ตายไม่สูญ..ตายแล้วไปไหน
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ

ประสบการณ์ตายของพระมหาถาวร
(หลวงพ่อพระราชพรหมยานวัดท่าซุง)
ตายครั้งที่ ๒

   เป็นการตายเมื่อวัยเด็กอายุ ๑๒ ปี ด้วยโรคอหิวาตกโรค โรคนี้แปลตามศัพท์แปลว่า โรคลมที่มีพิษเหมือนงูพิษ ป่วยก่อนวันตาย นักเลงสุราเขาหาหอยโข่งจากกลางนามาพล่ากินกับเหล้า เมื่อเขาทำเสร็จเขาก็เรียกฉัน แต่ทว่าฉันไม่ได้กินเหล้า บ้านฉันทั้งหมดไม่มีใครกินเหล่าเลย ชอบกินห่อยโข่งพล่า เนื้อออกรสหวาน ๆ อร่อยมาก เขาพล่าแบบขี้เมา กินเสียจนอิ่มเต็มอัตราศึก เมื่ออิ่มแล้วก็ออกวิ่งเล่น ไม่มีอะไรแสดงว่าท้องจะเสีย แต่ทว่าเวลานั้นชาวบ้านกำลังตายด้วยโรคอหิวาต์กันเกลื่อน กลางคืนหาคนเดินเที่ยวเตร่ไม่ได้ ตำบลนั้นและตำบลใกล้เคียงเงียบสงัด สุนัขหอนตั้งแต่ตอนหัวเกือบตลอดแจ้ง

   วันรุ่งขึ้นตอนเช้าเวลาเกือบ ๙.๐๐ น. ก็เริ่มปวดท้องแล้วก็ถ่ายแบบไม่มีเสียงสะบัด เป็นสัญญลักษณ์ของอหิวาตกโรค เมื่อถ่ายครั้งแรกก็เรียนให้แม่ทราบ ท่านจัดหายามาให้และใช้ให้คนรีบไปตามท่านลุงที่เป็นหมอ ท่านลุงเป็นหมอที่มีชื่อเสียงมาก มีความรู้ทั้งแผนโบราณและปัจจุบัน กว่าท่านลุงจะมาท้องก็ถ่ายเป็นวาระที่ ๓ มีอาการเพลียมากแรงไม่มี ท้องก็ปวดมากปวดมาถึงผิวหนัง ภายในมีความร้อนมาก ผ้าที่นุ่งต้องวางทาบไว้จะขมวดหรือรัดแข็มขัดก็ไม่ได้ เพราะมันปวดเกินกว่าที่จะทำอย่างนั้นได้

   เมื่อท่านลุงมาถึงก็ฉีดยาให้ ๑ เข็ม ค่อยมีอารมณ์ใจสบาย เมื่อท่านแม่ให้กินยาแล้วท่านก็นำพระพุทธรูปองค์ที่ฉันรักมากที่สุดมาวางไว้ทางขวามือพอมองเห็นถนัด ท่านก็จุดธูปที่มีกลิ่นหอมมากเห็นจะเป็นธูปแขก หอมชื่นใจจริง ๆ พอท่านแม่จัดเรื่องพระเสร็จท่านก็บอกว่า “ ลูกภาวนาว่า “ พุธโธ นะลูก ภาวนาไว้และจำรูปพระให้ติดตา เมื่อหลับตาจงนึกถึงภาพพระ เมื่อลืมตาก็จงดูพระไว้ ภาวนาไว้ พระจะช่วยให้ลูกหายเร็ว ๆ และจะได้ไม่เจ็บท้อง ”

