ปริจฺเฉทโต   ถ้าจะพิจารณาโดยปริจเฉทนั้น    กำหนดพื้นภายในแห่งอัฐิและเยื่อนั้นเอง    เบื้องหน้าแต่นั้นพึงกำหนดซึ่งม้าม    ม้ามนี้มีสีแดงสักหน่อยดังเมล็ดในทองหลาง   มีสัณฐานดังล้อลากเล่นแห่งคามทารก       บางอาจารย์ว่ามีสัณฐานดังผลมะม่วงสวายก้านทั้งคู่อันบังเกิดในขั้วเดียวกันอยู่ในเบื้องบน    ถ้าจะว่าโดยโอกาส    ม้ามนั้นเป็นชิ้นเนื้อ   ๒     ชิ้นประกบกันมีขั้วอันเดียวกัน     เนื่องกันกับเส้นใหญ่อันออกจากคอหอย        มีต้นอันเดียวไปหน่อยหนึ่งแล้วแจกออกเป็น   ๒   ภาค    หุ้มไว้ซึ่งหทัยมังสะ     พึงพิจารณาให้เห็นว่า    ม้ามกับเส้นใหญ่อยู่ด้วยกันก็จริง    จะได้รู้จักกันหามิได้    เปรียบเหมือนมะม่วงสวายก้านทั่ง   ๒       เกิดชั้นเดียวกันและมิได้รู้จักกันกับขั้วนั้น       ธรรมทั้ง   ๒   ย่อมมีสภาวะสูญเปล่า  
  เบื้องหน้าแต่นั้นพึงกำหนดหทัยว่า   ดวงหทัยในกายนี้มีสีแดงประดุจดังกลีบอุบลปทุมชาติ    มีสัณฐานดังดอกปทุมชาติ    อันตูมอันปอกเปลือกเขียวข้างนอกออกเสียเล้วและวางคว่ำลงไว้     ข้างหนึ่งเป็นช่องดุจลูกบุนนาคอันตัดปลายเกลี้ยงภายนอกภายใน     ดุจบวบขมมีช่องอยู่พอประมาณดุจลูกบุนนาค      ถ้าเป็นคนมีปัญญาเฉลียวฉลาดสัณฐานแห่งหทัยนั้นแย้มสักหน่อย      ถ้าเป็นคนมีปัญญาน้อยหาปัญญามิได้    ดวงหทัยนั้นตูมดุจดอกบัวอันตูม       ภายในหทัยวัตถุนั้นมีประมาณกึ่งซองมือเป็นน้ำเลี้ยงหทัย       เป็นที่อาศัยแห่งมโนธาตุ    มโนวิญญาณธาตุ      ถ้าบุคคลเป็นราคจริต    น้ำเลี้ยงหทัยนั้นแดง       ถ้าเป็นโทสจริต     น้ำเลี้ยงหทัยนั้นดำ       ถ้าเป็นโมหจริต    น้ำเลี้ยงนั้นแดงจาง  ๆ    เหมือนน้ำล้างเนื้อ      ถ้าเป็นวิตกจริต     น้ำเลี้ยงหทัยนั้นขุ่นมัวมีสีดั่งเยื่อถั่วพู        ถ้าเป็นศรัทธาจริต    น้ำเลี้ยงหทัยนั้นผ่องใสดุจสีดอกกรรณิการ์       ถ้าเป็นปัญญาจริต     น้ำเลี้ยงหทัยนั้นบริสุทธิ์สะอาดดุจแก้วมณีโชติอันชำระเป็นอันดี     หทัยนี้เกิดในทิศเบื้องบน    ถ้าจะว่าโดยโอกาสเกิดในท่ามกลางถันยุคลภายในกาย    ถ้าจะว่าโดนกำหนด   ๆ   ด้วยส่วนหทัยนั้นเอง     หทัยกับหว่างถันยุคลด้วยกันก็จริงมิได้รู้จักซึ่งกันและกัน     เปรียบต่อไม้สลับกับบานประตูและบานหน้าต่างอยู่ด้วยกันก็จริง    มิได้รู้จักกัน      พึงพิจารณาเป็นปฏิกูล   พึงเกลียดเหมือนพรรณนามาแต่หลัง   
   เบื้องหน้าแต่นั้นพึงพิจารณาด้วยก้อนเนื้อในแห่งกายมีสีอังแดงอ่อนมิสู้แดงนัก       หลังกลีบนอกแห่งดอกโกมุท     ถ้าเป็นตับ  ๆ   นั้น   ประกอบด้วยขั้วอยู่ภายจะว่าโดยสัณฐานข้างต้นอันเดียว    ปลายนั้นเเฉกออกเป็น    ๒   แฉก    มีสัณฐานดังดอกทองหลาง     ถ้าคนนั้นเขลาตับนั้นใหญ่แล้วก็เป็นอันเดียวมีปลายมิได้แฉก      ถ้าคนนั้นมีปัญญาตับนั้นน้อยแล้วก็เป็นแฉกเป็น   ๒   แฉก      ๓   แฉก       ตับนั้นบังเกิดในทิศเบื้องบน     ถ้าจะว่าโดยโอกาสตับนี้อาศัยทักษิณปรัศว์จำระขวาแล้วตั้งอยู่ภายในถันยุคล       ถ้าจะว่าโดยปริจเฉทกำหนดโดยส่วนแห่งตับนั้นเอง      ตับนั้นข้างจำระขวาอยู่ด้วยกันก็จริงมิได้รู้จักกันซึ่งกันและกันหามิได้     พึงพิจารณาให้เห็นเป็นปฏิกูล        พึงเกลียดเหมือนกล่าวแล้วแต่หลัง    
