พึงกระทำมนสิการด้วยวิธี ๘ ประการ คณนา คือกำหนดนับซึ่งลมออกลมเข้าประการ ๑ อนฺพนฺธนา คือกำหนดลมระหว่างบ่มิได้ประการ ๑ ผุสฺสนา คือกำหนดให้รู้ซึ่งที่อันลมถูกต้องประการ ๑ ปถนา คือ มนสิการซึ่งอัปปนาฌานประการ ๑ สลฺลกฺขณา คือวิปัสสนาประการ ๑ วิวฏฺฏนา คือพระอริยมรรคประการ ๑ ปาริสุทฺธิ คือ พระอริยผลประการ ๑ ปฏิปสฺสนา คือปัจจเวกขณญาณ อันพิจารณาซึ่งมรรคแลผลประการ ๑ เป็น ๘ ประการด้วยกัน
แลพระโยคาพจรผู้เป็นกัมมิกะแรกจะเล่าเรียนนั้น พึงมนสิการพระกรรมฐานด้วยวิธีอันนับนั้นก่อน เมื่อจะนับซึ่งลมออกลมเข้านั้น อย่าให้นับต่ำลงมากว่า ๔ อย่าให้เกินขึ้นไปกว่า ๑๐ อย่านับให้โจนคั่นกันไป ถ้านับซึ่งลมอัสสาสะปัสสาสะให้ต่ำลงมากว่า ๔ จิตตุปบาทแห่งพระโยคาพจรตั้งอยู่ในที่อันคับแคบแล้ว ก็จะดิ้นรนไปมิได้สงบดุจหมูโคอันบุคคลขังไว้ในคอกอันคับแคบแล้ว ถ้านับให้เกิดขึ้นไปกว่า ๑๐ จิตตุปบาทแห่งพระโยคาพจรอาศัยซึ่งนับแล้วก็จะระเริงไป มิได้กำหนดซึ่งพระกรรมฐาน ถ้านับให้คั่นกันไปว่า ๑, ๓, ๕ ดังนี้ จิตแห่งพระโยคาพจรก็จะกำเริบสงสัยว่า พระกรรมฐานแห่งอาตมานี้ถึงซึ่งอันสำเร็จแล้วหรือยังมิได้สำเร็จประการใด เหตุดังนั้นพระโยคาพจรพึงละเสียซึ่งนับอันเป็นโทษทั้ง ๓ ประการนี้แล้ว
พึงนับซึ่งลมออกลมเข้าด้วยกิริยาอันนับช้าชื่อว่าธัญญามาปกคณนา ดังคนนับตวงข้าวเปลือกนั้น แท้จริงอันว่าบุคคลตวงข้าวเปลือกนั้นเอาทะนานตวงขึ้นซึ่งข้าวเปลือกให้เต็ม แล้วนับว่า ๑ จึงเทลง ครั้นแล้วจึงตวงขึ้นใหม่ เห็นหยากเยื่ออันใดอันหนึ่งติดขึ้นมาก็เทข้าวทะนานนั้นเสียบ่มิได้เอา จึงนับว่า ๑ ไป แล้วตวงขึ้นมาใหม่นับว่า ๒ แล้วก็เทตวงขึ้นอีกเล่า ครั้นเห็นหยากเยื่ออันใดอันหนึ่งติดขึ้นมาก็มิได้เอา เทข้าวทะนานนั้นเสียจึงนับว่า ๒ อีกเล่า ตราบเท่าจนถึง ๑๐ แลมีฉันใด พระโยคาพจรกำหนดนับซึ่งลมอัสสาสะปัสสาสะนั้น ถ้าลมหายใจออกหายใจเข้าอันใดปรากฏแจ้ง ก็ให้นึกนับเอาซึ่งลมอันนั้นว่า ๑, ๒ เป็นต้น ไปตราบเท่าจนถึง ๑๐ ๆ ดังคนอันนับตวงข้าวเปลือกแลนับซึ่งข้าวอันเทลงนั้น
ว่าโดยเนื้อความพิธีวตกุมภาราม ท่านให้นับลมอัสสาสวาตะก่อน ให้นับลมปัสสาสวาตะที่ ๒ คือนับเป็นคู่ ๆ ไปจนถึง ๑๐ คู่ ให้นับว่าลมออก ๑
