันประพฤติเป็นไปในสันดานเกิดแล้วดับ   ๆ   แล้วเกิด   เป็นขณะ   ๆ   กันนั้น   จะได้ว่างได้เว้นจะได้ห่างกันหาบ่มิได้    เนื่องกันบ่มิได้ขาด    ดุจกระแสน้ำอันไหลหลั่งถั่งไปบ่มิได้ขาดสายขึ้นสู่วิถีแล้วลงภวังค์เล่าลงสู่ภวังค์แล้วขึ้นสู่วิถีแล้ว    จิตดวงนี้ดับดวงนั้นเกิดเป็นลำดับเวียนกันไป    ดุจกงรถอันหันเวียนไปนั้นนักปราชญ์พึงสันนิษฐานว่า    ชีวิตแห่งสัตว์นี้เมื่อว่าโดยปรมัตถ์นั้น      มีกำหนดในขณะจิตอันหนึ่ง   ตสฺมึ   นิรุตฺตมตฺเต   แต่พอขณะจิตนั้นดับลงอันหนึ่ง      สัตว์นั้นก็ได้ชื่อว่าตายครั้งหนึ่ง    ดับ  ๒ , ๓   ขณะก็ได้ชื่อว่าตาย   ๒ , ๓     ครั้งดับร้อยขณะพันขณะจิตก็ได้ชื่อว่าตายร้อยครั้งพันครั้ง      ดับนับขณะไม่ถ้วนได้ชื่อว่าตายทุก  ๆ    ขณะจิตที่ดับ     
  ว่าฉะนี้สมกันกับอรรถปัญหา    ที่สมเด็จพระพุทธองค์ตรัสพระธรรมเทศนาในพระอภิธรรมว่า   อตีเต    จิตฺตกฺขเณ     ชีวิตฺถ     น    ชีวติ    น    ชีวิสฺสติ    อนาคเต    จิตฺตกฺขเณ   น    ชีวิตฺถ   น   ชีวิติ   น   ชีวิสฺสติ         ว่าสัตว์อันมีชีวิตในขณะจิตอันเป็นอดีตนั้นบ่มิได้มีชีวิตในปัจจุบัน      บ่มิได้มีชีวิตในอนาคต      สัตว์อันมีชีวิตในขณะจิตเป็นอนาคตนั้นก็บ่มิได้มีชีวิตในอดีตบ่มิได้มีชีวิตในปัจจุบัน     สัตว์มีชีวิตในขณะจิตเป็นปัจจุบัน       ก็บ่มิได้มีชีวิตในอดีต       บ่มิได้มีชีวิตในอนาคต     อรรถปริศนาอันนี้   สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าตรัสเทศนาไว้ว่าจะให้เห็นอธิบายว่า    ถ้าจะว่าโดยปรมัตถ์สัตว์อันมีชีวิตอยู่ในกาลทั้ง  ๓      คืออดีต     อนาคต     ปัจจุบัน      นั้นมีขณะได้ละ   ๓    ๆ       คืออุปปาทขณะประการ  ๑      ฐิติขณะประการ  ๑     ภังคขณะประการ  ๑      มีขณะ   ๓   ฉะนี้เหมือนกันสิ้นทุกขณะจิตจะได้แปลกกันหาบ่มิได้    แลขณะจิตแต่ละขณะ   ๆ   นั้น    มีนามแลรูปเป็นสหชาติ    เกิดพร้อมเป็นแผนก   ๆ  นี้   ดุจบาทพระคาถาอันสมเด็จพระพุทธองค์เจ้าตรัสพระธรรมเทศนาว่า    