  เบื้องหน้าแต่นั้นพึงพิจารณาให้พังผืด       พังผืดมี   ๒   ประการ    คือ      ปฏิฉันกิโลมกะ       อัปปฏิจฉันนกิโลมกะ       ปฏิฉันนกิโลมกะนั้น      มีสีอันขาวดังท่อนผ้าทุกุลพัสตร์อันเก่า    มีสัณฐานเท่าที่อยู่แห่งตน    ถ้าจะว่าโดนโอภาส    ปฏิจฉันนะกิโลมกะนั้นแวดล้อมหทัยและม้าม      อัปปฏิจฉันนะกิโลมกะนั้นหุ้มห่อมังสะแล้ว   และตั้งอยู่ในภายใต้แห่งหนังในกาย    พังผืดกับม้ามมังสะแลหนังเนื้อหทัยอยู่ด้วยกันก็จริงมิได้รู้จักซึ่งกันและกัน  เปรียบเหมือนท่อนผ้าเก่าพันมังสะ     ถ้อยทีถ้อยมิรู้จักกัน   ถ้าจะกำหนดโดยปริจเฉทเบื้องใต้แต่มังสะขึ้นมาเบื้องบนแต่หนังลงไป    โดยขวางนั้นกำหนดส่วนแห่งพังผืดนั้นเอง    พระโยคาพจรพึงพิจารณาเป็นปฏิกูลกัมมัฏฐานเหมือนกล่าวมานั้น     
   เบื้องหน้าแต่นั้นพึงกำนดในพุงว่า    พุงในกายนี้มีสีเขียวดังดอกคนทิศอันเหี่ยว    มีต้นขั้วประมาณ   ๗   นิ้ว    มีสัณฐานดังลิ้นลูกโคดำ    เกิดในทิศเบื้องต้นตั้งแต่นาภีขึ้นไปแอบอยู่เบื้องบนแห่งพื้นท้องตั้งอยู่ข้างเบื้องซ้ายแห่งหทัย       ถ้าบุคคลต้องประหารด้วยสาตราวุธ       พุงนั้นก็ไหลออกมา   แล้วก็เที่ยงที่จะถึงแก่ความตาย     ถ้าจะกำหนดโดยปริจเฉทกำหนดด้วยส่วนแห่งพุงนั้นเอง      พุงตับข้างเบื้องบนพื้นท้องอยู่ด้วยกันก็จริงหารู้จักกันไม่    เปรียบเหมือนโคมันอันทาข้างเบื้องบนแห่งฉาง    ถ้อยทีรู้จักซึ่งกัน      พึงพิจารณาเป็นปฏิกูลกัมมัฏฐาน    ดังกล่าวมาแต่หลัง     
  เบื้องหน้าแต่นั้นพึงพิจารณาในปัปผาสะว่า    ปอดนี้มีประเภทเป็นชิ้นเนื้อ   ๑๒    ชิ้นติดกันอยู่   มีสีแดงดังผลมะเดื่ออันสุก    มีสัณฐานดังชิ้นขนมอันตัดเสี้ยว   ๆ     หนา  ๆ   บางอาจารย์ว่ามีสัณฐานดังแผ่นกระเบื้องเกล็ดนิ่ม     อันมุงหลังคา   ถ้าบุคคลอคลอดอาหารมิได้บริโภคสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว   เพลิงธาตุก็เผาเนื้อปอดนั้นให้ยอบให้เหี่ยวลง     กระดุจใบไม้อันบุคคลเคี้ยว     เนื้อปอดนั้นหารสโอชาบ่มิได้      ปัปผาสะนั้นเกิดในทิศเบื้องบนตั้งอยู่ด้วยในหว่างถันบุคลห้อยลงปกซึ่งตน     และเนื้อหทัยปัปผาสะกับหว่างบุคลอยู่ด้วยกันก็จริง   มิได้รู้จักซึ่งกันและกัน     เปรียบเหมือนรังนกอันห้อยอยู่ใต้หว่างฉางเก่า   รังนกหว่างฉางเก่าก็มิได้รู้จักซึ่งกันแลกัน     พึงพิจารณาเป็นปฏิกูลกัมมัฏฐาน    ดังกล่าวมาแล้วแต่หนหลังนั้น    
  เบื้องหน้าแต่นั้น     พึงพิจารณาไส้ใหญ่ว่า        ปุริสสฺสทฺวตฺตํสหตฺถํ   ไส้ใหญ่ของบุรุษยาว   ๓๒   ศอก อิตฺถิยา    อฏฺวีสติหตฺถํ     ไส้ใหญ่ของสตรีภาพยาว    ๒๘   ศอก    ขดเข้าอยู่นั้น    ๒๑     ขดสีขาวดังสีปูน    อันบุคคลกระทำด้วยศิลาแลง    มีสัณฐานดังซากงูอันบุคคลตัดศีรษะแล้วแลขดไว้ในรางโลหิตเกิดในทิศทั้งสอง    คือ   ทิศเบื้องต่ำทิศเบื้องบน     ที่สุดเบื้องบนแห่งไส้ใหญ่นั้นจดลำคอ    ที่สุดเบื้องต่ำนั้นจดอโธทวารเบื้องต่ำ       ถ้าจะว่าโดยปริเฉทนั้น    มีกำหนดด้วยส่วนแห่งไส้ใหญ่นั้นเอง    ไส้ใหญ่กับภายในกายอยู่ด้วยกันก็จริง   มิรู้จักซึ่งกันและกัน   เปรียบเหมือนซากงูอันบุคคลตัดศีรษะ    แล้วใส่วางไว้ในรางโลหิต    ถ้อยทีถ้อยหารู้จักกันไม่     พระโยคาพจรพึงพิจารณาเป็นปฏิกูลกรรมฐานดังกล่าวแล้วแต่หลัง  