   เมื่อท่านแม่สั่งฉันก็ภาวนา ฉันอยากให้อาการปวดท้องหาย มันทรมานเหลือเกิน ฉันมองดูพระองค์ที่ฉันรัก ฉันรักท่านมาก สีท่านเหลืองอร่ามหน้าก็ยิ้มสวย กลิ่นธูปก็หอมตลบ ฉันสบายใจเมื่อหลับตาฉันเห็นภาพพระลอยที่หน้าฉัน ภาวนาไปไม่กี่ที อาการปวดท้องก็รู้สึกคลายลงพร้อมกับเห็นภาพพระลอยที่หน้าสวยมากขึ้นทุกที เดิมเป็นสีเหลืองธรรม ต่อมาเพิ่มความสดใสขึ้นทีละน้อยจนเห็นชัด ต่อมาเพิ่มความสดใสขึ้นทีละน้อยจนเห็นชัด ต่อมาเกิดเป็นแสงประกายคล้ายเพชรอย่างดี เกิดเป็นแสงประกายเพรวพราวไปทั้งองค์ ใจฉันเพลิดเพลินกับความสวยของภาพพระ เลยลืมความเจ็บปวดเสียสิ้น มันไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดเลย เวลาผ่านไปประมาณ ๙ .๐๐ น. เศษ ฉันลืมตามองดูคนที่มาและภาพต่าง ๆ สายตามันสั้นเข้าไปทุกที ชั่วเวลา ๒ - ๓ นาที ก็มองอะไรไม่เห็นเลยแต่ใจสบาย

    สิ่งที่เสียดายมากที่สุดก็คือฉันมองไม่เห็นพระองค์ที่ฉันรัก ฉันเลยหลับตา ความรู้สึกสมบูรณ์ สติสัมปชัญญะปกติอาการปวดไม่มี ฉันเลยคิดเอาว่าเมื่อไม่เห็นก็ไม่เป็นไร ท่านแม่เคยบอกว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ถ้าะราภาวนาว่า “ พุทธโธ ” พระท่านจะไปหาทันที ฉันคิดได้ฉันก็เลยภาวนาเรียกพระ ขอให้ท่านมาหาฉัน พอภวานาได้สัก ๓ ครั้ง ปรากกฏว่าพระมา ท่านไม่ใช่พระพุทธรูปแต่เป็นพระสงฆ์ มีรูปร่างสวยมาก นิ้ว แขน ขา ทุกส่วนบกพร่อง ท่านเห็นฉันท่านก็ยิ้มน้อย ๆ แต่ท่านไม่พูด ท่านยิ้มตลอดเวลา ปกติฉันชอบคนยิ้ม ฉันเองก็ชอบยิ้มให้คนอื่นที่ฉันพบ แต่ถ้ายิ้ม ๓ คราวเขาไม่ยิ้มรับฉันจะไม่ยอมยิ้มให้อีกเลย ตรงนี้ไม่ค่อยดีเป็นเรื่องของคนที่มีกิเลส อย่าเอาไปปฏิบัติตาม

   ภาพพระท่านสวยขึ้นเป็นลำดับ ต่อมาท่านมีแสงออกจากตัวมี ๖ สี มองดูคล้ายพระอาทิตย์ทรงกลดแต่สวยมากกว่าจนเทียบไม่ได้ องค์พระแทนที่จะที่จะเป็นสีเหลืองกับมีสีเป็นประกายทั้งองค์ ฉันมองจนลืมตัว มองไปมองมาปรากฏว่าตัวฉันกลายเป็น ๒ คน คือคนหนึ่งไปยืนอยู่ข้างคนเดิม ตัวใหม่นี้สวยกว่าตัวเก่ามาก ฉันมองดูเนื้อฉันใสเหมือนแก้ว มีผ้านุ่งเป็นสีทอง เสื้อสีทอง มีแก้ว

   มีแก้วประดับทั้งผืน มองดูเนื้อฉันสีทองมาจับแลเป็นสีทองทั้งตัว บนศรีษะมีชฏาทองประดับแก้ว แก้วที่ประดับเสื้อผ้าและชฏามีแสงสว่างออกมาก ฉันลองขยับเขยื่อนตัว มันคล่องแคล้วมีความเบาผิดปกติ การเคลื่อนไหลสะดวกมาก ดูตัวที่นอนฉันก็ทราบว่ามันเป็นตัวของฉันแต่มันไม่สวย น่าเกลียดน่ากลัวมาก ฉันไม่รักมันเลยมันไม่มีลมหายใจ ฉันไม่ชอบและไม่ห่วงมัน ฉันหันไปดูพระท่านหายไปเสียแล้ว เดินวนไปเวียนมาอยู่พักหนึ่ง เห็นมันสบายไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่เมื่อย มีความสบาย ขักอึดดัดใจที่ยืนอยู่บนบ้าน อยากจะลงไปเดินเล่นที่หลังบ้านเพราะที่นั้นเย็นสบายดี แต่การไปนอกบ้าน