ทสกะ ดังนี้แล้วให้นับแต่ปัญจกะขึ้นไปถึงทสกะเล่า อธิบายดังนี้ในฎีกาก็ไม่มี แต่เห็นว่าคล้ายคลึงกับบาลีว่า เอวเมว อิมินาปิ อสฺสาสปสฺสาเสสุ โย อุปฏฺาติ ตํ คเหตฺวา เอกํ เอกนฺติ อาทึ อตฺวา ยาว ทสทสาติ ปวตฺตมานํ ปวตฺตมานํ อุปสลฺลกฺเขตฺวาว เคณตพฺพํ เนื้อความว่า ล้ำลมหายใจเข้าหายใจออกทั้งหลาย ถ้าลมหายใจออกหายใจเข้าอันใดปรากฏแจ้ง ให้พระโยคาพจรนับซึ่งลมนั้นว่า ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ๘, ๙, ๑๐ แล้วกลับมานับว่า ๑ ไปตราบเท่าถึง ๑๐ เล่า เมื่อพระโยคาพจรกำหนดนับซึ่งลมอันเดินโดนครองนาสิกด้วยประการดังนี้
ลมอัสสาสะปัสสาสะปรากฏแล้วให้พระโยคาพจรละเสียซึ่งนับช้า อันชื่อว่าธัญญมาปกคณนานั้น พึงนับเร็วเข้า ดังนายโคบาลอันนับโคนั้น นายโคบาลอันฉลาดก็เอากรวดใส่พกแล้ว ถือเอาซึ่งเชือกแลประฏักไปยังคอกโคแต่เช้าขี่ลงในหลังแห่งโคแล้วตนก็ขึ้นนั่งบนปลายเสาประตูคอกนั้น โคตัวออกมาถึงประตูคอก นายโคบาลก็ทิ้งกรวดไปทีละเม็ดเป็นคะเเนน นับไปว่า ๑, ๒, แลหมู่โคอันขังลำบากอยู่ในที่คับแคบสิ้นราตรี ๓ ยาม ก็เบียดเสียดกันมาเป็นหมู่ ๆ แลนายโคบาลนั้นก็นับเร็วเข้าว่า ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ๘, ๙, ๑๐ แลมีฉันใด เมื่อพระโยคาพจรนับด้วยอันช้าโดยนัยก่อนนั้น
อัสสาสะปัสสาสะนั้นปรากฏแล้วก็เดินโดยคลองนาสิกเนือง ๆ เข้า รู้ลมเดินเร็วเนื่องกันไปแล้ว ลำดับนั้นพระโยคาพจรอย่าได้เอาสติตามลมอันเข้าไปภายในแลออกมาภายนอกเลย คอยกำหนดเอาซึ่งลมอันมาถึงทวาร คือมากระทบซึ่งปลายนาสิกแลริมโอษฐ์เบื้องบนนั้น พึงให้นับเร็วเข้าว่า ๑, ๒, ๓, ๔, ๕ ว่า ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖ ว่า ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗ ว่า ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ๘ ว่า ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ๘, ๙, ๑๐ ให้เร็วเข้าดังนายโคบาลนันซึ่งโคนั้น พระอานาปานสติกรรมฐานนี้เนื่องไปด้วยสติอันนับ เมื่อนับไปโดยนิคมดังนี้ จิตแห่งพระโยคาพจรนั้นก็ถึงซึ่งเลิศเป็นหนึ่งด้วยกำลังอันนับประดุจเรืออันหยุดอยู่ในกาะแสน้ำอันเชี่ยว ด้วยกำลังถ่ออันบุคคลค้ำไว้นั้น เมื่อพระโยคาพจรนับเร็วเข้าดังนี้