   ตโต   ปรํ    เบื้องหน้านั้นพึงพิจารณาไส้น้อยในกายนี้มีสีดังรากนิลุบล   สัณฐานก็เหมือนกันกับรากนิลุบล   บางอาจารย์ว่า   มีสัณฐานคดไปคดมาดังโคมูล    เกิดในทิศทั้ง   ๒   เมื่อบุคคลกระทำการหนักเป็นต้นว่าขุดดินด้วยจอบ    ผ่าไม้ด้วยขวาน    ไส้น้อยนั้นก็รึงรัดขนดแห่งไส้ใหญ่เข้าไว้ให้เรียบกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวดุจด้วยยนต์     อันอัดกระดานยนต์เข้าไว้ในขณะเมื่อชักยนต์     ไส้น้อยนั้นตั้งอยู่ในระหว่างไส้ใหญ่   ๒๐    ขด    ดุจเชือกน้อยรัดวงเชือกใหญ่อันบุคคลกระทำไว้เช็ดรองเท้า    ไส้น้อยนี้กำหนดโดยส่วนแห่งตนเอง     ไส้น้อยรัดไส้ใหญ่อยู่ก็จริงหารู้จักกันไม่     เปรียบดุจเชือกน้อยรัดวงเชือกใหญ่     บ่มิได้รู้จักซึ่งกันและกัน    ใช่สัตว์ใช่บุคคล    ควรจะสังเวชทนา   
   เบื้องหน้าแต่นั้น    พึงพิจารณาอาหาร  ๆ   ใหม่นั้นคือ     ภัตต์อันบุคคลกลืนกินแลเคี้ยวกินแลลิ้มเลียกิน    มีสีดังสีอาหารเมื่อแรกกลืนกิน   มีสัณฐานดังข้าวสารอันบุคคลใส่ไว้ในผ้ากรองน้ำมันห่อหย่อน   ตั้งอยู่ในทิศเบื้องบนอุทรประเทศ      อุทรประเทศนั้นมีสัณฐานดังพองลมอันบังเกิดขึ้นในท่ามกลางแห่งผ้าเปียก      อันบุคคลจับ    ๒    ชายแล้ว    แลบิดเข้า       มหิมฏฺํ   เกลี้ยงอยู่ภายในภายนอกในนั้นขรุขระเหมือนดอกลำโพง   แลผ้าปาวารอันติดหยากเยื่อ      บางอาจารย์ว่า   เหมือนภายในแห่งเปลือกขนุนหนังอันเปื่อยอากูลไปด้วยหมู่หนอน    ๓๒   จำพวก     มีหนอนอันชื่อว่า   ตักโกตกาเป็นต้น    แลอาหารมีข้าวน้ำเป็นต้น     
   ถ้ามิได้มีในอุทรประเทศแล้วหนอนทั้งหลายก็โลดขึ้นร้อยตามวิสัยหนอน    แล้วก็เฝ้ากัดเฝ้าไชซึ่งหทัยมังสะให้แสบไส้แสบพุงมิให้มีความสบาย      ครั้นบริโภคอาหารเข้าไป    หนอนทั้งหลายนั้นก็แหงนหงายอ้าปากคอยกินอาหารเข้าไปที่แรกกลืนลงไป    ๑,  ๒,    คำนั้นกลุ้มกันเข้าชิงกันบริโภค    แลอุทรประเทศอันเป็นที่ตั้งแห่งอาหารนั้นพึงเกลียดยิ่งนัก     เปรียบท่อน้ำครำอันอยู่ในบ่อแทบประตูบ้านแห่งคนจัณฑาล    บ่อน้ำส่ำสมไปด้วยมูตรและคูถเสลดน้ำลาย    หนังเน่าแลเอ็นเน่าอัฐิทิ้งอยู่เป็นท่อน  ๆ    อาเกียรณ์ด้วยแมลงวันแลหมู่หนอน    เมื่อหน้าฤดูร้อนมีฝนเม็ดใหญ่ตกลงสัก   ๑   ห่า     แต่พอน้ำเต็มหลุมแลเเล้งไป     น้ำในหลุมนั้น    ครั้นร้อนด้วยแสงอาทิตย์ก็ปุดขึ้นเป็นฟองฟูด     มีสีเขียวกลิ้นเหม็น    เป็นที่พึงเกลียดมิควรที่บุคคลจะเข้าใกล้    จะป่วยกล่าวไปไยถึงลิ้มเลียสูดดมนั้นเล่าแลมีฉันใด    อาหารในอุทรประเทศก็พึงเกลียดเหมือนดังนั้น     
  แลอาหารอันบุคคลบริโภคนั้นแลออกด้วยครกแลสาก       คือฟันเบื้องบนเบื้องต่ำมือคือชิวหากลับกลิ้งกลั้วไปด้วยเขฬะถึงพึงซึ่งเกลียดดังรากในรางสุนัข      ถ้ามิดังนั้นดุจแป้งข้าวของช่องหูกอันอยู่ในรากฆ่าด้วย       ครั้นตกลงในอุทรประเทศแล้วเกลือกกลั้วไปด้วยน้ำดีแลลมเสมหะ    เดือดขึ้นด้วยกำลังเตโชธาตุปุดขึ้นเป็นต่อมเป็นฟองเบื้องบน    บริบูรณ์ด้วยหมู่หนอนถึงซึ่งสภาวะพึงเกลียดพึงชังแต่ได้ฟังแล้วก็พึงเกลียด    จะป่วยกล่าวไปไยถึงการพิจารณาเห็นแจ้งด้วยปัญญาจักษุนั้นเล่า    แลอาหารซึ่งบริโภคเข้าไปนั้นแบ่งออกเป็น    ๕   ส่วนหนอนในกายกินเสียส่วน    ๑     เพลิงธาตุไหม้ไปเสียส่วน   ๑     เป็นมูตรเสีย   ๑      เป็นอาหารเก่าส่วน   ๑     เป็นรสซึมซาบไปให้เจริญโลหิตแลมังสะเป็นต้นส่วน  ๑       แล้วก็ไหลออกมาโดยทางทวารทั้ง   ๙     เป็นมูลจักษุ     โสตะ    ฆานะ   เป็นต้น    เป็นที่พึงเกลียดยิ่งนัก     