   ปกติต้องลาท่านไปหลังบ้าน ท่านก็ไม่ยอมพูดด้วยท่านมองแต่เจ้าคนนอนเอามือไปจับตัวท่าน ท่านก็ไม่เหลี่ยวมามอง ไปลาลุงท่านก็แบบเดียวกัน เมื่อไม่มีใครสนใจก็เลยถือโอกาสไม่ลา เดินลงบันไดแล้วไปยืนอยู่หลังบ้าน ได้ยินเสียงบางคนบนบ้านร้องไห้ รู้สึกแปลกใจคิดว่าเขาร้องไห้ทำไม ไม่มีใครตายสักคน ยืนหลังบ้านครู่หนึ่งเห็นคนเดินมาจากทางทิศใต้เป็นแถวยาวเหยียด คิดในใจว่าพวกนี้เขาจะไปไหนกัน

   เมื่อพวกเขาใกล้เห็นชาย ๔ คนคุมมา คน ๔ คนนุ่งผ้าเขียวเหมือนกันตัวใหญ่และสูงมาก พวกที่เดิดตามมาหัวแค่เอวเขาเท่านั้นเอง ฉันเห็นเขาตัวใหญ่ก็เลยทำตัวใหญ่และเท่าเขามั่ง ชาย ๔ คนนั้น คนหนึ่งเดินนำหน้ามีสมุดข่อยในมืออีกสองคนเดินขนาบข้าง ๒ ข้าง คนที่ ๔ เดินท้าย แสดงว่าควบคุมกันหนี เมื่อหัวหน้าใหญ่มาฉันก็เข้าไปยกมือไหว้ถามว่า “ คุณลุงจะไปไหนกันครับ ”

   คุณลุงมองหน้าฉันแล้วก็เปิดสมุดข่อยแล้วบอกว่า “ ชื่อเธอไม่มีบัญชี เข้าบ้านเถิดหลานเดี๋ยวแม่จะบ่นหา ” แล้วก็จูงมือฉันมาที่บันใดบ้าน และกลับไปนำขบวนเดินต่อไป ฉันแปลกใจว่าตาลุงนี่ท่าจะยังไงเสียแล้ว ถามว่าไปไหนกลับมาบังคับเราให้เข้าบ้าน ต้องถามเอาความให้ได้จึงเดินตามออกไปเห็นคนที่เดินผ่านหน้าเป็นคนที่เคยรู้จักกันหลายคนและเขาตายไปหลายวันแล้ว ก็เลยสงสัยว่าเมื่อเขาตายไปแล้วเขามาเดินอยู่ได้อย่างไร พอคนที่ขนาบข้างและคนท้ายมาถึง ฉันก็เข้าไปถามเขาอย่างนั้น เขาก็ทำอย่างเดียวกัน ก็เลยสงสัยใหญ่

   เมื่อเขาเดินห่างไปประมาณครึ่งกิโลเมตรฉันก็สกดรอยตามไป เดินไปทางทิศเหนือไปไม่ได้ไกลนักเขาก็เข้าป่าไผ่ มีทางเล็ก ๆ เดินคตเคี้ยวไปตามทาง ก็มีเขาต่ำ ๆ ขวางทางเป็นระยะ ๆ ข้ามเขาลงไปประมาณ ๑๐ ลูก ในที่สุดก็ถึงเขาใหญ่และสูงมากหัวหน้าขึ้นไปบนยอดเขาก็กางบัญชีออกตรวจพล เมื่อถึงคนสุดท้ายเขาบอกว่าครบ ก็พอดีฉันโผล่ขึ้นไปทั้ง ๔ ท่านรู้สึกมีอการตกใจมาก ถามว่า “ พ่อหนูมาทำไม” จึงบอกว่า “ เมื่อผมถามคุณลุงว่าไปไหน คุณลุงไม่บอกผม ผมก็ต้องตามมาดูให้หายสงสัย ” แล้วถามว่า “ พวกนั้นเขาไปไหนกันครับ ” คุณลุงฟังแล้วก็พากันหัวเราะฟันขาวด้วยตัวแกดำมากแล้วตอบว่า “ ลุงไปรับพวกนั้นเขามาส่งนรก” จึงถามท่านว่า “ คนที่เอามาส่งนรกเข้าทำความผิดอะไร ” เขาตอบว่า “ คนพวกนี้เคยถูกลงโทษในนรกมาแล้ว เมื่อหมดโทษเขาให้ไปเกิดเพื่อทำความดีกลับทำตนเลวทราม ไม่เคารพศีลธรรมขาดความเมตตาปราณี เมื่อทำชั่วอีกเขาก็นำมาลงโทษอีก ”