พระกรรมฐานนั้นปรากฏดุจหนึ่งว่าเป็นไปหาระหว่างมิได้ พระโยคาพจรรู้อัสสาสะปัสสาสะเดินหาระหว่างมิได้แล้ว อย่าได้เอาสติตามกำหนดซึ่งลมอันออกแลเข้านั้นเลย พึงนับให้เร็วเข้าโดยนัยก่อน ถ้าพระโยคาพจรยังจิตให้เข้าไปตามลมอันเข้าไปภายในนั้น แลลมภายในนั้นก็จะครอบงำอันทำซึ่งทรวงอกแห่งพระโยคาพจรนั้น ให้ปรากฏดุจหนึ่งว่าเต็มไปด้วยมันข้น ถ้าแลซึ่งจิตออกมาตามลมอันออกมาภายนอก จิตแห่งพระโยคาพจรก็ฟุ้งซ่านไปในอารมณ์เป็นอันมากในภายนอก จึงห้ามมิให้เอาสติตามลมเข้าไปเลยตามลมออกมาให้ตั้งสติไว้ในที่อันลมถูกต้อง คือปลายนาสิกาแลโอษฐ์เบื้องบน
พระกรรมฐานภาวนาจึงจะสำเร็จแก่พระโยคาพจรผู้เจริญนั้น มีคำโจทก์ถามว่า กีวจิรํ ปเนตํ คเณตพฺพนฺติ ซึ่งว่าให้นับลมออกลมเข้า จะนับให้นานสิ้นกาลเท่าดังฤๅ วิสัชนาว่าเมื่อนับ ๆ ไปจนลมปรากฏแล้วแลหยุดนับเสีย สติแห่งพระโยคาพจรนั้นตั้งมั่นลงในอารมณ์ คือลมหายใจออกหายใจเข้าตราบใด ก็นับไปสิ้นกาลตราบนั้น เมื่อพระโยคาพจรกระทำมนสิการด้วยคณนาวิธีได้ดังนี้แล้ว พึงกระทำมนสิการด้วยอนุพันธนาสืบไป แลพระโยคาพจร หยุดนับเสียแล้วเอาสติกำหนดลมหายใจออกหายใจเข้าเนือง ๆ หาระหว่างมิได้ดังนี้ชื่อว่าอนุพันธนาซึ่งว่าให้กำหนดลมหายใจออกหายใจเข้าด้วยสติเนือง ๆ หาระหว่างมิได้นั้นจะให้เอาสติกำหนดในที่ต้น ที่ท่ามกลาง ที่ปลายแห่งลมหายใจเข้าออกนั้นจิตแห่งพระโยคาพจรนั้น ก็จะเตร็จแตร่ไปมาในกายในภายนอกมิได้ตั้งอยู่ในทีเดียว จะระส่ำระสายหวั่นไหวไปในกายแลจิตนั้น เหตุดังนั้นพระโยคาพจร อย่าพึงกระทำมนสิการขวนขวายเอาสติตามกำหนดในที่ต้นท่ามกลางเบื้องปลายนั้นเลย พึงกระทำมนสิการด้วยผุสนาปถานานั้นเถิด
แลมนสิการด้วยผุสนานั้น คือเอาสติกำหนดในที่ลมเป็นปกติ คือปลายนาสิกแลริมโอษฐ์เบื้องบนที่ใดที่หนึ่งนั้น มนสิการด้วยปถนานั้น คือพระกรรมฐานตลอดถึงฌานบังเกิดแล้ว ให้พระโยคาพจรเอาจิตกำหนดในที่ลมถูกต้องนั้น ได้ชื่อว่ามนสิการด้วยปถนาแลวิธีมนสิการด้วยผุสนากับปถนานั้น จะต่างกันหาบ่มิได้เพราะเอาเหตุที่อันลมถูกต้องสิ่งเดียวเป็นมนสิการเหมือนกัน และจะแปลกกันเหมือนมนสิการ ด้วยคณนาแลอนุพันธนานั้นหาบ่มิได้ ความซึ่งว่ามนสิการด้วยคณาแลมนสิการด้วยอนุพันธนาแปลกกันนั้นคือพระโยคาพจรยังมิได้หยุดวิธีนับและนึกนับซึ่งอัสสาสะปัสสาสะในอันลมถูกว่า ๑,๒ เป็นต้นนั้น ได้ชื่อว่ามนสิการด้วยคณนาแลผุสนา เมื่อพระโยคาพจรหยุดนับเสียแล้ว เอาสติกำหนดในอันที่ลมถูก ก็ได้ชื่อว่ากระทำมนสิการด้วยอนุพันธนาแลผุสนา
