แลอุคคหโกศลเป็นปฐมซึ่งว่าให้สังวัธยายพระกรรมฐานให้ขึ้นปากนั้น คือให้สังวัธยายทวัตติงสาการกรรมฐาน แยกออกเป็นปัญจกะ ๔ เป็นฉกะ ๒ ปัญจกะ ๔ นั้น คือตจปัญจกะ ๑ วักกปัญจกะ ๑ ปัปผาสปัญฉกะ ๑ มัตถลุงปัจกะเป็น ๔ ด้วยกัน ฉกะ ๒ นั้นคือ เมทฉกะ ๑ มุตตฉกะ ๑ เป็น ๒ ด้วยกัน ในตจปัญจกะนั้นฝ่ายอนุโลม ๕ คือ เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ ฝ่ายปฏิโลม ๕ คือ ตโจ ทนฺตา นขา โลมา เกสา
ในวักกปัญจะกะนั้น ฝ่ายอนุโลม ๕ คือ มํสํ นหารู อฏิมิญฺชํ วกฺกํ ฝ่ายปฏิโลม ๕ คือ วกฺกํ อฏิมิญฺชํ อฏิ นหารู มํสํ ในปัปผาสะปัญจกะนั้น ฝ่ายอนุโลม ๕ คือ หทยํ ยกนํ กิโลมกํ ปิหกํ ปปฺผาสํ คือฝ่ายปฏิโลม ๕ ปปฺผาสํ ปิหกํ กิโลมกํ ยกนํ หทยํ
ในมัตถลุงคปัญจกะนั้น ฝ่ายอนุโลม ๕ คือ อนฺตํ อนฺตคุณํ อุทริยํ กรีสํ มตฺถลุงฺคํ ฝ่ายปฏิโลม ๕ คือ มตฺถลุงคํ กรีสํ อุทริยํ อนฺตคุณํ อนฺตํ ในเมทฉกะนั้น ฝ่ายอนุโลม ๖ คือ ปตฺติ เสมฺตํ ปุพฺโพ โลหิตํ เสโท เมโท ฝ่ายปฏิโลม ๖ คือ เมโท เสโท โลหิตํ ปุพฺโพ เสมฺหํ ปิตฺตํ
ในมุตตฉกะนั้น ฝ่ายอนุโลม ๖ คือ อสฺสุ วสา เขโฬ สิงฺฆานิกา ลสิกา มุตฺตํ ฝ่ายปฏิโลม ๖ คือ มุตฺตํ ลสิกา สิงฺฆานิกา เขโฬ วสา อสฺสุ
พระโยคาพจรพึงสังวัธยายด้วยวาจาในตจปัญจกะนั้นว่า เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ เป็นอนุโลมดังนี้ให้ได้ ๕ วัน แล้วถึงสังวัธยายเป็นปฏิโลมถอยหลังว่า ตโจ ทนฺตา นขา โลมา เกสา ให้ได้ ๕ วันอีกเล่า แล้วจึงสังวัธยายให้เป็นอนุโลมปฏิโลมว่า เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ ทนฺตา นขา โลมา เกสา ให้ได้ ๕ วันอีก สิริฝ่ายอนุโลม ๕ ฝ่ายอนุโลม ๕ ฝ่ายอนุโลมปฏิโลม ๕ จึงเป็นกึ่งเดือนด้วยกัน เมื่อสังวัธยายในตจปัญจกะได้กึ่งเดือนแล้ว จึงไปสู่สำนักอาจารย์เรียนเอาซึ่งวักกปัญจกะ สังวัธยายปัญจกะเป็นอนุโลมว่า มํสํ นหารู อฏิ อฏิมิญฺชํ วกฺกํ ดังนี้ให้ได้ ๕ วัน แล้วจึงวัธยายเป็นปฏิโลทว่า วกฺกํ อฏิมิญฺชํ อฏิ นหารู มํสํ ดังนี้ให้ได้ ๕ วันอีกเล่าแล้วสังวัธยายเป็นอนุโลมปฏิโลมว่า มํสํ นหารู อฏิมิญฺชํ วกฺกํ วกฺกํ อฏิมิญฺชํ อฏิ นหารู มํสํ ให้ได้ ๕ วันอีก
สิริวันในวักกปัญจกะฝ่ายอนุโลม ๙ ฝ่ายปฏิโลม ๕ ฝ่ายอนุโลมปฏิโลม ๕ จึงเป็นกึ่งเดือนด้วยกัน ทสโกฏาเส เอกโต หุตฺวา ครั้นแล้วจึงเอาตจปัญจกะกับวักกะปัญจกะผสมเข้ากัน สังวัธยายเป็นอนุโลมตั้งแต่เกศาตลอดจนถึงวักกัง ให้ได้ ๕ วัน แล้วจึงวัธยายเป็นปฏิโลมถอยหลังลงมา แต่วักกังตราบเท่าถึงให้เกศาให้ได้ ๕ วันอีกเล่า แล้วจึงสังวัธยายเป็นอนุโลมปฏิโลมว่า เกสา โลมา ขนา ทตฺตา ตโจ มํสํ ตโจ นหารู อฏิ อฏิมิญฺชํ วกฺกํ วกฺกํ อฏิมิญฺชํ อฏิ นหารู มํสํ ตโจ ทนฺตา นขา โลมา เกสา สังวัธยายดังนี้ให้ครบ ๕ วันอีก สิริฝ่ายอนุโลม ๕ วัน ปฏิโลมปฏิโลม ๕ วัน จึงเป็นกึ่งเดือนด้วยกัน เบื้องหน้าแต่นั้นพึงสังวัธยายในปัปผาสปัญจกะเป็นอนุโลมว่า หทยํ ยกนํ กิโลมกํ ปปฺผาสํ ปิหกํ ปปฺผาสํ ดังนี้ให้ได้ ๕ วัน แล้วจึงสังวัธยายเป็นปฏิโลมว่า ปปฺผาสํ ปิหกํ กิโลมกํ ยกนํ หทยํ ให้ได้ ๕ วันอีกเล่า ครั้นแล้วจึงสังวัธยายเป็นอนุโลมปฏิโลมว่า หทยํ ยกนํ กิโลมกํ ปิหกํ ปปฺผาสํ ปปฺผาสํ ปิหกํ กิโลมกํ ยกนํ หทยํ สังวัธยายดังนี้ให้ครบ ๕ วันอีก