  พระโยคาพจรพึงพิจารณาให้เห็นว่า      อาหารกับอุทรประเทศอยู่ด้วยกันก็จริงมิได้รู้จักซึ่งกันและกัน    เปรียบเหมือนรากสนุขอันอยู่ในรางสุนัขถ้อยทีถ้อย     มิได้รู้จักซึ่งกันและกัน     พึงกำหนดเป็นปฏิกูลพึงเกลียดมาแล้วแต่หลัง   เบื้องหน้าแต่นั้นพึงพิจารณาในกรีสว่า   อาหารเก่านั้นมิใช่อื่นไกล   คือ    อาหารที่เพลิงธาตุเผาให้ย่อยมีสีเหมือนด้วยอาหารอันบุคคลกลืนกินโดยมาก    มีสัณฐานเหมือนที่อยู่ของตน    เกิดในทิศเบื้องต่ำ    ถ้าจะว่าโดยโอกาสตั้งอยู่ในกระเพราะอาหารเก่านั้น   ประดิษฐานอยู่ในที่สุดแห่งไส้ใหญ่ในระหว่างแห่งนาภีก็เบื้องล่าง   แลกระดูกหนามหลังข้างต้นต่อกัน   แลวัตถุทั้งปวงมีข้าวน้ำเป็นต้นที่บริโภคเข้าไปนั้น    เมื่อตกลงไปในกระเพราะอาหารใหม่     เพลิงธาตุเผาก็ย่อยเเหลกละเอียดออก     ประดุจบดด้วยแผ่นศิลาบด     ไหลลงไปตามช่องแห่งไส้ใหญ่คุมเข้าเป็นก้อนแล้ว     แลประดิษฐานอยู่ในกระเพราะอาหารเก่านั้น    เปรียบประดุจดินเหลืองอันบุคคลไส่ไว้ในปล้องไม้สูง   ๘   นิ้ว      
  ปริจฺเฉทโต    ถ้าจะพิจารณาโดยกำหนด    กำหนดด้วยพื้นแห่งกระเพราะอาหารเก่าและส่วนแห่งอาหารนั้นเอง      พระโยคาพจรพึงพิจารณาเป็นปฏิกูลกรรมฐาน    เหมือนกล่าวแล้วในเกศา     อันดับนั้นพึงพิจารณาในสมองศีรษะว่า      สมองศีรษะซึ่งตั้งอยู่ในกบาลศีรษะนั้นมีสีขาวดุจดอกเห็นอันขาด     จะมีสีดังนมข้นก็ไม่เป็น     ถ้าจะเปรียบด้วยสีแห่งนมสดอันชั่วนั้นเห็นควรกัน      มีสัณฐานเหมือนที่อยู่แห่งตนเกิดในทิศเบื้องบน    ถ้าจะพิจารณาโดยโอกาสสมองศีรษะนั้นเป็น   ๔   แฉก      อาศัยอยู่ในแถวแฉกทั้ง   ๔     ภายในศีรษะประดุจก้อนแป้ง    ๔     ก้อนบุคคลวางประชุมกันไว้     ถ้าจะพิจารณาโดยกำหนด    สมองศีรษะนั้นกำหนดด้วยพื้นภายในแห่งกบาลศีรษะแลส่วนแห่งสมองนั้นเอง     พึงพิจารณาเป็นปฏิกูลกรรมฐานดังกล่าวมาแล้วแต่หลัง    
  อันดับนั้นพึงพิจารณาในปิตตังว่า     เทวฺ   ปตฺติตา    ปนิพทฺธปิตฺตญฺจ     อปนิพทฺธปิตฺตญฺจ      ดีมี   ๒   ประการ      ดีฝักประการ   ๑      ดีหาฝักมิได้ประการ  ๑     ดีมีฝักนั้นมีสีดังน้ำผลมะขามอันขม    ดีหาฝักมิได้นั้นมีสีดังดอกพิกุลเหี่ยว      มีสัณฐานเหมือนที่อยู่แห่งตน     ดีมีฝักนั้นเกิดแต่ทิศเบื้องบน     ดีหาฝักมิได้นั้นในทิศทั้ง   ๒    ถ้าจะพิจารณาโดยโอกาส     ดีอันหาฝักมิได้นั้นซาบอยู่ทั่วสรรพางค์กาย    แลดีมีฝักนั้นตั้งอยู่ในฝักดี      มีสัณฐานดังฝักบวบขมอันใหญ่       ฝักดีนั้นแอบอยู่กับเนื้อตับ      ตั้งอยู่ในระหว่างแห่งปอด    ดีฝักนั้นถ้ากำเริบแล้วสัตว์ทั้งปวงก็เป็นบ้า    มีสำคัญสัญญาวิปลาสปราศจากหิริโอตัปปะ     ถ้าจะพิจารณาโดยกำหนด   ๆ    ด้วยส่วนแห่งดีนั้นเอง    พระโยคาพจรพิจารณาเป็นปฏิกูลกรรมฐานดุจกล่าวแล้วในเกศานั้น    