  

ไปที่สำนักพระยายมราช

   ว่าแล้วก็ชี้ให้ดูทางมิศเหนือต้องลงจากเขาไปก่อนจึงจะถึงแผ่นดินใหม่ นรกไม่ด้อยู่ใต้ดินมีพิภพต่างหากจากมนุษย์ มองตามไปเห็นแผ่นดินใหญ่โตกว้างขวาง มีอาคาร ๓ หลังมีคนยืนอยู่ทางด้านซ้ายหลายพันคน มีคนตัวโต ๆ อย่างพวกคุณลุงมากมายยืนถือหอกหน้าถมึงทึง อาคารในจำนวน ๓ หลัง หลังกลางเป็นหลังใหญ่ที่สุด มีคนออกจากอาคารเดินเลี้ยวซ้ายไปทางทิศตะวันออก เรื่องทิศนี้เที่ยบทางเมืองมนุษย์ สำหรับเมืองนรก สวรรค์ พรหม หรือนิพพาน ไม่มีอาทิตย์เป็นเครื่องวัดทิศทาง เมื่อเห็นคนเข้าออกอาคารหลัวนั้นก็สงสัย จึงถามคุณลุงว่า “ คุณลุงครับพวกนั้นเข้าเข้าไปในบ้านหลังนั้นทำไม และพวกนั้นออกมานั้นดูท่านทางิดโรยหน้าเศร้าสร้อยเขาไปทางไหนกัน ”

   คุณลุงหัวหน้าบอกว่า “ เมืองนี้เขาเรียกว่าเมืองนรก ” แล้วชี้ไปทางคนที่ยืนคอยอยู่หลายพันคนแล้วบอกว่า “ ทุกคนที่ยืนคอยนั้น เขาคอยการตัดสินของพระยายมราช พวกที่เข้าไปเขาถูกพระยายมราชเรียกตัวและชำระโทษตามความผิด พวกที่ออกมาและเดินไปทางทิศตะวันออกนั้น พวกนี้พระยายมราชชำระคดีแล้วก็นำไปลงโทษ ”

   พูดแล้วก็ชี้มือไปทางทิศตะวันออก เมื่อมองตามไปก็เห็นทุ่งกว้างหาที่สุดมิได้ มีแสงไฟพุ่งขึ้นสูง บริเวรแสงไฟก็ไกลแสนไกลไม่รู้ที่สุดของบริเวรอยู่ที่ไหน ท่านบอกว่าตรงนั้นแหละที่เรียกว่า เป็นสถานที่ลงโทษคนที่ทำความชั่ว เมื่อสิ้นลมปราณแล้วเขาก็นำมาลงโทษกันที่นี่ ถามว่า “ เขาลงโทษนั้นเขาทำอะไรบ้าง ตอบว่า “ โทษที่เหมือนกันหมดก็คือ ถูกไฟเผาเหมือนกันแต่ความร้อนของไฟไม่เท่ากัน คนที่ทำชั่วมาดกไฟมีความร้อนมากกว่าคนที่ทำความชั่วน้อย นอกจากไฟยังมีประหารด้วยอาวุธ แต่ว่าพวกนี้ไม่มีการตายเจ็บต้องร้อนตลอดเวลา เป็นการลงโทษเพื่อเข็ดหลาบ

   ฉันขออนุญาติลงไปดู ทั้ง ๔ ท่านต่างแสดงอาการเดือดร้อนมากร้องออกมาพร้อมกันว่า “ ไม่ได้ ถ้าหลานลงไปลุงทั้ง ๔ คนจะถูกลงโทษอย่างหนัก ” จึงถามว่า “ เพราะอะไรคุณลุงจึงจะถูกลงโทษและใครเป็นคนลงโทษคุณลุง ” ตอบว่า เพราะกฏของเมืองนี้มีอยู่ว่า คนก่อนที่จะตายถ้าภาวนา “ พุธโธ ” หรือ “ อรหัง ” ถ้าลุงอนุญาติให้เข้าไปในแดนนรก ท่านพยายมราชจะลงโทษอย่างหนัก” จึงบอกว่า “ เมื่อคุณลุงไม่ได้จับผมไปเอง ทำไมคุณลุงจะต้องถูกลงโทษ ตอบว่า “ ไม่ได้ เพราะหลานมาขณะที่ลุงนำคนมา ถ้ามาเองและลงไปเองไม่เป็นไร ”