สิริฝ่ายอนุโลม ๕ วัน ปฏิโลม ๕ วัน อนโลมปฏิโลม ๕ วัน จึงเป็นกึ่งเดือนด้วยกันเบื้องหน้าแต่นั้นจึงเอาโกฏฐาสทั้ง ๑๕ ผสมกัน สังวัธยายเป็นอนุโลมตั้งแต่เกศาตราบเท่าถึงปัปผาสังให้ได้ ๕ วันแล้ว จึงสังวัธยายเป็นปฏิโลมถอยหลังแต่ปัปผาสังลงมา ตราบเท่าถึงเกศาให้ได้ ๕ วันอีกเล่า แล้วจึงสังวัธยายเป็นอนุโลมปฏิโลมให้ครอบ ๕ วันอีกเล่า จึงเป็นกึ่งเดือนด้วยกัน ลำดับนั้นจึงไปสู่สำนักอาจารย์เรียนมัตถลุงคะปัญจกะได้แล้ว จึงสังวัธยายเป็นอนุโลมว่า อนฺตํ อนฺตคฺณํ อุทริยํ กรีสํ มตฺถลุงฺคํ ให้ได้ ๕ วันแล้วจึงสังวัธยายเป็นปฏิโลมว่า มตฺถลุงฺคํ กรีสํ อุทริยํ อนฺตคุณํ อนฺตํ ให้ได้ ๕ วันแล้ว จึงสังวัธยายเป็นอนุโลมปฏิโลมให้ครอบ ๕ วันอีกเล่า
ตโต เต วีสติโกฎฺาเส ลำดับนั้นจึงเอาโกฏฐาสทั้ง ๒๐ ผสมกันเข้า สังวัธยายเป็นอนุโลม ๕ วัน ปฏิโลม ๕ วัน อนุโลมปฏิโลม ๕ วัน จึงเป็นกึ่งเดือนด้วยกัน ตโต เมทฉกํ อุคฺคณฺหิตฺวา ลำดับนั้นจึงไปสู่สำหนักอาจารย์เรียนเอาซึ่งเมทฉกะได้แล้ว จึงสังวัธยายเป็นอนุโลมว่า ปิตฺตํ เสมฺหํ ปุพฺโพ โลหิตํ เสโท เมโท ดังนี้ให้ได้ ๕ วันแล้ว จึงวัธยายเป็นปฏิโลมว่า เมโท เสโส โลหิตํ ปุพฺโพ เสมฺหํ ปิตฺตํ ดังนี้ให้ได้ ๕ วันแล้ว จึงสังวัธยายเป็นอนุโลมปฏิโลมว่า ปิตฺตํ เสมฺตํ ปุพฺโพ โลหิตํ เสโท เมโท เมโท เสโส โลหิตํ ปุพฺโพ เสมฺหํ ปิตฺตํ ให้ครอบ ๕ วันอีก
ตโต มุตฺตฉกํ อุคฺคณฺหิตฺวา ลำดับนั้น จึงเรียนเอาซึ่งมุตตฉกะสังวัธยายเป็นอนุโลมว่า อสฺสุ วสา เขโฬ สิงฺฆานิกา ลสิกา มุตฺตํ ดังนี้ให้ได้ ๕ วัน จึงสังวัธยายว่า มุตฺตํ ลสิกา สิงฺฆานิกา เวโฬ วสา อสฺสุ ดังนี้ให้ได้ ๕ วันอีกเล่า ครั้นแล้วจึงสังวัธยายเป็นอนุโลมปฏิโลมว่า อสฺสุ วสา เขโฬ สิงฺฆานิกา ลสิกา มุตฺตํ มุตฺตํ ลสิกา สงฺฆานิกา เขโฬ วสา อสฺสุ ให้ครอบ ๕ วันอีก ตโตปิ ทฺวตฺตึสโกฏฐาเส ลำดับนั้นจึงเอาโกฏฐาสทั้ง ๓๒ ผสมกันสังวัธยายเป็นอนุโลมตั้งแต่เกศาไปตราบเท่าถึงมุตตังให้ได้ ๕ วัน แล้วจึงสังวัธยายถอยหลังแต่มุตตังไปตราบเท่าถึงเกศาให้ได้ ๕ วันอีกเล่า แล้วจึงสังวัธยายเป็อนุโลมปฏิโลมให้ได้ ๕ วันอีก นับจำเดิมแต่ต้นมาผสมกันเข้าเป็นเดือนนั้น คิดตามเดือนถ้วนได้ ๖ เดือนกัน อุปนิสฺสยสมฺปนฺนสฺส พระภิกษุอันบริบูรณ์ไปด้วยอุปนิสัย ประกอบด้วยปัญญาแก่กล้านั้น
เมื่อสังวัธยายพระกรรมฐานโดยนัยดังพรรณนามาฉะนี้ โกฏฐาสทั้ง ๓๒ มีเกศาเป็นต้นนั้น ก็จะปรากฏแจ้งในมโนทวารจะสำเร็จกิจอุคคหนิมิต แลปฏิภาคนิมิตโดยง่ายเพราะเหตุบริบรูณ์ด้วยอุปนิสัย เอกจฺจสฺส อุปฏหนฺติ พระภิกษุบางจำพวกที่หาอุปนิสัยมิได้ สังวัธยายพระเทวทัตติงสาการกรรมฐานโดยนัยดังพรรณนามาฉะนี้ ถ้วนกำหนด ๖ เดือนแล้ว ยังมิได้สำเร็จอุคคหนิมิตแลปฏิภาคนิมิต ก็พึงอุตสาหะกระทำความเพียรให้ยิ่งขึ้นไปกว่ากำหนด ๖ เดือน อย่าได้มาละเสียซึ่งความเพียร มชฺฌิมปญฺญสฺส วเสน ข้อซึ่งกำหนดไว้ให้สังวัธยายถ้วนกำหนดครบ ๖ เดือนนี้ ว่าด้วยสามารถภิกษุมีปัญญาเป็นท่ามกลาง จะว่าด้วยสามารถภิกษุมีปัญญากล้า แลภิกษุมีปัญญาอ่อนนั้นหามิได้