เมื่ออัปปนาฌานบังเกิด แลพระโยคาพจรเอาฌานจิตกำหนดไว้ในที่อันลมถูกนั้น ได้ชื่อว่ามนสิการอนุพันธนาผุสนาแลปถนา ซึ่งว่าให้พระโยคาพจรกำหนดซึ่งลมในที่อันถูกต้องมิให้เอาสติตามลมเข้าไปตามลมออกมาในที่ทั้ง ๓ คือปลายนาสิกแลหทัยแลนาภีนั้น มีอุปมาต่อบุรุษเปลี้ยอันไกวชิงช้า แลนายประตูอันพิจารณาซึ่งคนอันอาจารย์กล่าวไว้ในพระอรรถกถาว่า เสยฺยถาปิ ปคุโฬ โทฬาย กิฬตํ มาตา ปุตฺตานํ โทฬํ ขิปิตฺวา อันว่าบุรุษเป็นเปลี้ย เมื่อภรรยากับบุตรแห่งตนให้ขึ้นนั่งเล่นบนชิงช้าแล้วก็ไกวไปตัวนั้นก็นั่งอยู่ในที่ใกล้เสาชิงช้านั้นจะได้ขวนขวายในที่จะเล็งแลดูซึ่งที่สุดทั้ง ๒ แลท่ามกลางแห่งกระดานชิงช้านั้นหาบ่มิได้ ก็ได้เห็นซึ่งที่ทั้ง ๓ คือที่สุดทั้ง ๒ แลท่ามกลางแห่งกระดานชิงช้า อันไกวไปแล้วแลกลับมาโดยลำดับ
อนึ่งโทวาริกะบุรุษอันรักษาประตูนั้น จะได้เป็นภาระธุระที่จะเที่ยวถามซึ่งบุคคลภายในแลภายนอกพระนครว่า ท่านนี้ชื่อใดมาแต่ไหนสิ่งอันใดมีในมือนั้น จะถามดังนี้หาบ่มิได้ นั่งอยู่แทบประตูคอยพิจารณา ซึ่งชนอันมาถึงทวารเข้าก็รู้ว่ามาแต่ทิศทั้ง ๒ ฉันใดก็ดี อันว่าพระโยคาพจรยืนอยู่ในที่ใกล้เสาคือที่อันลมถูกต้องนั้นแล้วก็ไกวไปซึ่งกระดานชิงช้า คืออัสสาสะปัสสาสะเอาสตินั้นนั่งประจำไว้ในนิมิตคือลมอันจะมาถูกต้องนั้น คอยกำหนดซึ่งต้นลมกลางลมปลาย ในที่อันถูกต้องแห่งอัสสาสะปัสสาสะอันไปแลมาโดยลำดับ ไม่พักขวนขวายที่จะตามลมออกมาแลตามเข้าไปเลยก็ได้เห็นซึ่งอัสสาสะปัสสาสะอันมาแลไปมากระทบเข้าในที่ทั้ง ๓ คือปลายนาสิกแลหทัยแลนานาภีโดยปกติ ประดุจคนไกวชิงช้าอันเห็นซึ่งต้นแลปลายแลท่ามกลางแห่งกระดาน แลนายประตูอันเห็นซึ่งคนอันมาถึงแทบทวารแห่งพระนครนั้น
แลพระโยคาพจรบางจำพวกจำเดิมแต่มนสิการซึ่งพระกรรมฐานด้วยสามารถอันนึกนับนั้นลมอัสสาสะก็ดับไปโดยลำดับ กระวนกระวายก็ระงับลง เมื่อกระบนกระวายระงับลงแล้วจิตก็เบาขึ้น ครั้นจิตเบาขึ้นแล้วกายก็เบาขึ้นด้วย ปรากฏประดุจหนึ่งถือซึ่งอาการจะลอยไปในอากาศเมื่อโอฬาริกอัสสาสะลมหายใจหยาบดับลงแล้วจิตแห่งพระโยคาพจรนั้นก็มีแต่นิมิต คืออัสสาสะปัสสาสะอันสุขุมนั้นก็ดับลงบังเกิดเป็นอติสุขุมเข้ายิ่งกว่าลมอันสุขุมในก่อนนั้น ประดุจบุรุษตีเข้าซึ่งกังสดาลด้วยสากเหล็ก แลเสียงแห่งกังสดาลนั้นดังอย่างอยู่ในก่อนแล้วแลมีเสียงอันละเอียดเข้า ๆ ในภายหลังเป็นอารมณ์โดยลำดับนั้น