  อันดับนั้นพึงพิจารณาในเสมหะ    ว่าเสมหะในกายแห่งบุคคลนี้   มีประมาณเต็มบาตรในแตงหนู      มีสัณฐานเหมือนที่อยู่แห่งตน   เกิดในทิศเบื้องบน    คือตั้งแต่นาภีขึ้นมา    ถ้าจะพิจารณาโดยโอกาส      เสมหะนั้นอยู่ในพื้นห้อง     เมื่อบุคคลบริโภคอาหารเข้าไปลำคอ   อาหารนั้นตกลงไปถูกเสมหะ  ๆ    นั้นก็ขาดเป็นช่องเป็นหว่างแยกออกไปเป็น   ๒    ภาคให้ช่องแก่อาหารแล้วเสมหะนั้นก็กลับกลัดเกลื่อนเข้าหากันดังเก่า      เสมหะนี้ปกปิดไว้ซึ่งอสุจิในอุทรประเทศ    มิได้อสุจิสิ่งกลิ่นขึ้นมาได้    ถ้าเสมหะน้อยแล้ว      กลิ่นอันเหม็นก็จะฟุ้งขึ้นมาโดยมุขทวาร      ด้วยกำลังลมอุทรธังคมาวาต   ถ้าพิจารณาโดยกำหนดด้วยส่วนแห่งเสมหะนั้นเอง   พระโยคาพจรพึงพิจารณาเป็นปฏิกูลกรรมฐานดังเกศานั้นเอง    
  อันดับนั้นพึงพิจารณาในบุพโพว่า   หนองนี้มีสีอันเหลือง   อันว่าด้วยหนองในกายแห่งบุคคลอันมีชีวิต    ถ้าจะว่าด้วยหนองในซากเฬวระนั้น    มีสีดังน้ำข้าวอันข้นอันบูด    มีสัณฐานดังที่อยู่แห่งตน   เกิดในทิศทั้ง   ๒    ถ้าจะพิจารณาโดยโอกาส    คือที่อยู่แห่งปุพโพนี้   จะได้มีที่อยู่ที่ขังเป็นนิตย์นั้นหาบ่มิได้        ต่อเมื่อใดถูกต้องขวาก     ถูกหนาม      ถูกเครื่องสาตราวุธ     ถูกเปลวเพลิงเป็นต้น    โลหิตข้อเท้าอยู่ในฐานที่ใด    ปุพโพก็บังเกิดขึ้นในฐานที่นั้น    ถ้าพิจารณาโดยปริเฉทกำหนดด้วยส่วนแห่งตน     แต่นั้นให้พระโยคาพจรพิจารณาในโลหิตว่า      เทวํ    โลหิตานิ โลหิตมี   ๒     ประการ   คือ   สันนิจิตโลหิต   ๑     สังสรณโลหิต   ๑      สันนิจิตโลหิตนั้นคือเลือดข้น    มีสีสุกดังน้ำครั่งข้น   ๆ    สังสรณโลหิตนั้นคือเลือดเหลวมีสีดังน้ำครั่งอันจาง   มีสัณฐานเหมือนที่อยู่แห่งตน      สัณนิจิตโลหิตนั้นเกิดในทิศเบื้องบน      สังสรณโลหิตนั้นซาบอยู่ในอังคาพยพทั้งปวง    ซาบไปตามกระแสเส้น    เว้นไว้หนังอันกระด้างแลแล้ง    ผมแลขนเล็บแลฟันดุจน้ำอันซาบอยู่ในกาย     ถ้ากระทบกระทั่งถูกต้องสิ่งใดสิ่งหนึ่ง    เนื้อหนังเปิดออกไปในที่ใดแล้ว    ก็ให้หยดย้อยในฐานที่นั้น    
  แลสันนิจิตโลหิตนั้น    มีประมาณเต็มบาตรใบหนึ่งท่วมเนื้อตับในส่วนเบื้องต่ำลบไปเบื้องบนหทัยวัตถุปอดแลม้าม     ไหลซึบซาบไปทีละน้อย   ๆ    ชุ่มไปในม้ามหทัยวัตถุปอดแลตับ     ถ้าสันนิโลหิตนี้ไปชุ่มแลซาบม้ามแลดวงหทัยเป็นต้นแล้วสัตว์ทั้งปวงก็อยากน้ำกระหายน้ำ     ลำบากเวทนามีกำลังแปลกประหลาดกว่าปกติโลหิตทั้ง    ๒    นี้จะกำหนดโดยปริเฉทนั้น    กำหนดด้วยด้วยส่วนแห่งโลหิตนั้นเอง     พระโยคาพจรพึงพิจารณาเป็นปฏิกูลกรรมฐาน     ดังนัยหนหลังอันดับนั้น    พระโยคาพจรพึงพิจารณาเป็นปฏิกูลกรรมฐาน     ดังนัยหนหลัง
  อันดับนั้น   พระโยคาจรพึงพิจรณาเสทกรรมฐาน    ว่าเหงื่อนั้นคืออาโปธาตุอันไหลออกตามขุขนเป็นต้นถ้าจะพิจรณาโดยมี     สีดังน้ำมันงาอันใสมีสัณฐานเหมือนที่อยู่แห่งตน     เกิดในทิศทั้ง  ๒    ถ้าจะพิจารณาโดยที่โดยอยู่เหงื่ออันจะได้มีที่อยู่นิตย์เหมือนอย่างโลหิตหามิได้  ต่อเมื่อใดสรีกายร้อนด้วยเพลิงแลแดด    แลธาตุอันใดอันหนึ่งบังเกิดวิการกำเริบแล้ว    เหงื่อก็ไหลออกมาจากช่องแห่งขุมเกศาแลโลมาทั้งปวง     พระโยคาพจรผู้พิจารณาเสทกรรมฐานนั้น     พึงพิจารณาเหงื่ออันเต็มไปอยู่ในขุมผมแลขุมขน     ถ้าจะพิจารณาโดยกำหนด   ๆ   ด้วยส่วนแห่งเหงื่อนั้นเอง    พระโยคาพจรพึงพิจารณาเป็นปฏิกูลเหมือนกับเกศา     
