ตายไม่สูญ..ตายแล้วไปไหน
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ

ประสบการณ์ตายของพระมหาถาวร
(หลวงพ่อพระราชพรหมยานวัดท่าซุง)
ตายครั้งที่ ๕
    พอถึงปี ๒๕๐๐ ฉันอายุย่างเข้า ๔๐ บวชพรรษาที่ ๑๙ หลวงพ่อปานท่านมาบอกก่อนว่าอีก ๓ ปี คุณจะป่วยหนักงานก่อนสร้างทั้งหมดขอให้เบาตัว คราวนี้ป่วยหนักเลยเข้าโรงพยาบาลกรมแพทย์ทหารเรือ เพราะหลานชายอยู่ที่กรมแพทย์เรือและก็มีเรือและก็มีหลาย ๆ คนรู้จักกัน เวลานั้นหมอประกอบเป็นผู้อำนวย พักอยู่ที่ตึก ๑ เป็นห้องพิเศษ ทุกวันพอถึงเวลาจวนจะ ๒ ทุ่ม จะมีอาการแน่นท้อง เสียดหน้าอก มันแน่นขึ้นมา ๆ จนกระทั้งหายใจไม่ออก แต่ตอนกลางวันไม่เป็นอะไร ป่วยคราวนี้ฉันรู้ว่าฉันแก่แล้ว คิดว่าคราวนี้ฉันตายแน่

   พอถึงคืนวันที่ ๓ ก็คิดว่าคืนนี้มันคงจะเอาอีก ก็ตั้งท่าสู้พอถึงเวลาใกล้จะ ๒ ทุ่มก็เรียกจ่าพยาบาลมาให้ไขเตียงในท่านั่ง แล้วให้จ่าออกจากห้องปิดประตูใส่กุญแจหน้าห้อง วันนี้ฉันตั้งท่าสู้โดยเอาสติจับสมาธิ จับอานาปานานุสสติกรรมฐานแล้วก็ปลงว่า ขันธ์ ๕ คือร่างกายมันจะพังเราไม่ต้องการมันอีก ทรัพย์สินของเราไม่มี ญาติพี่น้องไม่มี พ่อแม่ไม่มี ที่พึ่งอื่นของเราไม่มี นอกจากคุณพระรัตนตรัย เวลานี้เราต้องการคุณของพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ธรรมใดที่พระพุทธเจ้าทรงเห็นแล้ว เราต้องการเห็นธรรมนั้น คิดในใจเพียงเท่านี้เองไม่ได้ทำอะไรมากหรอก

   พอเวลา ๒ ทุ่มตรงแทนที่อาการปวดเสียดมันจะมา กลับเห็นมีพรหมองค์หนึ่งมายืนอยู่ข้างหน้า แสงสว่างมากมีความสวยสดงดงม ท่านคือ ท่านสหัมบดีพรหม ท่านบอกว่า “ พระพุทธเจ้าให้มานิมนต์ไปเฝ้า ” ก็เดินตามท่านไป เวลาออกจากตัวรู้สึกว่าร่างกายของฉัน สวยกว่าการตายทุกครั้งที่ผ่านมา มีความบางกว่า เครื่องประดับประดาก็สวยสดงดงาม ท่านพาเดินลัดเลอะไปตั้งแต่โลกันตมหานรกขึ้นมาถึงอเวจีมหานรก ขึ้นมาเรื่อย ๆ เห็นนรกทุกขุม เรื่อยมาถึงแดนพรหมทุกชั้นถึงพรหมชั้นที่ ๑๖ กับอรูปพรหมอีก ๔ ชั้น ที่ท่านพาผ่านไปอย่างนั้นท่านต้องการให้ชมว่า คนเราถ้าทำชั่วก็ต้องตกนรกแบบนี้ เป็นเปรตแบบนี้ เป็นอสุรกายอย่างนี้ เป็นสัตว์เดรัจฉานแบบนี้ ถ้าทำดีเล็กน้อยก็เป็นคนบ้าง เป็นเทวดาเป็นนางฟ้าบ้าง เป็นพรหมบ้าง พอสุดทางพรหมชั้นที่ ๑๖ ท่านสหัมบดีพรหมก็บอกว่า “ ผมมีหน้าที่พาท่านมาแค่นี้