แลพระโยคาพจรจำเริญซึ่งพระกรรมฐานอันนั้น ครั้นมนสิการไปในเบื้องบน ๆ ก็ยิ่งปรากฏแจ้งออก แลพระอานาปานสติกรรมฐานนี้ จงได้เป็นดังนี้หาบ่มิได้ยิ่งจำเริญขึ้นไป ๆ ก็ยิ่งละเอียดเข้าถึงซึ่งมิได้ปรากฏแก่พระโยคาพจรผู้จำเริญนั้นแลลมนั้นดุจหนึ่งว่าหายไป ๆ โดยลำดับ ๆ ในเมื่อพระกรรมฐานบ่มิได้ปรากฏดังนั้นแล้ว พระโยคาพจรอย่าพึงลุกจากอาสน์ไป ด้วยดำริว่าจะไปถามอาจารย์ดูก็ดี แลคิดว่าพระกรรมฐานของอาตมาฉิบหายแล้วก็ดี ถ้าลุกจากอาสน์ไปอิริยาบถอันนั่งนั้นกำเริบแล้ว พระกรรมฐานก็จะเป็นอันใหม่ ๆ ไปเหตุดังนั้นให้พระโยคาพจรนั่งอยู่ในที่นั้นแล้ว พึงนำพระกรรมฐานให้คืนมาแต่ประเทศอันลมเคยถูกต้องเป็นปกตินั้น อุบายซึ่งจะนำให้ลมคืนมาดังนี้
เมื่อพระโยคาพจรรู้ว่าพระกรรมฐานบ่มิได้ปรากฏแล้วพึงพิจารณาค้นคว้าดูว่าลมอัสสาสะปัสสาสะนี้ มีในที่ดังฤๅ หามิได้ในที่ดังฤๅ มีแก่บุคคลจำพวกไร มิได้แก่คนจำพวกไร เมื่อพิจารณาหาดังนี้ก็รู้ว่าลมหายใจออกเข้ามิได้มีแก่บุคคล ๗ จำพวก คือคนอันอยู่ในครรภ์มารดา ๑ คนอันดำลงไปในน้ำ ๓ แลพรหมอันอยู่ในอัสญญีภพ ๑ คนตาย ๑ เข้านิโรธ ๑ เป็น ๗ ด้วยกัน เมื่อรู้ดังนี้แล้ว พึงตักเตือนตนเองว่า ดูก่อนท่านผู้เป็นนักปราชญ์ตัวท่านจะได้เป็นคนอยู่ในครรภ์มารดา แลเป็นคนอันดำนั้นอยู่ก็หาบ่มิได้
อนึ่งจะเป็นอสัญญีสัตว์ เป็นคนตายเป็นคนเข้าจตุตถฌาน แลเป็นรูปพรหม อรูปพรหม แลพระอริยเจ้าอันเข้านิโรธสมาบัติก็หาบ่มิได้ แลลมอัสสาสะปัสสาสะนั้นก็มีอยู่จะสูญไปไหน แต่ทว่าปัญญาท่านน้อยก็บ่มิอาจจะกำหนดได้ เมื่อตักเตือนตนดังนี้แล้วจึงตั้งซึ่งจิตไว้ด้วยสามารถอันมากระทบเป็นปกติแล้ว พึงมนสิการซึ่งลมนั้นแท้จริง ลมอัสสาสัปัสสาสะนั้นถ้าคนมีนาสิกยาวย่อมกระทบกระพุ้งจมูกคน นาสิกนั้นลมกระกระทบปลายโอษฐ์เบื้องบน เหตุดังนั้นให้พระโยคาพจรเอาสติกำหนดซึ่งลม ว่าจะมากระทบซึ่งที่อันนี้ ประดุจบุรุษไถนาอันคอยโค แลบุรุษไถนานั้น ครั้นไถไปเต็มกำลังโคแล้ว ก็ปลดซึ่งโคออกจากแอกปล่อยไปสู่ที่อาหาร ตนนั้นก็เข้าอยู่ในร่มไม้รำงับกระวนกระวาย ฝ่ายโคนั้นก็เข้าไปยังป่าชัฏด้วยกำลังอันเร็ว แลบุรุษไถนาผู้ฉลาดปรารถนาจะจับซึ่งโคเทียมแอกอีก จะได้ตามรอยเท้าโคไปในป่าชัฏหาบ่มิได้ ถือเอาซึ่งเชือกและประฏักแล้ว ก็ตรงไปสู่ท่าที่โคเคยลงนั่งคอยนอนคอยในที่นั้น