กำหนด ๖ เดือนนี้กำหนดเป็นอย่างกลาง กาลเมื่อสังวัธยายทวัตติงสาการกรรมฐานนั้น แม้ว่าโกฏฐาสทั้ง ๓๒ ปรากฏพร้อมในมโนทวาร บ่มิอาจจะให้สำเร็จกิจเป็นอุคคหนิมิตแลปฏิภาคนิมิตได้ทั้ง ๓๒ โกฏฐาส เฉพาะปรากฏแต่สิ่งหนึ่งสองสิ่งสำเร็จกิจเป็นอุคคหนิมิต แลปฏิภาคนิมิตแต่สิ่งหนึ่งสองสิ่งก็ตามเถิด สุดแท้แต่ปรากฏแจ้งเท่าใดก็ให้ถือเอาเท่านั้น เมื่อสังวัธยายทวัตติงสาการกรรมฐานนั้นอย่าได้พิจารณาโดยสี อย่าได้พิจารณาลักษณะมีแข็งกระด้างเป็นต้น พึงมนสิการกำหนดให้เป็นส่วน ๆ พิจารณาให้เห็นว่าเกศานั้นเป็นส่วน ๑ โลมานั้นเป็นส่วน ๑ นขานั้นเป็นส่วน ๑ ทันตานั้นเป็นส่วน ๑ ให้เห็นเป็นส่วน ๆ ดังนี้สิ้นทั้ง ๓๒ ประการ
วิธีสังวัธยายให้ขึ้นปากดุจพรรณนามานี้ จัดเป็นอุคคหโกศลเป็นปฐมเป็นปัจจัยแก่สังวัธยายด้วยจิต แลอุคคหโกศลเป็นปฐมเป็นปัจจัยแก่สังวัธยายด้วยจิต แลอุคคหโกศลเป็นคำรบ ๒ นั้น คือให้ พระโยคาพจรนิ่งระลึกถึงทวัตติงสาการกรรมฐานเป็นอนุโลมเป็นปฏิโลมเหมือนสังวัธยายด้วยวาจานั้น สังวัธยายด้วยจิตนี้เป็นปัจจัยให้ตรัสรู้โดยอสุภปฏิกูล แลอุคคหโกศลเป็นคำรบ ๓ ที่ว่าให้พิจารณาโดยสีนั้นคือให้กำหนดสีแห่งอาการ ๓๒ มีเกศาเป็นต้น แลอุคคหโกศลเป็นคำรบ ๔ ที่ว่าให้กำหนดโดยสัณฐานนั้น คือกำหนดสัณฐานแห่งอาการ ๓๒ มีเกศาเป็นต้น แลอุคคโกศลคำรบ ๕ ที่ว่าให้กำหนดโดยทิศนั้น คือให้กำหนดโดยทิศเบื้องต่ำ แลทิศเบื้องบน แห่งอาการ ๓๒ คือตั้งแต่นาภีขึ้นไปจัดเป็นทิศเบื้องบน ตั้งแต่นาภีลงมาจัดเป็นทิศเบื้องต่ำ
แลอุคคหโกศลคำรบ ๖ ที่ว่าให้พิจารณาโดยอากาสนั้น คือให้กำหนดที่ตั้งแห่งอาการ ๓๒ ว่าโกฏฐาสนี้ตั้งอยู่ในที่อันนี้ ๆ แลอุคคหโกศลเป็นคำรบ ๗ ที่ว่าให้กำหนดปริจเฉทนั้น ปริเฉทมี ๓๒ ประการ คือสภาคปริจเฉทประการ ๑ วิสภาคประเฉทประการ ๑ สภาคปริจเฉทนั้น คือกำหนดเป็นส่วนอาการโกฏฐาสอันกำหนดเบื้องต่ำตั้งอยู่เพียงนี้ กำหนดเบื้องสูงตั้งอยู่เพียงนี้กำหนดเบื้องขวาตั้งอยู่เพียงนี้ กำหนดอย่างนี้แลเรียกว่ากำหนดโดยสภาคแลกำหนดโดยวิสภาคนั้น คือกำหนดโดยส่วนอันมิได้เจือกัน ว่าสิ่งนี้เป็นเกศาหาเป็นโลมาไม่ สิ่งนี้เป็นโลมาหาเป็นเกศาไม่ อย่างนี้แล เรียกว่าวิสภาคปริเฉท กำหนดโดยปริจเฉท ๒ ประการดังนี้ จัดเป็นอุคคหโกศลเป็นคำรบ ๗
แต่นี้จักพรรณาโดยสีสัณฐานเป็นต้นแห่งอาการ ๓๒ นั้นสืบต่อไปโดยนัยพิสดาร ให้พระโยคาพจรผู้จำเริญพระกายตาสติพระกรรมฐานนั้น พิจารณาว่าเกศาผมนี้มี ๙ ล้านเส้นเป็นประมาณ วณฺนโต ถ้าจะพิจารณาโดยสีมีสีดำเป็นปกติ ที่ขาวไปนั้นอาศัยความชราตามเบียดเบียน สณฺานโต ถ้าจะพิจารณาโดยสัณฐาน มีสัณฐานอันยาว ต้นเรียวปลายเรียวดุจคันชั่ง ทิสโต ผลนี้เกิดในทิศเบื้องบน บนศีรษะนี้แลเรียกว่าทิศเบื้องบน โอกาสโต ถ้าจะว่าโดยโอกาสผมนี้บังเกิดในหนังชุ่มอันหุ่มกระโหลกศีรษะแห่งเราทั้งปวง