  ชีวิตํ    อตฺตภาโว    จ    สุขทุกฺขา    จ    เกวลา    เอกจิตฺตสมายตฺตา    ลหุโส     วตฺตเต   ขโณ    เย    นิรุทฺธา      มรนฺตสฺส      ติฏฺมานสฺส     วาอิธ     สพฺเพปิ     สทิสา    ขนฺธา    คตา     อุปปฏิสนฺธิยา     อธิบายใยบทพระคาถาว่า       สหชาตธรรม    คือชีวิตอัตตภาพแลสุขแลทุกข์     แลสหชาตธรรมอันเศษจากสุขแลทุกข์แลชีวิตินทรีย์นั้น     ย่อมสัมปยุตต์ด้วยจิตแต่ละอัน  ๆ    อันมีเหมือนกันทุก  ๆ   ขณะจิต      แลสหชาตธรรมทั้งหลายนั้น     จะได้เจือจานกันนั้นหาบ่มิได้      เกิดพร้อมกันด้วยขณะจิตอันใด    ก็เป็นแผนกแยกย้ายอยู่ตามขณะจิตอันนั้น    แลขณะอันเกิดแห่งสหชาตธรรม   คือสุขแลทุกข์แลชีวิตินทรีย์เป็นต้นนั้น    ก็รวดเร็วว่องไวพร้อมกันกับขณะจิต 
  เย   นิรุทฺธา    มรนฺตสฺส    ติฏมานสฺส    วา   อิธ     แลขันธ์ทั้งหลายแห่งบุคคลอันตราย    แลถึงซึ่งดับพร้อมด้วยจุติจิตกับขันธ์แห่งบุคคลอันบ่มิได้ตาย   แลถึงซึ่งดับในภวังคขณะนอกจากจุตินั้นจะได้แปลกกันหาบ่มิได้   สพฺเพปิ     สทิสา     เหมือนกันสิ้นทั้งปวง    แต่ทว่าขันธ์ดับพร้อมด้วยจุติจิตนั้น     มีปฏิสนธิเกิดตามลำดับคือปฏิสนธิจิตซึ่งถือเอาอารมณ์แห่งชวนะในมรณาสันนวิถีมีกรรม    แลกรรมนิมิตเป็นอารมณ์นั้นบังเกิดในลำดับแห่งจุติจิต     ก็ฝ่ายว่าขันธ์ซึ่งดับในภวังคขณะทั้งปวงนอกจากจุติจิตนั้น    จะได้มีปฏิสนธิจิตนั้นเป็นลำดับหาบ่มิได้มีจิตอื่นนอกจากปฏิสนธิจิตเกิดเป็นลำดับ      ตามสมควรแก่อารมณ์ซึ่งประพฤติเป็นไปในสันดานนักปราชญ์พึงสันนิษฐานว่า    ในมรณาสันนวิถีที่จะใกล้ถึงแก่มรณะนั้นเมื่อยังอีก    ๑๗   ขณะจิต   
  แลจะถึงซึ่งจุติจิตแล้วแต่บรรดาขณะจิต   ๑๗     ขณะเบื้องหลังแต่จุติจิตนั้น    จะได้มีกัมมัชชรูปบังเกิดด้วยหาบ่มิได้แลกัมมัชชรูปซึ่งบังเกิดแต่ก่อนนั้น    ก็ไปดับลงพร้อมกันกับจุติจิต      ครั้นกัมมัชชรูปดับแล้ว  ลำดับนั้นจิตตัชชรูปแลอาหาร  รัชชรูปนั้นก็ดับไปตามกัน    ยังอยู่แต่อุตุชรูปประพฤติเป็นไปในซากกเฬวระนั้น    ตราบเท่ากว่าจะแหลกละเอียดด้วยอันตรธานสาบสูญไป    อย่างนี้นี่เป็นธรรมแห่งขันธ์ดับพร้อมด้วยจุติจิต    ฝ่ายว่าขันธ์ซึ่งดับในภวังคขณะทั้งปวง     นอกจากจุติจิตนั้นรูปกลาปยังบังเกิดเนือง  ๆ   อยู่ยังบ่มิได้ขาด       ปทีโปวิย   ดุจเปลวประทีปแลกระแสน้ำไหลอันบ่มิได้ขาดจากกัน     รูปที่บังเกิดขึ้นก่อน  ๆ  นั้น   มีอายุถ้วน   ๑๗     ขณะจิตแล้วก็ดับไป   ๆ       