    ต่อแต่นี้ไปไม่ใช่หน้าที่ของผม ท่านต้องไปคนเดียว ” ถามท่านว่า “ ไปทางไหน ” ท่านก็ชี้ทางให้ไปก็เห็นทางไม่โตนัก พอย่างเท้าก้าวสู่ทาง ทางก็ใหญ่พรึบเป็นแผ่นดิน ๆ หนึ่งแต่เป็นแก้วผสมทอง สวยสดงดงามมาก พอออกจากเขตพรหมชั้นที่ ๑๖ ก็รู้สึกหมดแรงเหมือนคนที่เป็นไข้หนักตื่นขึ้นมาใหม่ ๆ เดินโผเผ ๆ ไม่มีแรง เมื่อเดินตรงไปก็พบสถานที่แห่งหนึ่งเหมือนวัด มีกำแพงคล้าย ๆ แก้วผสมทองมีหน้าบันคล้ายคลึงหน้าบันวัดท่าซุงที่หน้าโบสถ์ แต่สวยวิจิตรพิสดารมากกว่า มีซุ้มประตูเป็นทางเข้า พื้นที่เดินเป็นแก้วผสมทองเดินเข้าไปพอเห็นหอระฆังหลังหนึ่ง มีอาคารอยู่ ๓ หลังใหญ่มาก หลังหนึ่งเป็นหลังทึบคล้าย ๆ กับวิหารแก้ว อีก ๒ หลังโปร่งคล้าย ๆ กับมณฑปหน้าวิหารแก้วทั้ง ๒ มณฑป ไม่เหมือนกันเปี๊ยบแต่โปร่งคล้าย ๆ กันสว่างไสววิจิตรตระการตามาก

    มองไปด้านทิศตะวันออกเห็นสระโบกขรณีมีน้ำใส มีแท่นแก้ว มีต้นไม้แก้ว ตอนนั้นมีความรู้สึกว่าวัดอะไรสวยจริง ๆ ไม่เคยเห็น เงียบสงัดหาคนไม่ได้ เดินไปเดินมาก็หมดแรง จึงไปนอนที่หอระฆังหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ก็เห็นพระองค์หนึ่งมีฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการพวยพุ่งออกมาจากกาย ท่านเดินมาทางด้านกำแพงทิศตะวันออกซึ่งไม่มีประตูเข้า พอท่านเดินมาถึงกำแพงก็ขาดออกจากไป พอท่านเดินผ่านเข้ามา กำแพงก็ชนชิดกัน พอเห็นก็จำได้ทันทีว่าพระองค์นี้คือ องค์สมเเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะเคยเห็นบ่อย ท่านเดินมานั่งข้าง ๆ ฉันก็ลงจากพื้นของหอระฆังทองผสมแก้ว ท่านก็นั่งบนแท่น ฉันก็ก้มกราบท่านที่พระบาท

   ท่านถามว่า “ ในชีวิตนี้เธอคิดไหมว่าจะมานิพพาน ” ก็กราบทูนตามความจริงว่า “ไม่เคยคิดพระเจ้าข้า ” ท่านถามว่า “ ทำไม ” ก็ตอบว่า “ เขาบอกว่านิพพานสูญ ข้าพระพุทธเจ้าไม่ทราบว่านิพพานอยู่ที่ไหน ก็เลยไม่คิดว่าจะไป คิดอย่างเดียวว่า ถ้าตายแล้วไม่ต้องการขันธ์ ๕ ไม่ต้องการความเกิดอีก ” ท่านถามว่า “ ที่เธอนั่งอยู่นี้เขาเรียกว่าอะไร ” ก็ตอบว่า “ ไม่ทราบพระพุทธเจ้าข้า ” ท่านก็ถามต่อว่า “ ตั้งแต่ภูมเทวดา รุขเทวดา อากาศเทวดาทั้งหมด พรหมทั้งหมด เธอรู้จักไหม ” ก็ตอบว่า “ ท่านสหัมบดีพาผ่านมาแล้วทุกจุดถึงพรหมชั้นที่ ๑๖ ”

    ท่านถามว่า “ ที่นี่เขาเรียกพรหมชั้น ๑๖ ใช่ไหม ” ก็ตอบว่า “ไม่ใช่ เพราะว่าเลยมาแล้วพระพุทธเจ้าข้า ” ท่านจึงบอกว่า “ ที่นี่เขาเรียกนิพพาน พอเลยพรหมชั้นที่ ๑๖ มาเขาเรียกนิพพาน ” ก็แปลกใจถามท่านว่า “ เขาว่านิพพานสูญไม่ใช่หรือพระพุทธเจ้าข้า ” ท่านก็ทรงแย้มโอษฐ์บอกว่า ” ถ้านิพพานสูญ เธอจะนั่งอยู่ได้อย่างไร เธออ่านหนังสือของคนที่เขาไม่รู้จักนิพพาน นิพพานไม่ได้มีศัพท์ว่า “ สูญ ” อย่างเดียว มีศัพท์ว่า “ สุข ” ด้วย

    “ นิพพานัง ปรมัง สุขขัง ” แปลว่า “ นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ”

   และ “ นิพพานัง ปรมัง สุญญัง ” แปลว่า “ นิพพานเป็นธรรมอันว่างอย่างยิ่ง ” หมายความว่า “ สูญจากกิเลส ”

   ' 'สูญ” “ ว่าง ” คือว่างจากกิเลส ว่างจากความชั่วทั้งหมด ขอให้เธอจงมีความเข้าใจว่า “ นิพพานไม่มีสภาพสูญ ”