ที่อยู่แห่งผมนี้ ข้างหน้ากำหนดโดยหลุมโดยแห่งคอข้างทั้ง ๒ กำหนดโดยหมวกหูทั้ง ๒ ปริจฺเฉทโต ถ้าพิจารณาโดยปริจเฉทกั้น ผมนี้มีกำหนดรากหยั่งลงไปในหนังหุ้มศีรษะนั้น วิหคฺคมตฺตํ มีประมาณเท่าปลายแห่งข้าวเปลือก อันนี้ว่าโดยกำหนดเบื้องต่ำ เบื้องบนที่ยาวขึ้นไปนั้นกำหนดโดยอากาศโดยขวางนั้น กำหนดด้วยเส้นแห่งกันแลกัน ถ้าพิจารณาโดยสภาคนั้น ผมนั้นบังเกิดขุมละเส้น ๆ จะไดบังเกิดขุมละ ๒ เส้น ๓ เส้นหามิได้ ถ้าจะพิจารณาโดยวิสภาค ผมนี้แปลกกับขนจะได้เหมือนกันกับขนนั้นหามิได้
แลผมนี้พระโยคาพจรพึงกำหนดโดยปฏิกูล ๕ ประการ คือปฏิกูลโดยสีประการ ๑ ปฏิกูลโดยสัณฐานประการ ๑ ปฏิกูลโดยกลิ่นประการ ๑ ปฏิกูลโดยที่เกิดประการ ๑ ปฏิกูลโดยที่อยู่ประการ ๑ เป็น ๕ ประการด้วยกัน ปฏิกูลโดยสีนั้น พึงพิจารณาว่าบุคคลอันบริโภคซึ่งข้าวยาคูแลข้าวสวย สิ่งของบริโภคทั้งปวงที่ชอบใจบริโภคนั้น ถ้าเห็นวัตถุอันใดมีสีเหมือนผม ตกลงอยู่ในสิ่งของปริโภคนั้นสำคัญว่าเป็นผมแล้ว ก็บังเกิดเกลียดชัง พิจารณาเป็นปฏิกูลโดยสีนั้นดังนี้ แลปฏิกูลโดยสัณฐานนั้นพึงพิจารณาให้เห็นว่า เมื่อบุคคลบริโภคโภชนาหาร สิ่งใดสิ่งหนึ่งในที่มืดนั้น ถ้าพบปะวัตถุอันใดอันหนึ่งมีสัณฐานเหมือนด้วยผม สำคัญว่าผมแล้วก็บังเกิดเกลียดชังหยิบทิ้งเสียบ้าง คายเสียบ้างเพราะเหตุสำคัญว่าผม
ผมนี้เป็นที่รักแต่เมื่อยังติดอยู่ในกาย ครั้นปราศจากกายแล้วก็เป็นที่เกลียดที่ชัง จะว่าไปไยถึงผมเล่า แม้แต่เส้นไหมใยบัวเป็นต้น ที่มีสัณฐานเหมือนด้วยผม ที่บุคคลสำคัญว่าผมนั้น ยังว่าเป็นที่เกลียดชังนักหนา พระโยคาพจรพึงพิจารณาให้เห็นเป็นปฏิกูลโดยสัณฐาน ดุจพรรณนามาฉะนี้ ที่ว่าพิจารณาให้เห็นเป็นปฏิกูลโดยกลิ่นนั้น คือให้พิจารณาว่าผมนี้ ถ้าบุคคลเพิกเฉยเสียไม่เอาใจใส่ทะนุบำรุงแล้วเหม็นสาบเหม็นสาง ถ้ามิดังนั้นถูกไฟ ๆ ไหม้แล้วก็เหม็นร้ายกาจหนักหนา พึงพิจารณาปฏิกูลโดยกลิ่นนั้นดุจพรรณามาฉะนี้
ที่ว่าให้พิจารณาปฏิกูลโดยที่เกิดนั้นคือให้พิจารณาว่า ผมนี้เกิดขึ้นในหนังอันหุ้มกะโหลกศีรษะ ชุ่มไปบุพพโลหิตน้ำดีแลน้ำเสลดเป็นต้น บังเกิดในที่อันพึงเกลียด ดุจผักอันบังเกิดในประเทศแห่งเว็จกุฎิ เป็นที่เกลียดแห่งบุคคลทั้งปวง ที่ว่าให้พิจารณาปฏิกูลโดยที่อยู่นั้น คือให้พิจารณาว่า ผมนี้เกิดขึ้นในที่อันพึงเกลียดแล้ว ก็จำเริญในที่อันพึงเกลียดพึงชังนั้นหาบ่มิได้ ดุจเสวาลชาติสาหร่ายเป็นต้น อันเกิดในที่ลามกแล้วแลจมอยู่ในที่ลามกนั้น พระโยคาพจรพึงพิจารณาเกศาโดยปฏิกูล ๕ ประการดังพรรณนามาฉะนี้ เบื้องหน้าแต่นั้นให้พระโยคาพจรกำหนดในโลมชาตินี้ ๙ โกฏิเส้น มีสีโดยมาก จะได้ดำไปสิ้นทั้งนั้นหามิได้ ที่สีขาวเหลืองนั้นก็มี
โอณตคตา มูลสณฺานา มีสัณฐานอันน้อมลงดังแล่งธนู นัยหนึ่งว่าสัณฐานดังรากตาล ถ้าจะกำหนดโดยที่เกิด ขนนี้เกิดในทิศทั้งปวง คือทิศเบื้องต่ำเบื้องบน กายกึ่งเบื้องต่ำ ตั้งแต่นาภีลงมานั้นชื่อว่าทิศเบื้องต่ำกาย กึ่งเบื้องบนนั้นตั้งแต่นาภีขึ้นไปชื่อว่าทิศเบื้องบน ถ้าจะว่าโดยปริเฉท ขนนี้กำหนดรากอันหยั่งลงไปในหนังนั้น ลิกฺขามตฺตํ ประมาณเท่าปลายเหล็กจานแลเมล็ดไข่เหา อันนี้เป็นกำหนดโดยเบื้องต่ำ เบื้องบนขึ้นไปนั้นกำหนดโดยอากาศโดยขวางนั้น กำหนดด้วยเส้นแห่งกันแลกัน ถ้าจะว่าโดยสภาค ขนนี้จะได้บังเกิดด้วย