  ที่มีอายุยังไม่กำหนดนั้น   ก็ยังประพฤติเป็นไปในสันดานบังเกิดนั้นรอง  ๆ   กันไปบ่มิได้หยุดหย่อน       ที่เกิด  ๆ  ขึ้นที่ดับ  ๆ  ไป      รูปกลาปทั้งปวงบ่มิได้ขาดจากสันดานนักปราชญ์พึงสันนิษฐานแม้ว่ารูปกลาปบังเกิดติดเนื่องอยู่ก็ดี       เมื่อขณะจิตดับลงนั้น    จักได้ชื่อว่าถึงมรณะ   เอวํ   ขณปริตฺตโต    มรณํ   อนุสฺสริตพํพํ     พระโยคาพจรผู้จำเริญมรณานุสสติภาวนานั้น   พึงระลึกถึงความตายโดยขณะปริตตะ    โดยนัยอันพระพุทธองค์ตรัสเทศนาดังพรรณนามาฉะนี้     อิติมิเมสํ     ถ้าพระโยคาพจรเจ้าระลึกได้แต่ในอันใดอันหนึ่ง    แลกระทำมนสิการเนือง  ๆ    อยู่แล้วจิตอันมีพระกรรมฐานเป็นอารมณ์นั้น   ก็ถึงซึ่งภาวนาเสวนะ      จะกล้าหาญในการภาวนา      สติที่มีมรณะเป็นอารมณ์นั้นก็จะตั้งอยู่เป็นอันดี    บ่มิได้ว่างได้เว้น    จะข่มซึ่งนิวรณธรรมทั้งปวงเสียได้     องค์ฌานก็จะบังเกิดปรากฏแต่ทว่าไม่ถึงอัปปนา     จะได้อยู่แต่เพียงอุปจาระ  
  เหตุว่ามรณะซึ่งอารมณ์นั้นเป็นสภาวธรรม      เป็นวัตถุที่จะให้บังเกิดสังเวชเมื่อถือเอามรณะเป็นอารมณ์แลระลึกเนือง   ๆ        มักนำมาซึ่งความสะดุ้งจิตในเบื้องหน้า  ๆ      เหตุดังนั้นภาวนาจิตอันประกอบด้วยมรณสตินั้น     จึงมิอาจถึงอัปปนาได้   อยู่แต่เพียงอุปจาระ   จึงมีคำปุจฉาสอดเข้ามาว่า    โลกุตตรฌาน  แลจตุตถารูปฌานก็มีอารมณ์เป็นสภาวธรรม      ดังฤๅจึงตลอดขึ้นไปถึงอัปปนาเล่า      มีคำรบว่า     จริงอยู่   แลทุติยารูปฌานขึ้นเป็นอารมณ์เป็นสภาวธรรม      จริงอยู่ซึ่งว่าโลกกุตตาฌานตลอดขึ้นไปถึงอัปปนานั้นด้วยภาวนาพิเศษ    คือจำเริญวิสุทธิภาวนาขึ้นไปโดยลำดับ  ๆ    แม้อารมณ์เป็นสภาวธรรมก็ดีอานุภาพที่จำเริญวิสุทธิภาวนาเป็นลำดับ  ๆ     ขึ้นไปนั้นให้ผล    ก็อาจจะตลอดขึ้นไปได้ถึงอัปปนาฌาน     ซึ่งทุติยารูปฌานแลจตุตถารูปฌาน    มีอารมณ์เป็นสภาวธรรมตลอดขึ้นไปได้ถึงอัปปนานั้น      ด้วยสามารถเป็นอารัมมณมติกกมะภาวนา   คือทุติยารูปนั้นล่วงเสีย    ซึ่งอารมณ์แห่งปฐมารูปจตุตถารูปนั้นล่วงเสียซึ่งอารมณ์ตติยารูป    