  อันดับนั้น    พึงพิจารณาในเมโทว่ามันข้นนั้นมีสีดังเเท่งขมิ้นอันบุคคลผ่า     ถ้าจะพิจารณาโดยสัณฐานมันข้นของคนพีที่อยู่ในระหว่างหนังแลเนื้องนั้น    มีสัณฐานดังผ้าทุกุลพัสตร์เหลืองเหมือนสีขมิ้น    มันข้นของคนผอม    ที่อาศัยอยู่ตามเนื้อแข้งเนื้อขาเนื้อหลังที่กระดูกหนามหลัง    แลเนื้อเกลียวอุทรประเทศนั้น   มีสัณฐานดังท่อนผ้าทุกกุลพัสตร์อันบุคคลพับเป็น   ๒   ชั้น   ๓  ชั้นแล้ววางไว้    มันข้นนั้นเกิดในทิศทั้ง     ๒    ถ้าจะพิจารณาโดยโอกาส    มันข้นแห่งคนพีนั้น    ซาบอยู่ทั่วสรรพางค์กายมันข้นของคนผอมนั้นอยู่ซาบกับเนื้อแข้งเนื้อขาเป็นต้น    ถ้าพิจารณาโดยปริเฉท    มันข้นนั้นมีกำหนดเบื้องต่ำตั้งแต่เนื้อขึ้นไปเบื้องบนแต่หลังลงมา     เบื้องขวากำหนดด้วยมันข้นนั้นเอง    พระโยคาพจรพึงพิจารณาให้เห็นเป็นปฏิกูลกรรมฐาน   โดยนัยดังสำแดงมาแล้วแต่หลัง
  เบื้องหน้าแต่นั้นพึงพิจารณาในอัสสุว่า   น้ำตานั้นคืออาโปธาตุที่ไหลออกมาจากจักษุ    มีสีดังน้ำมันงาอันใส    มีสัณฐานเหมือนที่อยู่แห่งตน    น้ำตานั้นเกิดในทิศเบื้องบน     ถ้าพิจารณาโดยโอกาสน้ำตานั้นตั้งอยู่ในขุมตาทั้ง   ๒    แต่ทว่าจะได้ตั้งอยู่เป็นนิตย์หาบ่มิได้      ถ้าสัตว์ชื่นชมโสมนัส     มิฉะนั้นอดนอน     มิฉะนั้นโทมนัสน้อยเนื้อต่ำใจร้องไห้ร่ำไร    มิฉะนั้นกลืนกินซึ่งอาหารอันเป็นวิสภาค    มีต้นว่าเผ็ดนักร้อนนัก    มิฉะนั้นผงคลีแลเถ้าอันหย่บแลควันเข้าตามรกาลใด    น้ำตาก็ไหลออกมาจากขุมตาทั้ง  ๒    ข้างในกาลนั้น   แลพระโยคาพจรพึงพิจารณาในอัสสุกรรมฐานนั้น     พึงพิจารณาน้ำตาที่ออกเต็มตาทั้ง   ๒   นั้นเป็นอารมณ์     ถ้าพิจารณาโดยปริเฉท     มีกำหนดส่วนแห่งน้ำตานั้นเอง     
  พึงพิจารณาในวสากรรมฐานว่า     มันเหลวนั้นมีสีดังน้ำมะพร้าวนัยหนึ่งว่ามีสี      ดังน้ำมันงาอันบุคคลรดลงในน้ำข้าวยาคู     มีสัณฐานดังหยาดแห่งอันใสลอยอยู่เหนือน้ำ       ในกาลเมื่ออาบน้ำเกิดในทิศทั้ง  ๒    ถ้าจะพิจารณาโดยโอภาสมันเหลวนั้นอยู่ในฝ่ามือฝ่าเท้า    หลังมือหลังเท้าอยู่ในช่องจมูกแลหน้าผากแลจะงอยแห่งบ่านั้นโดยมาก     มันเหลวอันอยู่ในที่ทั้งปวงนั้น   ซึ่งจะให้คว้างอยู่เป็นนิตย์หาบ่มิได้   ต่อเมื่อใดประเทศแห่งฝ่ามือฝ่าเท้า     หลังมือหลังเท้าเป็นต้นนั้นร้อยด้วยเพลิงแลแดดร้อนด้วยกระกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง    ร้อนด้วยกำเริบแห่งธาตุ    มันเหลวจึงไหล      ออกแต่ข้างโน้นข้างนี้   ถ้าจะพิจารณาโดยกำหนด   ๆ   ด้วยส่วนแห่งมันเหลวนั้นเอง    พึงพิจารณาเป็นปฏิกูลกรรมฐาน   เหมือนกล่าวมาแล้วแต่หนหลัง
  เบื้องหน้าแต่นั้นพึงพิจารณาในเขฬะวา     เขฬะนั้นคือ    อาโปธาตุอันเจือด้วยฟอง     ซึ่งอยู่ในภายในมุขประเทศของสัตว์ทั้งปวงนั้นมีสีขาวดังสีฟองมีสัณฐานเหมือนที่อยู่ของตน     นัยหนึ่งว่าเขฬานั้นมีสัณฐานดังฟอง   เกิดขึ้นในทิศเบื้องบนคือโอษฐประเทศ      ถ้าจะพิจารณาโดยโอกาส    เขฬานั้นมีสัณฐานดังฟอง   เขฬะนั้นไหลออกจากกระพุ้งแก้มทั้งสอง    แลตั้งอยู่เหนือชิวหา     แต่ทว่าจะได้อยู่เป็นนิตย์หาบ่มิได้     ต่อเมื่อใดสัตว์ทั้งปวงได้เห็นอาการที่ชอบใจ      มิฉะนั้นระลึกถึงโภชนาหารอันเป็นที่ชอบใจ    อันตนเคยรับประทานแต่ก่อนนั้น    มีความอยากแล้วน้ำลายไหลออก      ถ้ามิดังนั้นบุคคลเอาวัตถุอันใดอันหนึ่ง    เป็นต้นว่าอาหารอันร้อนด้วยเพลิงแลเผ็ดร้อนเปรี้ยวเค็มวางลงไว้ในปากเขฬะ    จึงบังเกิดขึ้น    ไหลออกมาจากกระพุ้งแก้มทั้ง   ๒     แล้วตั้งอยู่เหนือชิวหาแลเขฬะซึ่งตั้งอยู่ในปลายชิวหานั้นเป็นเขฬะอันเหลว     เขฬะซึ่งตั้งอยู่เหนือชิวหานั้นเป็นเขฬะอันข้น   เมื่อบุคคลเอาข้าวเม่าแลข้าวสาร    แลขาทนียะของเคี้ยวอันใดอันหนึ่งวางลงในปากนั้น     น้ำลายก็ไหลออกมาชุ่มซาบอาบเอิบไปในข้าวของทั้งปวงนั้น       บ่มิได้รู้หมดรู้สิ้นไปมีอุปมาดังบ่อทรายอันมิได้ขาดน้ำ      ถ้าพิจารณาโดยกำหนด   ๆ   ด้วยส่วนแห่งเขฬะนั้นเอง    พึงพิจารณาให้เป็นปฏิกูลกรรมฐานดังกล่าวแล้วแต่หลัง    