ตั้งแต่ขุมละ ๒ เส้นนั้นมิได้มี ถ้าจะกำหนดโดยวิสภาค ขนนี้ต่างกับผม ให้พระโยคาพจร พิจารณาเป็น ปฏิกูลกรรมฐานว่าโลมชาติอันเกิดกับหนังอันหุ้มกายก็จริง หารู้จักกันไม่ เปรียบเหมือนหญ้าแพรกอันแตกงอกขึ้นในบ้านเก่า หญ้าแพรกบ้านเก่าบ่มิได้รู้จักซึ่งกันแลกัน ธรรมทั้งหลายนี้ปราศจากอาโภค ปราศจากเจตนาเป็นอัพยากฤต ย่อมสูญเปล่าเป็นปฏิกูลพึงเกลียด ใช่สัตว์ใช่บุคคลควรจะอนิจจังสังเวช มีกำลังพิจารณาโลมาแล้วเบื้องหน้าแต่นั้นให้พระโยคาพจรกำหนดในเขา ว่าเล็บแห่งบุคคลอันบริบูรณ์นั้นมีประมาณ ๒๐ มีสีขาวในที่อันพ้นเนื้อมีสีแดงในที่อันเนื่องกับด้วยเนื้อ มีสัณฐานดังโอกาสที่ตั้งแห่งตน นัยหนึ่งว่ามีสัณฐานดังเมล็ดมะซางโดยมาก นัยหนึ่งมีสัณฐานดังเกล็ดปลาสีขาวบังเกิดในทิศทั้ง ๒ ตั้งอยู่ในที่อันเป็นปฏิกูลเหมือนกันกับผม พระโยคาพจรพึงพิจารณาให้เห็นว่า เนื้อแลเล็บอยู่ด้วยกันก็จริงจะรู้กันก็หาบ่มิได้ เปรียบเหมือนปลายไม้กับเมล็ดในมะซางที่ทารกเสียบเข้าแล้ว แลถือเล่นบ่มิได้รู้จักซึ่งกันแลกันนั้น ธรรมทั้ง ๒ ปราศจากอาโภคแลเจตนาเป็นอัพยากฤต มีสภาวะสูญเปล่า ใช่สัตว์ใช่บุคคลพิจารณาเขาแล้ว
ตโต ปรํ เบื้องหน้าแต่นั้นให้พระโยคาพจรกำหนดให้ทันตาว่า ยสฺส ปริปุณฺณา ตสฺส ทฺวตฺตึส ทันตาของบุคคลที่ครบบริบูรณ์ ๓๒ บางคนก็น้อยลงมาก ๒๗ ๒๙ ก็มี ถ้าพิจารณาโดยสีมีสีอันขาว ทันตาของบุคคลที่มีสีเสมอนั้นดุจแผ่นสังข์อันบุคคลเจียระไนให้เสมอ ถ้ามิดังนั้นดุจไม้อันขาว อันตูมอันตั้งไวเสมอกัน ฟันของบุคคที่ซี่มิได้เสมอนั้นมีสัณฐานต่าง ๆ กัน ดุจระเบียบชายคาแห่งอาสนะอันเก่า หน้าฟัน ๔ ซี่นั้นมีสัณฐานดังเมล็ดในน้ำเต้าอันบุคคลปักวางไว้เหนือก้อนดิน เขี้ยวทั้ง ๔ นั้น มีสัณฐานดังดอกมะลิตูม มีปลายอันเเหลมขึ้นมาอันเดียว รากก็หยั่งลงไปรากเดียว กรามถัดเขี้ยวเข้าไปอย่างละซี่ ๆ นั้น มีสัณฐานดังไม้ค้ำเกวียน คือปลายรากนั้นเป็น ๒ ง่าม ที่สุดข้างปลายบนนั้นก็เป็น ๒ ง่าม กรามถัดเข้าไปอีกข้างซี่นั้นเป็น ๓ ปลายก็เป็น ๓ งาม กรามที่ถัดเข้าไปอีกข้างละซี่นั้นมีรากเป็น ๔ ง่าม ปลายก็เป็น ๔ ง่าม ฟันทั้งหลายนี้เกิดเหนือกระดูกเบื้องบนกระดูกคางเบื้องต่ำเป็นปฏิกูล พึงเกลียด ทันตากับกระดูกคางเบื้องบนเบื้องต่ำนั้น จะได้รู้จักก็หาไม่ เปรียบเหมือนเสาอันบุคคลตั้งลงไว้เหนือแผ่นศิลาปลายให้เข้าไปในพื้นเบื้องบน เสาแลแผ่นศิลามิได้รู้จักซึ่งกันและกันนั้น พึงพิจารณาทันตาเป็นปฏิกูลพึงเกลียดเหมือนกับเสา