  เหตุฉะนี้แม้อารมณ์เป็นสภาวธรรมก็ดี    ก็อาจจะถึงอัปปนาได้ด้วยอารัมมณสมติกกะภาวนาในมรณานุสสติ    หาวิสุทธิภาวนา    แลอารัมมณสติกกมะภาวนาบ่มิได้       เหตุฉะนี้พระโยคาพจรผู้จำเริญมรณานุสสตินั้น    จึงได้อยู่แต่อุปจารฌานแลอุปจารฌานที่พระโยคาพจรเจ้าได้   ในที่จำเริญมารณานุสสตินั้น   ก็ถึงซึ่งร้องเรียกว่า    มรณานุสสติอุปจารฌาน  ด้วยสามารถที่บังเกิดด้วย  มรณสติ   อิมํ   จ   ปน     มรณรสติมนุยุตฺโต    ภิกฺขุ     บุคคลผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารเมื่อเพียรพยายามจำเริญมรณานุสสติภาวนานี้    ก็จะละเสียซึ่งความประมาท   จะได้ซึ่งสัพพภเวสุอนภิรตสัญญา    คือ   จังบังเกิดความกระสันเป็นทุกข์ปราศจากที่จะอยู่ในภพทั้งปวง  
    ชีวิตนิกนฺตึ   ชหติ   จะละเสียได้ซึ่งความยินดีในชีวิต   บ่มิได้รักชีวิต    จะติฉินนินทาซึ่งการเป็นบาป      จะมากไปด้วยสัลลเลขสันโดษคือมักน้อย     ไม่สั่งสมซึ่งของบริโภค     ปริกฺขาเรสุ    วิคตมจฺเฉโร       จะมีมลทินคือตระหนี่อันปราศจากสันดาน   บ่มิได้รักใคร่ในเครืองบริขารทั้งปวง      ก็จะถึงซึ่งคุ้นเคยในอนิจจสัญญา      จะเห็นอนิจจังในรูปธรรม   แล้วก็จะได้ทุกขสัญญา     อนัตตสัญญาอันปรากฏด้วยสามารถระลึกตามอนิจจสัญญาเห็นอนิจจังแล้ว    ก็จะเป็นคุณที่จะให้เห็นทุกขัง      เห็นอนัตตา        เมื่อเห็นพระไตรลักษณญานปรากฏแจ้งในสันดานแล้ว       ถึงเมื่อจะตายก็มิได้กลัวตายจะได้สติอารมณ์   บ่มิได้ลุ่มหลงฟั่นเฟือนสติ    แลบุคคลที่มิได้จำเริญมรณานุสสตินั้น   
  ครั้นมาถึงมรณสมัยกาลเมื่อจะใกล้ตายแล้วก็ย่อมบังเกิดความสดุ้งตกใจกลัวความตายนั้นเป็นกำลัง     ดุจบุคคลอันพาลมฤคราชร้ายครอบงำไว้จะกินเป็นภักษาหาร     ถ้ามิฉะนั้นดุจบุคคลที่อยู่ในเงื้อมมือแห่งโจร    แลเงื้อมมือแห่งนานเพชฌฆาต   มีความสะดุ้งตกใจทั้งนี้อาศัยด้วยมิได้จำเริญมรณานุสสติ       อันภาวะจำเริญมรณานุสสตินี้เป็นปัจจัยที่จะให้สำเร็จแก่พระนิพพาน    ถ้ายังมิได้สำเร็จพระนิพพานในชาตินี้     เมื่อดับสูญทำลายขันธ์ขาดชีวิตินทรีย์   แล้วก็จะมีสุคติภพเบื้องหน้าเหตุดังนั้น  พระโยคาพจรกุลบุตรผู้มีปรีชาเป็นอันดีอย่าประมาท    พึงอุตสาหะจำเริญมรณานุสสติภาวนา     อันประกอบด้วยคุณานิสงส์เป็นอันมาก   ดุจพรรณามาฉะนี้สิ้นกาลทุกเมื่อเถิด   ฯ