  อันดับนั้นพึงพิจารณาในสิ่งฆานิกากรรมฐานว่าน้ำมูกนั้นคือ     อสุจิ    อันไหลออกจากสมองศีรษะ    มีสีดังเยื่อในเต้าตาลอันอ่อนมีสัณฐานดังที่อยู่เต็มช่องนาสิก      แต่ทว่าจะอยู่ได้ในช่องนาสิก    เป็นนิตย์นั้นหาบ่มิได้    ต่อเมื่อเหตุคือร้องร่ำไรถ้ามิดังนั้นกำเริบด้วยบริโภคอาหารอันเผ็ดร้อนเกินประมาณ      ถ้ามิดังนั้นธาตุวิการกำเริบเป็นหวัดไอสมองศีรษะนั้นก็กลายเป็นเสมหะอันเน่าเคลื่อนออกจากภายในศีรษะ    ไหลลงมาในช่องเบื้องบนแห่ง    เพดานแล้วก็เต็มอยู่ในคลองนาสิกบ้าง     บางทีก็ล้นไหลออกมาจากคลองนาสิก     พระโยคาพจรผู้พิจารณาสิงฆานิการกรรมฐานนั้น    พึงพิจารณาน้ำมูกที่ไหลออกมาขังอยู่เต็มช่องแห่งนาสิก      ถ้าจะพิจารณาโดยกำหนด   ๆ   ด้วยส่วนแห่งน้ำมูกนั้นเอง      พระโยคาพจรพึงพิจารณาให้เห็นปฏิกูลกรรมฐานเป็นสภาพ      เหมือนกล่าวมาแล้วแต่หลัง      
  อันดับนั้นให้พระโยคาพจรพึงพิจารณาใน   มนสิการกรรมฐาณว่าไขข้อนั้นใช่อื่นใช่ไกล    คือมันอันอยู่ในภายแห่งที่ต่อในกาย    ไขข้อนั้นมีสีดังยางกรรณิการ์มีสัณฐานที่อยู่แห่งตน     ถ้าจะพิจารณาโดยทิศไขข้อนั้นเกิดในทิศทั้ง   ๒    ถ้าจะพิจารณาโดยโอกาส    ไขข้อนั้นอยู่ภายใน     แห่งที่ต่อ   ๑๐๘     สำเร็จซึ่งกิจพอกแลทาซึ่งที่ต่อแห่งอัฐิ    ถ้าผู้ใดไขข้อน้อนผู้นั้นจะลุกขึ้นแลนั่งลง     จะเข้าไปและออกมาจะคู้กายเข้าเหยียดกายออก    อัฐิที่ข้อต่อแห่งบุคคลผู้นั้นเสียงดังกฎะ  ๆ    เผาะ  ๆ     อย่างเสียงเขาหักนิ้วมือ     ถ้าผู้นั้นเดินทางไกลประมาณ   ๑   โยชน์    ๒    โยชน์    วาโยธาตุเกิดวิการกำเริบ    แล้วก็ให้เจ็บเนื้อเจ็บทั่วสรรพางค์     ถ้าผู้ใดไขข้อมาก    บุคคลผู้นั้นจะลุกนั่งยืน    เที่ยวคู้กายเข้าเหยียดกายออกอัฐิที่ข้อต่อจะได้ดังกฎะ  ๆ    เผาะ  ๆ     หามิได้    แม้บุคคลผู้นั้นจะเดินทางไกลวาโยธาตุก็มิได้เกิดวิการกำเริบ  ผู้นั้นไม่เมื่อยเหน็บกาย       ถ้าจะพิจารณาโดยกำหนด   ๆ    ด้วยส่วนแห่งไขข้อนั้นเอง    พิจารณาเป็นปฏิกูลดังกล่าวในเกศานั้น      
  อันดับนั้นพึงพิจารณาในมุตตะกรรมฐาน     มาสขาโรทกวณฺณํ     มูตรนั้นมีสีดังน้ำด่างถั่วราชมาศ   มีสัณฐานดังน้ำในกระออมคว่ำไว้    เกิดในทิศเบื้องต่ำคือตั้งแต่นาสิกลงมา      ถ้าจะพิจารณาโดยโอกาส    มูตรนั้นอยู่ภายในแห่งกระเพาะ     มูตรเมื่อเข้าไปสู่กระเพาะนั้น      จะได้ปรากฏว่าเข้าไปทางใดหามิได้    เสยฺยถาปิ    นาม    อมุเขร    วนฆเฏ   ประดุจหม้อเนื้อห่างหาปากบ่มิได้อันบุคคลคว่ำไว้ในน้ำครำ      น้ำครำซึบซาบอาบเอิบเกรอะเข้าไปขังในหม้อนั้นจะได้ปรากฏว่าเข้าไปทางนั้น  ๆ  หาบ่มิได้    แลมีฉันใดมูตรที่เกิดเข้าไปสู่กระเพาะนั้น  จะได้ปรากฏว่าเข้าไปทางนั้น  ๆ    หาบ่มิได้   มีอุปไมยดังนั้น    แต่ทางที่มูตรไหลออกมานั้นเห็นปรากฏ     มูตรนี้มิใช่อื่นไกลคืออาหารอันบุคคลบริโภคเข้าไปนั้นเอง   อาหารนั้นแหลกละเอียดออกด้วยเพลิงธาตุแล้ว   ก็เกรอะกรองไปในกระเพาะมูตร     ครั้นกระเพาะมูตรเต็มแล้วก็ให้สัตว์ก็ให้สัตว์เจ็บปัสสาวะ     ให้ขวนขวายที่จะถ่ายปัสสาวะ       ถ้าจะว่าโดยปริเฉทกำหนดโดยส่วยแห่งมูตรนั้นเอง   พระโยคาพจรพึงพิจารณาเป็นปฏิกูลกรรมฐานดังกล่าวแล้วในหนหลัง    