แลหทัยนั้นเล่า ถ้าจะเอาแต่ผิวเบื้องบนประมวลเข้าให้สิ้นทั้งกาย ได้ใหญ่ประมาณเท่าเมล็ดในพุทรา มีสีนั้นต่าง ๆ กัน ดำก็มี หม่นก็มี เหลืองก็มี ขาวก็มี สัณฐานนั้นก็ต่าง ๆ กัน หนังนิ้วเท้านั้นมีสัณฐานดังรังไหม หนังเท้านั้นมีสัณฐานดังหนังเกือกอันหุ้มหัวแลส้น หนังแข้งนั้นมีสัณฐานดังใบตาลอันบุคคบห่อภัตต์ไว้ หนังขานั้นมีสัณฐานดังถุงอันยาวใส่เต็มไปด้วยข้าวสาร หนังตะโพกนั้นมีสัณฐานดังผ้ากรองน้ำอันเต็มไปด้วยน้ำ หนังสันหลังนั้นนั้นมีสัณฐานดังหุ้มแผ่นกระดาษ หนังท้องนั้นมีสัณฐานดังหนังอันหุ้มรางพิณ หนังอกมีสัณฐานดังหนังเป็น ๔ เหลี่ยม หนังแขนทั้ง ๒ นั้นมีสัณฐานดังหนังอันหุ้มแล่งธนู หนังมือมีสัณฐานดังฝักมีดโกน ถ้ามิดังนั้นดุจถุงอันใส่โล่เขน หนังนิ้วมือนั้นมีสัณฐานดังอันใส่ลูกกุญแจ หนังคอนั้นมีสัณฐานดังว่าเสื้อ หนังปากนั้นมีสัณฐานดังปรุเป็นช่องดุจว่ารังตั๊กแตน หนังศีรษะนั้นมีสัณฐานดังถลกบาตร
เมื่อพระโยคาพจรพิจารณานั้นพึงปลงปัญญาพิจารณาหนังศีรษะเบื้องบนก่อน แล้วจึงพิจารณาหนังอันหุ้มหน้า แล้วจึงพิจารณากระดูกหน้าผาก พรากหนังและกระดูกออกจากกัน พิจารณาให้เห็นหนังกระดูกต่างกัน พึงส่งปัญญาไปในระหว่างหนังกระดูก ดุจบุคคลอันล้วงมือเข้าไปภายในถลกบาตรอันใส่อยู่กับบาตร เมื่อพิจารณาหนังหน้าผากแล้วพึงพิจารณาหนังมือขวา แล้วจึงพิจารณาหนังมือซ้ายแล้วพิจารณาหนังเท้าเบื้องขวาเบื้องซ้าย พิจารณาถึงมาถึงอก พิจารณาขึ้นมาถึงคอ พิจารณาหนังคางเบื้องต่ำเบื้องบน ถ้าพิจารณาโดยทิศ หนังที่เกิดในทิศทั้ง ๒ ถ้าจะพิจารณาโดยโอกาส หนังนี้หุ้มอยู่ทั้วทั้งกาย ถ้าจะพิจารณาโดยปริจเฉท เบื้องต่ำเเห่งหนังนั้นกำหนดด้วยพื้นอันเป็นที่ตั้งเบื้องบน กำหนดโดยอากาศ พึงพิจารณาเป็นปฏิกูลพึงเกลียดแห่งหนังดุจกล่าวแล้วในเกศา
เบื้องหน้าแต่นั้นพึงพิจารณามังสังว่า สรีเร นา เปสิ สตปฺปเภทํ มงฺสํ ในกายนี้มีประเภท ๙๐๐ ชิ้น มีสีแดงดุจทองหลางป่า นัยหนึ่งว่าเหมือนดอกทองกวาวมีสัณฐานต่าง ๆ ชงฺฆมงฺสํ เนื้อแข็งนั้นมีสัณฐานดังใบตาลห่อข้าว บางอาจารย์ว่ามีสัณฐานดังดอกเกตอันตูม เนื้อขานั้นมีสัณฐานดังลูกศิลาบด เนื้อตะโพกมีสัณฐานดังก้อนเส้า เนื้อหลังมีสัณฐานดังเยื่อตาลสุก เนื้อสีข้างมีสัณฐานดังดินทาฝาฉาง เนื้ออันบุคคลทั้ง ๒ นั้น มีสัณฐานดังก้อนดินทั้งคู่อันบุคคลแขวนไว้ เนื้อแขนทั้ง ๒ นั้น มีสัณฐานดังหนูใหญ่ อันบุคคลตัดหางตัดศีรษะตัดเท้าถลกหนังเสียแล้วและวางซ้อนกันไว้ บางอาจารย์ว่ามีสัณฐานดังเนื้อสุนัข เนื้อแก้มนั้นมีสัณฐานดังเนื้อในกระเบาอันติดอยู่ ในประเทศแห่งแก้ม บางอาจารย์ว่ามีสัณฐานดังกบ เนื้อลิ้นนั้นมีสัณฐานดังกลีบอุบล เนื้อจมูกนั้นมีสัณฐานดังถึงอันบุคคลคว่ำไว้ เนื้อขุมตานั้นมีสัณฐานดังลูกมะเดื่อสุกกึ่ง เนื้อศีรษะนั้นมีสัณฐานดังดินอันบุคคลทากระเบื้องรมบาตรแต่บาง ๆ เมื่อกำหนดไปดังนี้เนื้อที่ละเอียดก็ปรากฏแก่ปรีชาจักษุ