   พอทำท่าจะลุกขึ้นเดินลงไป ก็พากันกั้นไม่ให้ลงแล้วถามว่า “ อยากดูนรกขุนไหน” ถามว่า “ นรกมีกี่ขุม” ตอบว่า “ นรกขุมใหญ่มี ๘ ขุม นรกบบริวารมีอีกขุมละ ๑๖ ขุม ยมโลยกีนรกมีอีก ๑๐ ขุม” บอกว่า “อยากดูนรกขุมใหญ่ ๑ ขุม จะได้ทราบว่าเขาทำกันอย่างไร ” คุณลุงชี้มือบอกว่า “ นรกขุมที่ ๑ อยู่ตรงนี้ ” เห็นชัดเหมือนกับยืนอยู่ที่ปากขุม ภาพในนรกขุมนี้ไม่มีอะไรน่าสนุกเลย คนลงไปนอนอยู่ในทะเลเพลิงไฟกว่าหัวหลายเท่า มีสรรพวุธนานาชนิดสับฟันตลอดเวลา เสียงร้องระงมไปหมด ไฟก็ไหม้อาวุธก็ประหารตายก็ไม่ตาย ขนาดถูกหอก ๓-๔ เล่มแทงทะลุพรุนไปหมดไฟก็เผา ก็ไม่มีใครตาย ถูกฟันตัวขาดมันก็กลับติดกันทันทีไม่รู้จักตาย ดูแล้วก็สลดใจ

   คุณลุงบอกหมดเวลาแล้วทางเมืองมนุษย์เกือบสว่างแล้วหลานต้องรีบกลับ แต่ก็จำทางเดิมไม่ได้ คุณลุงจึงให้คนที่คุมท้ายแถวมาส่ง เขาก็จับขา ๒ ขาเอาตัวเหวี่ยงขึ้นบ่าพาแบกวิ่งเขาลงเขา พอมาถึงหน้าประตูบ้านก็เหวี่ยงเข้าประตูไป ก็มีความรู้สึกทางร่างกายลืมตาขึ้น เห็นคนเต็มบ้าน รู้สึกกระหายน้ำจัด เห็นพ่อหนุ่มคนหนึ่งอายุเกือบ ๓๐ ปี นั่งมองอยู่ข้าง ๆ จึงบอกขอน้ำสักขันจะกินให้สมกับที่กระหาย พอได้ยินเข้าเท่านั้นก็กระโดดผลุงข้ามตัวไปร้องเสียงดังว่า “ ผีหลอก ” ดูเถอะมนุษย์เป็นอย่างนี้ นั่งอยู่ข้าง ๆ ตั้งนานไม่กลัว พอฟื้นคืนชีพกลับถูกหาว่าเป็นผี

   เมื่อทุกคนได้ยินเสียงร้องว่าผีหลอก ก็เข้าใจว่าฟื้นแล้วเพราะหลังจากตายแล้วไม่นาน พระผู้ทรงคุณธรรมพิเศษได้ฌานสมาบัติศักดิ์เป็นลุงท่านมา ท่านบอกให้ปล่อยร่างกายไว้ตามนั้น เด็กจะฟื้นคืนชีพก่อนสว่าง คนที่อยู่กันเต็มบ้านคืนนั้นเขาอยากเห็นการฟื้น ท่านลุงให้คนเอาน้ำสอาด ( น้ำฝน ) ๑ ขันใหญ่มาให้ ฉันก็กินจนหมดขัน เมื่อกินแล้วก็ลุงขึ้นคุยตามธรรมเนียมของคนตายแล้วฟื้น อาการป่วยที่เป็นก่อนตายไม่มีอาการปรากฏ ร่างกายสบาย ทุกคนต่างก็สนใจเรื่องที่ไปพบมา ต่างก็ถามท่านแม่ว่ามาเรียนเป็นการใหญ่