   ท่านถามอีกว่า “ เธอคิดจะมานิพพานไหม ” ก็ตอบว่า “ ไม่คิดพระพุทธเจ้าข้า ” ท่านถามว่า “ ทำไม” ก็ตอบว่า “ เพราะวิปัสสนาญาณยังอ่อนพระพุทธเจ้าข้า ” ท่านก็บอกว่า “ จริง เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ชาตินี้เธอจะมานิพพานได้หรือไม่ ลองดูก็แล้วกัน ” ท่านก็เนรมิตไม้ขึ้นมา ๑๐ ท่อนยาวประมาณแค่ศอก เป็นแบบไม้ไผ่แล้ววางไว้ ท่านก็เรียกพระขึ้นมา ๙ องค์ พระไม่รู้มาจากไหนโผล่มาผลุบผลับก็มาถึง จำได้ว่าองค์ที่ ๓ คือ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค แต่ละองค์มาถึงต่างก็นมัสการพระพุทธเจ้า แล้วก็หยิบไม้ไปคนละท่อน เหลืออีกอันหนึ่งพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า “ อันนี้เป็นของเธอ เธอยกไม้อันนี้ ” ก็นึกในใจว่ายกไม่ไหวแต่ก็เกรงใจท่าน จึงเข้าไปยกไม้ตั้งท่าเต็มที่ แต่พอยกเข้าจริง ๆ ปรากฏว่าไม้เบามากเหมือนกระดาษ ฉันมีกำลังขึ้นมาทันทีเอาใส่บ่าเดินตามพระไป

   พอเดินไปได้ประมาณสัก ๑๐ ก้าว ท่านก็เรียกกลับมาบอกว่า “ วางไม้เสียก่อน เธอยังไปไม่ได้ วิปัสสนาญาณยังอ่อน ” ก็กราบท่าน ท่านบอกว่า “ เธอสนใจสมถภาวนามากเกินไป วิปัสสนาญาณน้อย โดยที่เธอคิดว่าเธอปรารถนาพุทธภูมิ จะปรารถนาพุทธภูมิหรือสาวกภูมิก็ตาม วิปัสสนาญาณต้องครบคู่กับสมถภาวนา คือต้องสม่ำเสมอกัน และอีกประการหนึ่งเธอก็มีความจำเป็นต้องลาจากพุทธภูมิ” ก็บอกท่านว่า “ ไม่ตั้งใจจะลา ” ท่านบอกว่า “ ลาเพื่อช่วยกัน ถ้ายังปรารถนาพุทธภูมิอยู่อย่างนี้ก็จะสนใจเฉพาะฌานโลกีย์ ฌานโลกีย์ยังช่วยตัวเองไม่ได้ เพราะถ้าพลาดเมื่อไหร่ก็ลงอบายภูมิเมื่อนั้น ดูตัวอย่าง พระเทวทัต เธอต้องกลับไปเพื่อปฏิบัติวิปัสสนาญาณให้เต็มขั้น

   หลังจากนี้เป็นต้นไปเวลา ๔ ทุ่มตรง ถ้ามีแขกอยู่จงเลิกรับแขก เข้าที่นอนบูชาพระ ฉันจะไปสอนอริยสัจจนกว่าเธอจะได้ผล และจงอย่าลืมนะ อารมณ์ที่เธอคิดนั้นเป็นอารมณ์ของพระอรหันต์ หมายความว่า การที่เธอจะมานิพพานได้ นี่เธอคิดว่าพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง ทรัพย์สินต่าง ๆ ไม่สามารถจะช่วยเธอได้เมื่อเธอจะตาย ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์ สิ่งที่เป็นประโยชน์คือ คุณพระรัตนตรัยและเธอไม่ต้องการร่างกายเพราะมันป่วยไข่ไม่สบาย มีความทุกข์อยู่เสมอ ขึ้นชื่อว่าความเกิดไม่ต้องการอีก อันนี้เป็นอารมณ์ของพระอรหันต์ ทุกคนคิดอย่างนี้เป็นอารมณ์ มานิพพานได้ทุกคน ”

   ในที่สุดก็ลาท่านกลับมา พอฟื้นเวลาฝ่านไปตั้งแต่ ๒ ทุ่มถึงใกล้สว่าง พอตอนเช้าก็มีจ่าพยาบาลมาเคาะประตู นำอาหารมาให้ กินข้าวกินปลาเสร็จ กำลังจิตก็มีความสุขสงัด ที่เขาเรียกว่า สังขารุ เปกขาญาณ คือเจริญวิปัสสนาญาณครบคู่กับสมภาวนา การไปนิพพานมาแล้วครั้งหยึ่ง ทีหลังนึกถึงพระนิพพานปั๊ปก็ถึงเมื่อนั้น พอถึงเวลาเช้ามืดก็กลับลงมา จิตใจก็มีความสุข ไม่มีความห่วงใยในทรัพย์สินแม้แต่ร่างกายก็คิดว่าถ้ามันตายเมื่อไร เราก็มีความสุขเมื่อนั้น

หน้า 1   หน้า 2   หน้า 3   หน้า 4   หน้า 5   หน้า 6   หน้า 7   หน้า 8