ทิสโต ถ้าจะกำหนดโดยทิศ เนื้อนี้เกิดในทิศทั้ง ๒ ถ้าจะกำหนดโดนโอกาสเนื้อนั้นหุ้มอัฐิทั่วทั้ง ๓๐๐ ท่อน พระโยคาพจรพึงพิจารณาเป็นปฏิกูลกัมมัฏฐานว่า มังสังกับอัฐิ ๓๐๐ ท่อนอยู่ด้วยกันก็จริงหารู้จักกันไม่ เปรียบเหมือนฝาอันบุคคลทาด้วยดินปนแกลบ ฝาและดินก็หารู้จักกัน ไม่ใช่สัตว์ใช่บุคคล เป็นสภาวะสูญเปล่า ปริจฺเฉทโต ถ้าจะว่าโดยเบื้องต่ำแห่งมังสังนั้นก็กำหนดด้วยพื้นแห่งร่างอัฐิ เบื้องบนนั้นกำหนดด้วยหนังโดยขวาง กำหนดด้วยชิ้นแห่งมังสังนั้นเอง ตโต ปรํ เบื้องหน้าแต่นั้นพึงพิจารณาในเส้นว่าเส้นใหญ่ ๆ ๙๐๐ เส้นนั้นมีสีขาว บางอาจารย์ว่ามีสีดังน้ำผึ้ง มีสัณฐานดังดอกคล้าอันตูม เส้นที่เล็กลงไปกว่านั้นมีสัณฐานดังเชือกด้ายดักสุกร เส้นที่เล็กลงไปกว่านั้นมีสัณฐานดังเชือกเขายอดด้วน เส้นที่น้อยลงไปกว่านั้นมีสัณฐานดังพิณชาวสีหฬ ที่น้อยลงไปกว่านั้น มีสัณฐานดังเส้นด้าย เส้นในหลังมือหลังเท้านั้นมีสัณฐานดังเท้านก
เส้นเหนือศีรษะนั้นมีสัณฐานดังผ้าทุกุลพัสตร์เนื้อห่างอันบุคคลวางไว้เหนือศีรษะทารก เส้นในหลังนั้นมีสัณฐาน ดังแหและอวนอันบุคคลขึงออกตากไว้ในที่อันมีแดด เส้นทั้งหลายย่อมรัดรึงไว้ซึ่งกระดูก ๓๐๐ ท่อนเกี่ยวประสานอยู่ทั่วกรัชกาย ผูกพันกระดูก ๓๐๐ ท่อนนั้นไว้ เปรียบประดุจรูปหุ่นอันบุคคลร้อยไว้ด้วยสายยนต์ เส้นใหญ่ที่แล่นไปตามชายโครงเบื้องซ้ายนั้น ๕ เส้น เบื้องขวา ๕ เส้น เส้นใหญ่ทั้งหลายนี้ มีที่สุดเบื้องบนรวมกันที่คอนั้นสิ้น เส้นใหญ่ที่แล่นออกไปตามแขนซ้ายแขนขวานั้นข้างละ ๑๐ เส้น คือหน้าแขน ๕ เส้น หลังแขน ๕ เส้น เท้าทั้ง ๒ นั้นก็นับได้ข้างละ ๑๐ เส้น คือท้องขานั้น ๕ เส้น หลังขานั้น ๕ เส้นผสมเป็นเส้นใหญ่ ๒๐ เส้นด้วยกัน และเส้นที่น้อยลงไปกว่านั้นมีสัณฐานดังด้ายฝั้นก็มี มีสัณฐานดังเถากระพังโหมก็มี เกี่ยวประประสานไว้ซึ่งกระดูกน้อย ๆ ผูกเนื่องเข้ากันเอ็นใหญ่ ถ้าจะว่าโดยโอกาสเส้นนี้เกี่ยวประสานอยู่ทั่วทั้งกรัชกาย
ถ้าจะว่าโดยปิจเฉทนี้ เส้นนี้มีกำหนดเบื้องต่ำอยู่ในกระดูก ๓๐๐ ท่อน กำหนดเบื้องบนแห่งเส้นตั้งอยู่ในเบื้องขวานั้น มีกำหนดด้วยเส้นเหมือนกัน ให้พระโยคาพจรพิจารณาเป็นปฏิกูลกัมมัฏฐานว่า เส้นกับอัฐิ ๓๐๐ ท่อนผูกพันกันอยู่ก็จริง จะได้รู้จักกันก็หามิได้ เปรียบเหมือนตอกและหวายถักผูกฝาและมิได้รู้จักซึ่งกันและกัน ธรรมทั้งหลายนี้ใช่สัตว์ใช่บุคคลและมีสภาวะสูญเปล่า ตโต ปรํ เบื้องหน้าแต่นั้นพึงพิจารณาอัฐิว่า อัฐินี้มีประมาณ ๓๐๐ ท่อน คือกระดูกมือ ๖๔ กระดูกเท้า ๖๔ กระดูกอ่อนอาศัยอยู่เบื้องอยู่ในเนื้อนั้น ๖๔ กระดูกส้นเท้านั้น ๒ กระดูกข้อเท้านั้น ๒ รวมทั้ง ๒ ข้างเป็น ๔ กระดูกแข้ง ๒ กระดูกเข่าก็ ๒ ตะโพกก็ ๒ สะเอวก็ ๒ กระดูกสันหลังนั้น ๑๘ กระดูกซี่โครง ๒๔ กระดูกอก ๑๕ กระดูกหัวใจ ๑ กระดูกรากขวัญ ๒ กระดูกไหล่ ๒ กระดูกแขนก็ ๒ กระดูกศอกก็ ๒ รวมทั้ง ๒ ข้างเป็น ๔ กระดูกคอ ๗ กระดูกคาง ๒ กระดูกจมูก ๑ กระดูกกระบอกตา ๒ กระดูกหู ๒ กระดูกหน้าผาก ๑ กระดูกสมอง ๑ กระดูกศีรษะ ๙ อันผสมเป็น ๓๐๐ ท่อน ๑ ด้วยกัน กระดูกทั้งหลายนี้มีสีอันขาว มีสัณฐานนั้นต่าง ๆ กัน