  พึงสันนิษฐานว่ากิริยาที่พระโยคาพจรพิจารณาอาการ   ๓๒     อุคคหโดยสีแลสัณฐาน   ทิศแลโอกาสแลปริจเฉทดังพรรณนามานี้   อยู่ในอุคคหโกศลคำรบ   ๓, ๔, ๕, ๖, ๗      อาจารย์ผู้บอกกายคตาสติกรรมฐานถึงบอกอุคคหโกศล   ๗   ประการดังพรรณนามานี้   แลมนสิการโกศล    ๑๐    ประการนั้น        คืออนุปุพพโต   ๑     นาติสีฆโต   ๑      นาติสนิกโต  ๑       วิกเขปปฏิพาหโต   ๑      ปัณณติสมติกกมนโต   ๑        อนุปุพพมุญจนโต  ๑      อัปปนาโต  ๑     ติสุตตันตะ  ๓   ประการ   จึงเป็น   ๑๐    ประการด้วยกัน     จะพึงกระทำมนสิการโกศลโดยอนุปุพพะนั้นอย่างไร     อนุปุพพะนั้นแปลว่าด้วยลำดับอธิบายว่า   พระโยคาพจรผู้จำเริญพระกายตาสติกรรมฐานนั้น    พึงกระทำมนสิการคือระลึกไปตามพระกรรมฐานโดยลำดับ  ๆ      กันอย่าให้โจนไปโจนมา   พึงกระทำมนสิการโดยลำดับ        กระทำให้เหมือนบุรุษอันขึ้นสู่พระองอันสูง   แลค่อยขึ้นไปทีละขั้น  ๆ   เหตุกลัวจะตก    อันกระทำมนสิการโดยลำดับนี้   เป็นคุณที่จะไม่ปราศจากพระกรรมฐานนั้น  ๆ  จะมิได้ตกไปจากสันดาน   
  แลนาติสีฆโตนั้นคือขณะเมื่อกระทำมนสิการ   ระลึกโดยลำดับพระกรรมฐานนั้นอย่าเร็วนัก   พระกรรมฐานจะมิได้ปรากฏแจ้ง  ๆ  นั้นอย่างไร   ขณะเมื่อระลึกไปตามอาการ   ๓๒   จะมิได้เห็นแท้ลงโดยอาการเป็นปฏิกูลพึงเกลียดนั้นแลได้ชื่อว่าพระกรรมฐานนั้น    ถ้าระลึกเร็วนักแล้วก็พลันสำเร็จคือเร็วจบ    พระกรรมฐานก็จะมิได้ปรากฏ   อาศัยเหตุเร็วไปมิทันที่จะกำหนดกฏหมาย    แลนาติสนิกโตนั้น   คือ   ระลึกพระกรรมฐานอย่าให้ช้านัก       ครั้นว่ากระทำมนสิการพระกรรมฐานนั้นช้านักเล่า     ก็มิให้เป็นปัจจัยที่จะให้ได้ธรรมวิเศษ  แลวิกเขปปฏิพาหโตนั้น     คือขณะเมื่อจำเริญพระกรรมฐานอย่าให้ทำจิตนั้นเตร็จเตร่เร่รายไปในอารมณ์ภายนอกพระกรรมฐาน   คือให้ดำรงจิตไว้ในปฏิกูลพึงเกลียดจงได้     ถ้าแลจิตถือเอาอาการแลเกศาเป็นต้นอันมีพรรณนาต่าง  ๆ   กลับเห็นโดยสภาวะว่าดีว่างามขณะใด    ก็ได้ชื่อว่าเตร็ดเตร่ไปในอารมณ์ภายนอกขณะนั้น     ก็จะเสียทีพระกรรมฐานนั้นจะฉิบหายเสีย    
  แลปัณณติสมติกกมนโตนั้น     คือให้ล่วงเสียซึ่งบัญญัติ     คือคำเรียกว่าเกศาผม    โลมาขนเป็นต้น     โดยโลกสังเกตนั้นอย่าเอาเป็นอารมณ์เลย    พึงตั้งดำรงจิตพิจารณาเอาแต่ปฏิกูลสิ่งเดียวเป็นอารมณ์    เปรียบประดุจชนทั้งหลายเดินทางพบบ่อน้ำในอรัญประเทศ     ในกาลเมื่อมีน้ำอันได้ด้วยยาก     ก็ปักไม้หมายกรุยผูกไว้ซึ่งกิ่งไม้มีใบตาลเป็นต้น    เป็นสำคัญไว้ในที่บ่อน้ำนั้น   ครั้นภายหลังปรารถนาจะอาบจะกินขณะใดก็เล็งแลดูที่สำคัญนั้น    แล้วก็ไปลงอาบกินในขณะนั้น    เมื่อไปมาเนือง  ๆ     รอยเท้าที่บทจรนั้น     ปรากฏเป็นทางแล้วกาลใด     แต่นั้นไปปรารถนาจะกินจะอาบก็มิได้มีกิจที่จะแลดู   ซึ่งสำคัญมีใบตาลเป็นต้นก็ตามรอยที่ปรากฏเป็นทางนั้น   แล้วก็ลงกินแลอาบตามปรารถนา    
   จะมีอุปมาดุจใดก็ดี