   เมื่อฟื้นคืนชีพแล้ว ความชินของอารมณ์ ความมั่นใจในพระพุทธคุณ ทุกวันฉันอยากเห็นพระองค์นั้น ฉันรักอารมณ์อย่างนั้นและฉันก็รักษามาจนถึงบวชพระ ฉันชอบการท่องเที่ยวอย่างนั้น ฉันรักพระองค์ที่มีรูปร่างสวยมีรัศมีสว่างผ่องใส ฉันต้องเห็นท่านทุกวัน บางวันถ้าฉันว่างฉันเห็นท่านเป็นเพชร ไม่ต้องออกปากองค์ท่านก็เป็นเพชรทันที ฉันรักท่านมาก ทุกวันถ้าถูกใครว่าฉันไม่สบายใจ ฉันก็หาที่ปลอดคน เรียกท่านให้มาหา วิธีเรียก ฉันยกมือไหว้ฟ้าแล้วก็กราบ ภาวนา “ พุทโธ ” ๓ ครั้งท่านก็มาหาฉันทันที พอมาท่านยิ้ม

   เมื่อเห็นท่านยิ้มฉันก็หมดความทุกข์ใจ ถ้าฉันอยากไปดูนรก ฉันก็บอกท่านว่า “ ผมอยากไปดูนรก” เมื่อบอกท่านแล้วท่านไม่พูดแต่ท่านยิ้ม พอท่านยิ้มฉันไปถึงทันที เคยไปกับท่านลุง ๔ คนทันที ไม่ทราบว่าไปได้อย่างไร ฉันคิดว่าอาการยิ้มของท่านเป็นการส่งฉันไป วันเวลาไปไม่แน่นอนจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ดีไม่ดีเวลาที่ฉันกินข้าวคนเดียวหรือดายหญ้าอยู่ ถ้าฉันอยากไปนรกฉันก็วางมีดวางงานเสีย ภาวนา “ พุทโธ ” ๓ ครั้งท่านก็มาหา ฉันก็บอกว่า ฉันจะไปดูนรก ท่านก็ยิ้ม ฉันก็ไปนั่งตรงที่ฉันเคยไป เมื่อฉันอยากเห็นนรกขุมไหนเขาทำอะไรกัน ฉันก็เห็นตามใจ ฉันนึกเหมือนกับฉันไปอยู่ในสถานที่นั้น แต่ทว่าฉันไม่เคยขอให้ท่านพาไปสวรรค์หรือพรหมโลก เพราะฉันไม่มีความรู้ เคยไปแต่นรกเท่านั้น แต่เมื่องนรกก็มีคนลงไปใหม่ทุกวัน

   การไปนรกเป็นปกติของฉัน เมื่อท่านแม่กับท่านยายนิมนต์พระมาเทศน์ ท่านชอบเทศน์เรื่องนรกสวรรค์เมื่อเทศน์จงแล้วฉันถามท่านว่า “ เคยเห็นนรกสวรรค์หรือเปล่า” ท่านบอกว่า “ ไม่เคยเห็น” ถามท่านว่า “ เมื่อไม่เคยเห็นแล้วเอาอะไรมาเทศน์” ท่านบอกว่า “ อ่านจากตำรา” เมื่อพูดเรื่องที่ฉันไปเห็นมา ท่านหาว่าเป็นเรื่องโกหก เลยเกลียดพระ คิดว่าพระพวกนี้หรอกลวงชาวบ้านหากิน มาเล่าเรื่องนรกสวรรค์ให้ฟัง แต่ตัวเองไม่เคยเห็นเลย เรื่องที่เราเห็นมากับหาว่าเป็นเรื่องโกหก เลยไม่อยากไหว้พระ ส่วนพระพุทธไหว้กับพระที่เป็นท่านลุง ท่านรู้นรกสวรรค์ องค์นี้ไหว้ พระองค์ไหนก็ตามถ้ามาที่บ้านต้องถามว่าเห็นนรกสวรรค์หรือเปล่า ถ้าบอกว่าไม่เห็นไม่ยอมไหว้ ของที่เขาจัดถวายก็ไม่ยอมประเคนเด็ดขาด

หน้า 1   หน้า 2   หน้า 3   หน้า 4   หน้า 5   หน้า 6   หน้า 7   หน้า 8