ฝ่ายโคเที่ยวไปสิ้นวันยังค่ำแล้วก็ลงไปสู่ท่า อาบน้ำแล้วกลับขึ้นมาเจ้าของนั้นเห็นจึงจับเอาโคนั้นขึ้นมา ผูกด้วยเชือกแทงด้วยประฏักแล้วก็พามาเทียมแอกเข้าไถไปใหม่เล่าแลมีฉันใด พระโยคาพจรผู้จำเริญพระอานาปานสติกรรมฐานนี้ เมื่อลมอัสสาสะปัสสาสะสูญไปแล้ว อย่าพึงไปแสวงหาในที่อื่นถือเอาซึ่งเชือกคือสติ ประฏักคือปัญญาตั้งไว้ซึ่งจิตคอยประจำอยู่ในที่อันลมถูกต้องโดยปกติ อุตสาหะมนสิการกำหนดไปไม่ช้าลมนั้นก็จะปรากฏดุจโคอันลมมาสู่ท่า ลำดับนั้นพระโยคาพจรก็จับซึ่งอัสสาสะได้ผูกให้มั่นด้วยเชือกคือสติ เอามาประกอบเข้าในที่ลมอันเคยถูกต้องนั้นแล้ว ก็แทงด้วยประฏักคือปัญญาแล้ว ก็พึงประกอบซึ่งกรรมฐานจงเนือง ๆ
เมื่อพระโยคาพจรประกอบเนือง ๆ ดังนี้บ่มิช้าอุคคหนิมิตแลปฏิภาคนิมิต ก็ปรากฏแก่พระโยคาพจรนั้นแลอุคคหนิมิตปฏิภาคนิมิตจะเหมือนกันทุกพระโยคาพจรหาบ่มิได้ บางอาจารย์กล่าวว่าพระโยาคาพจรบางพระองค์อุคคหนิมิตเมื่อบังเกิดขึ้นนั้น มีสัมผัสอันเป็นสุขปรากฏดุจหนึ่งว่าเป็นปุยนุ่นบ้างปุยสำลีบ้าง แลนิมิตทั้ง ๓ นี้เล็งเอาอุคคหนิมิตสิ่งเดียว แลคำพิพากษาในอรรถกถานั้นว่าอุคคหนิมิตแลปฏิภาคนิมิตนี้ปรากฏแก่พระโยคาพจรบางพระองค์เป็นช่วงดังรัศมีดาว แลพวงแก้วมณี พวงแก้วมณีมุกดาแลพระโยคาพจรบางพระองค์ อุคคหนิมิตปฏิภาคนิมิตมีสัมผัสอันหยาบปรากฏดังเมล็ดในฝ้ายบ้าง ดังเสี้ยนสะเก็ดไม้แก่นบ้าง บางพระองค์ปรากฏดังด้ายสายสังวาลอันยาวแลเปลวควันเพลิงบ้าง บางพระองค์ปรากฏดุจหนึ่งใยแมลงมุมอันขึงอยู่แลแผ่นเมฆแลดอกบัวหลวงแลจักรรถ บางทีปรากฏดังดวงพระจันทร์พระอาทิตย์ก็มี แลกรรมอันเดียวนั้นก็บังเกิดต่าง ๆ กันด้วยสัญญาแห่งพระโยคาพจรมีต่าง ๆ กัน
อนึ่งธรรม ๓ ประการ คือลมออก ๑ ลมเข้า ๑ นิมิต ๑ จะได้เป็นอารมณ์แห่งจิตอันเดียวกันหามิได้ ลมออกก็เป็นอารมณ์แห่งจิตอัน ๑ ลมเข้าก็เป็นอารมณืแห่งจิตอัน ๑ ต่างกันดังนี้ ก็แลพระโยคาพจรพระองค์ใดบ่มิได้รู้ซึ่งธรรมทั้ง ๓ คือลมออกมิได้ปรากฏแจ้ง ลมเข้าก็มิได้ปรากฏแจ้ง นิมิตก็มิได้ปรากฏแจ้ง มิได้รู้ซึ่งธรรมทั้ง ๓ ประการนี้แล้ว พระกรรมฐานแห่งพระโยคาพจรพระองค์นั้นก็มิได้สำเร็จซึ่งอุปจารแลอัปปนา ต่อเมื่อใดธรรมทั้ง ๓ นี้ ปรากฏแจ้งพระกรรมฐานแห่งพระโยคาพจรนั้นจึงจะสำเร็จถึงซึ่งอุปจารฌานแลอัปปนาฌานในกาลนั้น
เมื่อนิมิตบังเกิดดังนี้แล้ว ให้พระโยคาพจรไปยังสำนักอาจารย์พึงถามดูว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อาการดังนี้ปรากฏแก่ข้าพเจ้าพระมหาเถรสันทัดในคัมภีร์ทีฆนิกายนั้น ถ้าศิษย์มาถามดังนั้น อาจารย์อย่าพึงบอกว่านั่นแลคืออุคคหนิมิตแลปฏิภาคนิมิต และจะว่าใช่นิมิตก็อย่าพึงว่า พึงบอกว่าดูกรอาวุโส ดังนั้นแลท่านจงมนสิการไปให้เนือง ๆ เถิด ครั้นอาจารย์บอกว่าเป็นอุคคปฏิภาคแล้ว สตินั้นก็จะคลายความเพียรเสียมิได้จำเริญพระกรรมฐานสืบไป ถ้าบอกว่าดังนั้นมิใช่นิมิต จิตพระโยคาพจรก็จะถึงซึ่งนิราศสิ้นรักใคร่ยินดีในพระกรรมฐาน เหตุดังนั้นอย่าได้บอกทั้ง ๒ ประการ พึงเตือนแต่อุตสาหะมนสิการไปอย่าได้ละวาง
