ตายไม่สูญ..ตายแล้วไปไหน
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ

ประสบการณ์ตายของพระมหาถาวร
(หลวงพ่อพระราชพรหมยานวัดท่าซุง)
ตายครั้งที่ ๑

     เวลานั้นฉันอายุ ๒ ปีเศษ ๆ ย่างเข้าปี ๓ ปี ตั้งแต่อายุปีเศษ ๐ พอพูดได้บ้าง ท่านแม่ก็เกณฑ์แนะนำแกมบังคับว่าก่อนจะหลับต้องภาวนาว่า “พุทโธ” แต่การสอนภาวนา “พุทโธ” ของท่านก็ไม่ต้องมีพีธีรีตองมาก ไม่ต้องกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ใช่หายใจนึกว่า “พุท” หายใจออก “โธ” ถ้าทำอย่างนั้นเด็ก ๆ ทำไม่ได้แน่ ท่านต้องการคำเดียวคือว่า “พุทโธ” ก่อนหลับ จะต้องภาวนาให้ท่านได้ยิน ถ้าหลับก่อนที่จะพูดว่า “ พุทโธ” ให้ท่านได้ยิน ๓ ครั้งไม่ได้ ท่านจะปลุกให้ตืนให้ว่า “พุทโธ” ตามเดิม คือต้องให้ท่านได้ยินว่า “พุทโธ” พุทโธ” “พุทโธ” เพียงเท่านั้นท่านให้หลับได้

     พออายุ ๒ ปีเศษ ๆ ใกล้ถึง ๓ ปี ฉันป่วยฉับพลัน นั้นก็คือเป็นโรคท้องร่วง เมื่อโรคท้องร่วงเกิดขึ้นท่านแม่ก็บอกให้ท่านลุงมารักษา ท่านลุงท่านเป็นทั้งแพทย์แผนปัจจุปันและแผนโบราณ เป็นหมอที่มีชื่อเสียงมาก แต่ว่ายาของท่านสู้โรคไม่ได้ ในที่สุดฉันก็ตาย การตายคราวนั้นมีญาติอยู่มาก มีท่านย่ามาพยาบาลอยู่ด้วย เมื่อฉันตายเข้าจริง ๆ ท่านย่าก็กลับบ้าน เป็นเวลาใกล้จะ ๕ โมงเย็น ที่ฉันรู้ก็เพราะท่านพ่อกับท่านแม่และท่านย่าเล่าให้ฟัง เด็กคงจำอะไรไม่ได้

     เมื่อท่านย่ากลับไปบ้านท่านก็อาบน้ำแต่งตัวแล้วก็จะกินข้าวเย็น อิ่มแล้วจะได้กลับมาฟังพระสวดอภิธรรม แต่พอแต่งตัวเสร็จก็ปรากฏว่าท่านลงจากบ้านวิ่งตื๋อมาบ้านฉันทันที บ้านไม่ไกลกัน บรรดาญาติพี่น้องทั้งหลายแปลกใจ ไม่เคยเห็นจริยาของท่านย่าแบบนี้ ทุกคนวิ่งตามมามีความรู้สึกว่าท่านย่าอาจจะเสียใจที่ฉันตาย และเรื่องร้ายอาจจะเกินขึ้นที่บ้านก็ได้ท่านจึงวิ่งมา

     ท่านย่าขึ้นมาบนบ้านแทนที่ท่านจะนั้งตามปกติ เพราะปกติท่านชอบนั่งพับเพียบ แต่วันนั้นพอขึ้นมาท่านนั่งสมาธิ ๒ ชั้น แล้วก็ถามว่า “ ลูกของกูป่วยไม่สบายเท่านี้ มึงรักษากันไม่ได้หรือ ทำไมปล่อยให้ลูกของกูตาย” เสียงท่านผิดจากเดิมเป็นลักษณะของผู้ชาย พูดจาห้าวหาญ บอกว่า “ กูไม่ใช่แม่ของมึง กูคือพระอินทร์ เป็นพ่อของเจ้าเด็กคนนี้ เจ้าเด็กคนนี้เป็นลูกของกูมานับแสนชาติ ทำไมโรคเท่านี้เอ็งรักษาไม่ได้หรือ โรคไม่หนักนัก” ท่านลุงก็บอกว่า “ เกินวิสัยของผมแล้วครับ เป็นเร็วเหลือเกิน ยาสู้ไม่ได้ ” ท่านก็เลยบอกว่า “ ถ้าอย่างนั้นเอ็งเอาน้ำมนต์ เมื่อทำน้ำมนต์เสร็จ ท่านก็บอกว่า “ เลื่อนเด็กเข้ามาใกล้ ๆ ข้า ”