กระดูกปลายนิ้วเท้านั้นมีสัณฐานดังลูกบัว กระดูกกลางนิ่วเท้านั้นดังเมล็ดขนุนหนัง กระดูกต้นข้อแห่งนิ้วเท้ามีสัณฐานดังบัณเฑาะว์ กระดูกนิ้วเท้านั้นมีสัณฐานดังกองแห่งดอกคล้า อันหล่น กระดูกส้นเท้านั้นมีสัณฐานดังหัวตาล กระดูกข้อเท้านั้นมีสัณฐานดังสะเบ้า กระดูกปลายเข้งที่ตั้งลงเหนือส้นเท้านั้นมีสัณฐานดังหน่อเป้ง กระดูกลำแข้งนั้นมีสัณฐานดังคันธนู กระดูกเข่านั้นมีสัณฐานดังคันธนู ดังฟองน้ำมันผุดกลมขึ้นแล้วและมีข้างอันแหว่งไปหน่อยหนึ่ง กระดูกขานั้นมีสัณฐานดังด้ามขวานอันบุคคลถากมิดี กระดูกสะเอวนั้นมีสัณฐานดังเตาเผาหม้อ กระดูกตะโพกนั้นมีสัณฐานดังพังพานงู อันบุคคลคว่ำลงไว้เป็นช่องน้อยช่องใหญ่อยู่ ๗ แห่งก็มี ๘ แห่งก็มี กระดูกหลังนั้นมีสัณฐาน อันกลมดุจแผ่นดีบุกอันบุคคลตัดให้กลมแล้วซ้อน ๆ กันไว้ กระดูกสันหลังนั้นมีตุ่มขึ้นในหว่าง ๆ คือในระหว่างที่จะต่อก้นขึ้นไปนั้นเป็นตุ่ม ๆ เป็นฟัน ๆ ดุจฟันเลื่อยซี่โครงทั้ง ๒๔ ซี่นั้นที่ยาว ๆ นั้นมีสัณฐานดังเคียวทั้งเล่ม ที่สั้น ๆ นั้นมีสัณฐานดังเคียวตัดครึ่งเล่มกลางเล่ม เรียบเรียงกันอยู่โดยลำดับดุจปีกไก่อันกางอยู่นั้น
แลกระดูกอก ๑๔ นั้นมีสัณฐานดังเรือนคานหามปักครุฑอันคร่ำคร่า กระดูกหทัยนั้นมีสัณฐานดังใบทับทิม กระดูกรากขวัญนั้นมีสัณฐานดังด้ามมีดน้อย ๆ กระดูกไหล่นั้นมีสัณฐานดังจอบชาวสิงหฬอันเกรียนไปข้างหนึ่งแล้ว กระดูกแขนนั้นมีสัณฐานดังด้ามแว่นเวียนเทียน กระดูกข้อมือนั้นมีสัณฐานดังแผ่นดีบุก กระดูกหลังมือนั้นมีสัณฐานดังดอกคล้า กระดูกข้อปลายนิ้วนั้นมีสัณฐานดังลูกเกต กระดูกข้อกลางมือมีสัณฐานดังเมล็ดในขนุนหนัง กระดูกต้นข้อแห่งนิ้วมือนั้นมีสัณฐานดังบัณเฑาะว์ กระดูกคอทั้ง ๗ นั้นมีสัณฐานดังหน่อไม้ไผ่อันบุคคลตัดให้กลม กระดูกคางเบื้องต่ำนั้นมีสัณฐานดังคีมแห่งนายช่างทอง กระดูกคางเบื้องบนนั้นมีสัณฐานดังมีดเกลาเปลือกหอย กระดูกกระบอกตา กระดูกกระบอกจมูกนั้น มีสัณฐานดังผลตาลอันบุคคลฝานเบื้องบนเสียแล้ว และควักเยื่อเสียให้หมด กระดูกหน้าผากนั้นมีสัณฐานดังเปลือกสังข์ กระดูกหมวกหูนั้นมีสัณฐานดังฝักมีดโกน กระดูกศีรษะนั้นมีสัณฐานดังเปลือกน้ำเต้าอันเก่า ถ้าว่าโดยโอกาส กระดูกศีรษะนั้นตั้งอยู่บนกระดูกคอ ๆ นั้นตั้งอยู่บนกระดูกสันหลัง ๆ นั้นตั้งอยู่บนกระดูกสะเอว ๆ นั้นตั้งอยู่บนกระดูกขา ๆ นั้นตั้งอยู่บนกระดูกแข้ง ๆ นั้นตั้งอยู่บนกระดูกข้อเท้า
ถ้าจะว่าโดยปริจเฉทนั้น กำนดด้วยส่วนแห่งตน ๆ ให้พระโยคาพจรพิจารณาเป็นปฎิกูลกัมมัฏฐานเหมือนกับเกศานั้น ตโต ปรํ เบื้องหน้าแต่นั้นพึงพิจารณาสมองอัฐิ ถ้าอัฐิใหญ่สทองอัฐิก็มีมาก ถ้าอัฐิเล็กสมองอัฐิก็มีน้อย ถ้าจะว่าโดยสีมีสีอันขาว ถ้าจะว่าโดยสัณฐาน สมองอัฐิอันมีอยู่ในภายในอัฐิใหญ่ ๆ นั้น มีสัณฐานดังยอดหวายใหญ่ ๆ อันเผาไฟให้ร้อนปล้อนเปลือกเสียแล้วและใส่ไปไว้ในปล้องอ้อและปล้องไผ่อันใหญ่ที่อยู่ในอัฐิน้อย ๆ นั้น มีสัณฐานดังยอดหวายน้อย ๆ อันเผาไฟให้ร้อนปล้อนเปลือกออกเสียแล้ว และใส่ไว้ในปล้องอ้อและปล้องไผ่อันน้อย บังเกิดอยู่ในทิศเบื้องต่ำ ตั้งอยู่ภายในอัฐิกับเยื่ออัฐิด้วยกันก็จริง จะได้รู้จักกันก็หามิได้ เปรียบด้วยนมข้น และผาณิตอันอยู่ในไม้ไผ่และไม้อ้อนั้นมิได้รู้จักซึ่งกันและกัน ปราศจากเจตนาเป็นสภาวะสูญเปล่า
๑ ปรมัตถมัญชุสา ฏีกาวิสุทธิมรรคว่า กระดูกต่าง ๆ นอกจากนี้ ก็พูดว่า ๓๐๐ ท่อนฉะนั้น จึงใช้ศัพท์ว่า มตุต-ประมาณ