ฝ่ายพระมหาเถระผู้กล่าวคัมภีร์มัชฌิมนิกายว่า ให้อาจารย์พึงบอกดูกรอาวุโส สิ่งนี้คืออุคคหนิมิตสิ่งนี้คือปฏิภาคนิมิตบังเกิดแล้ว ท่านผู้เป็นสัตบุรุษจงอุตสาหะมนสิการพระกรรมฐานไปจงเนือง ๆ เถิด และพระโยคาพจรเป็นศิษย์พึงตั้งซึ่งภาวนาจิตไว้ในปฏิภาคนิมิตนั้น จำเดิมแต่ปฏิภาคนิมิตบังเกิดแล้วอันว่านิวรณธรรมทั้ง ๕ มีกามฉันทะเป็นต้นก็สงบลง บรรดากิเลสธรรมทั้งหลายมีโลภะ โทสะ เป็นต้นก็รำงับไป จิตแห่งพระโยคาพจรก็จะตั้งมั่นลงด้วยอุปจารสมาธิ แลพระโยคาพจรนั้น อย่าพึงมนสิการซึ่งนิมิต โดยวรรณมีสีดังปุยนุ่นเป็นต้น อย่าพึงพิจารณาโดยสีอันหยาบ แลลักษณะมีความไม่เที่ยงเป็นต้น พึงเว้นเสียซึ่งสิ่งอันมิได้เป็นที่สบาย ๗ ประการ มีอาวาสมิได้เป็นสบายเป็นต้น พึงเสพซึ่งสบาย ๗ ประการ มีอาวาสสบายเป็นต้น แล้วพึงรักษานิมิตนั้นไว้ ให้สถาพรเป็นอันดี ประดุจนางขัตติยราชมเหสีอันรักษาไว้ซึ่งครรภ์ อันประสูติออกมาได้เป็นบรมจักรพรรดิราชนั้น
เมื่อรักษาไว้ได้ดังนี้แล้ว พระกรรมฐานก็จำเริญแพร่หลายแลพระโยคาพจรพึงตกแต่งซึ่งอัปปนาโกศล ๑๐ ประการ ประกอบความเพียรให้เสมอพยายามสืบไป อันว่าจตุกฌานปัญญจกฌานก็จะบังเกิดในมิตนั้น โดยลำดับดังกล่าวมาแล้วในปฐวีกสิณ เมื่อจตุกฌานปัญจกฌานบังเกิดแล้ว ถ้าพระโยคาพจรมีความปรารถนาจะจำเริญซึ่งพระกรรมฐานด้วยสามารถสัลลักขณาวิธีแลวัฏฏนาวิธี จะให้ถึงซึ่งอริยผลนั้น ให้กระทำฌานอันตนได้นั้นให้ชำนาญคงแก่วสี ๕ ประการแล้ว จึงกำหนดซึ่งนามรูป คือจิตแลเจตสิกกับรูป ๒๘ ปลงลงสู่วิปัสสนาปัญญาพิจารณาด้วยสามารถสัมมัสสนญาณเป็นต้นก็สำเร็จแก่พระอริยมรรคอริยผล มีพระโสดาบันเป็นต้น เป็นลำดับตราบเท่าพระอรหัตตผลเป็นปริโยสาน ด้วยอำนาจจำเริญซึ่งพระอานาปาสติกรรมฐานนี้ เหตุดังนั้นพระโยคาพจรกุลบุตรผู้เป็นบัณฑิตชาติอย่าพึงประมาท จงหมั่นประกอบเนือง ๆ ซึ่งพระอานาปาสติสมาธิอันกอปรด้วยอานิสงส์เป็นอันมากดังกล่าวมานี้ ฯ
วินิจฉัยในพระอานาปาสติกรรมฐานยุติเท่านี้