     เขาก็เลื่อนศพไปใกล้ ๆ ท่านเอามือลูบไปครั้งหนึ่งพร้อมกับเป่า แล้วก็นั่งมองประเดี๋ยวหนึ่ง ท่านก็ลูบไปอีกครั้งแล้วก็เป่าแล้วนั่งมองประเดี๋ยวหนึ่ง ท่านก็ลูบไปอีกครั้งก็เป่า พอ ๓ ครั้งท่านก็อมน้ำประเดี๋ยวก็เป่าพรวด เป่าไปครั้งแรกไม่มีอะไรผิดปกติ พอเป่าครั้งที่ ๒ ปรากฏว่าเด็กที่ตายไปแล้วลืมตาขึ้น ขยับมือได้ พอเป่าครั้งที่ ๓ ปรากฏว่าเด็กลุกขึ้นพูดจาได้ตามปกติ อาการโรคต่าง ๆ ที่เป็นหายหมด

     หลังจากนั้นท่านก็ประกาศว่า “ ต่อแต่นี้ไปถ้าเด็กคนนี้เป็นอะไร ถ้าเห็นว่าเกินวิสัยที่จะเยียวยาได้ให้จุดธูปบอกท่าน ท่านจะมาช่วยรักษา” แล้วท่านก็มองมาที่เด็ก เรียกเข้ามาใกล้ ๆ ให้หันหน้ามาบอกว่า “ เจ้าจงจำไว้นะ ว่าพ่อนี้คือพ่อของเอง เอ็งเป็นลูกพ่อมานับแสนชาติ พ่อนี้คือพระอินทร์ ต่อนี้ไปถ้ามีความกลัวอะไรเกิดขึ้นหรือมีการขัดข้องอะไรก็ตาม จงนึกถึงพ่อ พ่อจะมาหาทันที ถ้ากลัวผีพ่อจะช่วยขับผี ถ้ากลัวหมาบ้าพ่อจะช่วยขับหมาบ้า ”

     เวลานั้นฉันกลัวผีทั้งหมาบ้า ปกติกลัวผีมาก สมัยเป็นเด็ก ๆ อยู่บนบ้านคนเดียวไม่ได้ ถ้านั่งอยู่ข้างล่างก็นั่งอยู่คนเดียวไกลผู้ใหญ่ไม่ได้กลัว สำหรับสุนัขนี่ ผู้ใหญ่เขาหลอกว่าหมาบ้าจะกัดก็เลยมาอารมณ์กลัวหมาบ้าอีก หลังจากบนั้นท่านก็ลาไป ปกติฉันเป็นคนกลัวผี บางวันท่นพ่อท่านแม่ พี่ท่านไปข้างล่างท่านบอก “ อยู่ข้างบนนะ อย่าไปไหนเลย อย่าเที่ยวไป อย่าเล่นไป จะหลุ่นใต้ถุนจะเจ็บ ” คำสั่งฉันถือเป็นคำสั่ง ถ้าเป็นคำสังของท่านผู้ใหญ่ก็ปฏิบัติตาม เมื่ออยู่คนเดียวก็กลัวผี ถ้จะลงก็กลัวถูกตี ในที่สุดก็แก้ปัญหาช่วยตัวเองโดยนึกถึง “ ท่านพ่อพระอินทร์ ” ขอท่านมาช่วยโปรด เวลานี้กลัวผี ”

     พอนึกปั๊ปก็เห็นท่านทันที เราเข้าใจกันว่าพระอินทร์ตัวเขียว ท่านมาตัวเขียว ๆ มาแล้วท่านก็บอกว่า “ ไม่ต้องกลัว พ่อมาแล้ว ผีมาไม่ได้ ผีทั้งหมดสู้พ่อไม่ได้ ” และในบางครั้งท่านมีภารกิจท่านมาแล้วท่านก็บอกว่า “ พ่อต้องรีบกลับแต่สองคนนี้จะช่วยลูก ” สองคนนี้เป็นผู้หญิงสาวและสวยใส่ชฎาด้วย ทั้งตัวและเสื้อผ้าเต็มไปด้วยเพชรแพรวพราวเป็นระยับ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ท่านบอกว่า “ คนนี้เป็นแม่ของเจ้ามาหลายแสนชาติเพราะเป็นชายาของพ่อ และคนนี้เป็นพี่สาวของเจ้ามาหลายแสนชาติเหมือนกัน ท่านช่วยสงเคราะห์ ต่อแต่นี้ไปถ้าพ่อมีธุระ จะให้แม่กับพี่มา ”

     ก็คุยกันแบบธรรมดา ฉันก็ชอบสวย ๆ ท่านยิ้มแย้มแจ่มใส ท่านถามว่า “ นี่สวยไหม ตรงนี้สวยไหม เพชรตรงนี้ดีไหม ” ท่านก็ชวนคุย ฉันก็มีความเพลิดเพลินมีความสุข แต่คุยไม่นานท่านก็จับไปนอนตัก รู้สึกว่าเนื้อของท่านนิ่มกว่าเนื้อของแม่ในชาตินี้มากและมีความอบอุ่นเป็นพิเศษ ท่านลูบไปลูบมาประเดี๋ยวเดียวฉันก็หลับ นี่เป็นเรื่องของ เทวานุภาพ

     วันต่อ ๆ มาบางครั้งบางทีฉันอยู่คนเดียวก็มีความรู้สึกว่า มีลุงคนหนึ่งมาอยู่เป็นเพื่อนด้วย ลุงคนนี้เป็นลุงในชาตินี้ ท่านตายไปแล้ว สมัยเมื่อท่านมีชีวิตอยู่ท่านรักฉันมาก และเคยขอท่านพ่อท่านแม่ว่า “ คนนี้ขอเป็นลูกของฉัน ” เพราะท่านไม่มีลูก ท่านพ่อท่านแม่ก็อนุญาตยกให้เป็นลูก บางทีฉันนั่งข้างนอก ท่านก็มานอนอยู่ในห้องมีเสียงกรนให้ได้ยิน จำได้ว่าเป็นเสียงลุง ได้กลิ่นตัวก็จำได้ เป็นกลิ่นตัวของท่าน ก็หมดความกลัว บางขณะเดินไปไหนตอนที่ฉันโตเป็นหนุ่มแล้ว เมื่อเดิกความกลัวขึ้นมาก็รู้สึกว่า มีคนตามมาข้างหลังแต่มองไม่เห็น บางทีฉันก็แกล้งบอกว่า “ เอ้าเดินข้างหน้าบ้างสิ เดินข้างหลังอย่างเดียวได้ไง ” ก็รู้สึกเหมือนคนเดินหลีกไปทางขวาแล้วเดินไปข้างหน้าและมีเสียงคนเดินข้างหลัง บางคราวก็มีเสียงคุยกันจ๊อกแจ๊กหัวเราะต่อกระซิก ลักษณะคล้าย ๆ เป็นการขบขันเหลือเกินที่กลัว ความจริงฉันเป็นหนุ่มแล้วฉันก็ยังหวาดกลัว

     แต่ลักษณะของฉันเป็นลักษณะของคนดื้อ ถ้าก้าวแรกออกแล้วจะไม่ยอมถอยหลังกลับจะไปไหนต้องไปให้ได้มืดค่ำก็ตาม ฉะนั้นเสียงคนติดตามจึงมีอยู่เสมอ มีคราวหนึ่งฉันเดินไปที่ตรงนั้นมันมืดและก็มีสุมทุมพุ่มไม้ พอเข้าเขตนั้นชักไม่ไว้ใจตาก็มองจุดนั้น มือหนึ่งก็ดึงปืนออกจากกระเป๋าอีกมือหนึ่งถือมีดคิดว่าถ้าข้าศึกออกมาก็ต้องยิงกัน ถ้ายิงไม่ออกก็ต้องฟันกัน พอฉันคิดอย่างนั้น ก็มีเสียงหัวเราะครืนทันที จึงถามว่า “ ใครมาหัวเราะทำไม ท่านแม่และท่านพี่หรือ “ ตอบว่า “ น้อง ” ถามว่า “ น้องมีกี่คน ” ตอบว่า “ รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างอย่างไร ” ทั้งหมดแสดงให้ปรากฏชัด กลางคืนมืด ๆ ก็เหมือนไฟสว่าง ๒ ,๐๐๐ แรงเทียน เห็นชัดมากหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เธอแต่งตัวเป็นนางฟ้าไม่ใช่คน

     เป็นอันว่าการตายครั้งแรกของฉัน ฉันเป็นเด็กไม่รู้ภาษีภาษา ก็อาศัยคำภาวนาว่า " พุทโธ” โดยไม่ได้ตั้งใจอะไร เป็นการบังคับของท่านแม่ซึ่งก็เป็นประโยชน์ เวลาที่ฉันตายแล้วฟื้นมาใหม่ ทำให้ฉันรู้จักเทวดา รู้จักพระอินทร์ รู้จักนางฟ้า ฉะนั้นจึงเชื่อว่า เทวดามีจริง ทั้ง ๆ ที่เวลานั้นฉันยังไม่เคยฟังเทศน์ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เทวดามีจริง

หน้า 1   หน้า 2   หน้า 3   หน้า 4   หน้า 5   หน้า 6   หน้า 7   หน้า 8