จักวินิจฉัยในอุปสมานุสสติกรรมฐานสืบต่อไป พระโยคาพจรมีความปรารถนาจะจำเริญซึ่งพระอุปมานุสสติกรรมฐานนั้น ให้เข้าไปสู่เสนาสนะอันเป็นที่สงัดกายแลจิตแล้ว พึงระพึงซึ่งคุณพระนิพพานอันระงับซึ่งวัฏฏทุกข์ทั้งปวงด้วยพระบาลีว่า มทนิมฺมทโน ก็ได้ ปิปาสวินโย ก็ได้ อาลยสมุคฺฆาโต ก็ได้ วฏฺฏปริจฺเฉโท ก็ได้ ตณฺหกฺขโย ก็ได้ วิราโค ก็ได้ นิโรโธ ก็ได้ นิพฺพานํ ก็ได้ และพระบาลีทั้ง ๙ อย่างนี้เป็นชื่อแห่งพระนิพพานสิ้น
มทนิมฺมทโน นั้นแปลว่าพระนิพพานธรรมย่ำยีเสียซึ่งมัวเมา มีความเมาด้วยความเป็นคนหนุ่มแลความไม่มีโรค แลชีวิตเป็นต้นให้ฉิบหาย ปิปาสวินโย นั้นแปลว่าพระนิพพานธรรมบรรเทาเสียซึ่งกระหายน้ำคือเบญจกามคุณ อาลยสมุคฺฆาโต นั้นแปลพระนิพพานธรรมถอนเสียซึ่งอาลัย คือเบญจกามคุณ วฏฺฏูปริจฺเฉโท นั้นแปลว่าว่าตัดเสียซึ่งเวียนไปในภพทั้ง ๓ ให้ขาด ตณฺหกฺขโย วิราโค นิโรโธ แปลว่าพระนิพพานธรรมถึงซึ่งสิ้นแห่งตัณหา หน่ายจากตัณหา ดับเสียซึ่งตัณหา นิพฺพานํ นั้นแปลว่า พระนิพพานธรรมออกจากตัณหา และพระโยคาพจรระลึกบทหนึ่งเอาเป็นบริกรรม ภาวนาก็ได้ แต่ทว่าสำเหนียกนามว่า นิพฺพานํนั้นปรากฏว่าชื่อทั้งปวง ให้พระโยคาพจรระลึกว่านิพฺพานํ ๆ เนือง ๆ ขณะเมื่อพระโยคาพจรจะระลึกซึ่งพระนิพพานคุณอันรำงับซึ่งวัฏฏทุกข์ทั้งปวงนี้ อันว่า ราคะ โทสะ และโมหะ ก็จะมิได้ครอบงำซึ่งจิตแห่งพระโยคาพจรนั้น
ขณะเมื่อระลึกซึ่งคุณนิพพานธรรมนั้น จิตแห่งพระโยคาพจรก็จะถึงซึ่งอันซื่อตรง ข่มลงซึ่งนิวรณธรรมนั้น ๕ องค์ อุปจรฌานก็จะบังเกิดแต่ทว่ามิได้ถึงซึ่งองค์อัปปนาฌานเหตุแห่งพระนิพพานนั้น คัมภีร์ภาพจิตแห่งพระโยคาพจรหยั่งลงในอันระลึกพระคุณนั้นมีประการต่าง ๆ จึงมิได้ถึงซึ่งองค์อัปปนา แลฌานอันพระโยคาพจรจำเริญซึ่งอุปสมคุณแลได้นั้น ชื่อว่าอุปสมานุสสติฌาน อันว่าบุคคลอันเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ชื่อว่าภิกษุเมื่อหมั่นประกอบเนือง ๆ ซึ่งอุปสมานุสสตินี้ จะมีอันทรีย์แลจิตอันระงับถึงจะหลับแลตื่นก็เป็นสุข และจะประกอบด้วยหิริโอตตัปปะนำมาซึ่งความเลื่อมใสโดยรอบคอบ จิตนั้นจะหยั่งลงในพระนิพพานคุณ แลจะเป็นที่สรรเสริญแลเคารพรักใคร่แห่งเพื่อนพรหมจารี ถ้าแลมิได้ตรัสรู้ซึ่งมรรคผลในชาตินี้ ก็จะมีสุคติเป็นเบื้องหน้า เหตุดังนั้นนักปราชญ์ผู้มีปัญญาอย่าได้ประมาท หมั่นจำเริญซึ่งอุปสมานุสสติอันกอปรด้วยคุณอานิสงส์อันเป็นมาดุจกล่าวมานี้ วินิจฉัยในอุปสมานุสสติกรรมฐานยุติเเต่เท่านี้
จบอนุสสติ ๑