ตายไม่สูญ..ตายแล้วไปไหน
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ

ประสบการณ์ตายของพระมหาถาวร
(หลวงพ่อพระราชพรหมยานวัดท่าซุง)
ตายครั้งที่ ๔

   เมื่อปี พ. ศ. ๒๔๘๗ ฉันอายุ ๒๗ ปี ตอนนั้นระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ จำพรรษาและเป็นคนสอนบาลีอยู่ที่วัดประยูรวงศาวาส จังหวัดธนบุรี วันนั้นวันที่ ๒ มกราคม ขณะนั้นอากาศหนาวจัด ก็มีพระท่านทำยาขนานหนึ่ง ทุกองค์ฉันแล้วก็รู้สึกว่าสบาย ฉันก็อยากจะมีกำลังร่างกายปลอดโปร่งอย่างเขาบ้างเพราะเป็นนักเทศน์แล้วด้วย ก็ขอท่านฉัน พอฉันเข้าไปเดี๋ยวเดียวท้องก็ถ่าย ๓ ครั้งหมดแรง

    คราวนี้ตามันเริ่มสั้นเข้ามาทีละหน่อย ๆ สายตามองไกล ๆ มันเห็นสั้นเข้ามา ๆ จนกระทั้งพระกับเณรนั่งข้าง ๆ ๒ - ๓ องค์ ไม่เห็นพอไม่เห็นก็หมดความรู้สึกภายนอก มครจะไปใครจะมาก็ไม่เห็นหมด ใครพูดก็ไม่ได้ยินหมด แต่ความรู้สึกในขณะนั้นมันเป็นควาวมรู้สึกสลบมันไม่มีความรู้สึก ฉันเข้าใจว่ากำลังจิตเป็นฌานมากกว่า เพราะพอตามองไม่เห็น ฉันก็เริ่มจับพระกรรมฐานคือ เริ่มจับอารมณ์ตามเดิม พอจิตเป็นสมาธิ จิตมันก็โปร่งสบาย ฉันนึกถึงพระพุทธเจ้าของฉันก่อน เราจะไปสวรรค์ได้ ไปพรหมได้ ไปพระนิพพานได้

   จงอย่าลืมเพราะอาศัยพระพุทธเจ้าเท่านั้น ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้า แล้วเราจะรู้ธัมมะธัมโมได้อย่างไร ฉะนั้นเราต้องเกาะต้นเค้ากันไว้ก่อน ฉันยึดพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ปกติฉันเห็นพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา คือพระพุทธรูปทองคำที่ฉันชอบ และก็กราบพระพุทธเจ้าที่ท่านมาปรากฏพระองค์หลังจากการตายครั้งที่ ๓ ท่านสวยมากจับจิตจับใจ เพราะฉันชอบพระพุทธเจ้าสวย ๆ เห็นท่านทุกเวลา เดินบิณบาตฉันเห็นตลอด นั่งอยู่ไม่มีใครกวนเห็นตลอด เวลาดูหนังสือเห็นท่านอยู่บนศีรษะเลย

    จิตใจสว่างจำอะไรได้ดี เวลาป่วยไข้ไม่สบาย ท้องถ่ายครั้งแรกฉันนึกในใจว่า อาการนี้มาอีกแล้ว ก็จับอารมณ์เบา ๆ ฉันไม่ได้ทำอารมณ์หนัก ฉันภาวนา “ พุทโธ ” หายใจเข้านึก “ พุท ” หายใจออกนึกว่า “ โธ ” ใจจับพระรูปพระโฉมของพระพุทธเจ้าที่เคยเห็นชัดเจนมาก และพระองค์ก็ทรงแย้มพระโอษฐ์แต่ไม่พูด

   ต่อมาความรู้สึกภายนอกหมด อารมณ์ภายนอกดับร่างกายไม่รู้สึก ตาไม่เห็นหูไม่ได้ยิน แต่มีความรู้สึกว่า ฉันนั่งอยู่ในโพรง ๆ หนึ่งซึ่งมีความสว่าง ฉันพิจารณาว่าถ่ำหรือโพรง ๆ นี้มันคืออะไร ก็ปรากฏว่าเป็นร่างกายฉันเองเหมือนกับถ้ำหรือโพรงที่ใหญ่มากขนาดยืนต่อตัว ๒ - ๓ คนก็ไม่ถึง ฉันไปนั่งตรงกลางของส่วนอก สภาพของตัวเองเป็นพรหม ใสชัดเจนมาก สวยสดงดงามมากกว่าการตายครั้งก่อน ฉันนึกในใจว่าไอ้ถ้ำนี้หรือเปลือก ๆ นี้เราอาศัยมันมานานแล้ว เราควรจะอยู่หรือว่าควรจะไป” ก็คิดอีกที ถ้าอยู่ดีกว่าเก่าเราก็จะอยู่ ถ้าอยู่แล้วไม่ดีกว่าเดิมเราจะไม่อยู่ เสียเวลาเปล่า ๆ จึงนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งอธิษฐานว่า “ ข้าพระพุทธเจ้าควรจะอยู่หรือว่าควรจะไป ”

   ก็เห็นวิมานบนพรหมชั้นที่ ๑๑ ชัดเจน และบนอากาศมีเทวดากับพรหมแระพระอริยเต็มไปหมด แพรวพราวเป็นระยับ สดชื่นเหลือเกิน แต่ทว่าทุกท่านไม่มีใครกวักมือเรียกเพียงแต่ยิ้ม

   ท่านสหัมบดีพรหม ยืนข้างหน้าบอกว่า “ จงใครครวญให่ดีก่อนว่าควรจะอยู่หรือจะไป ”

   ฉันก้เลยนึกถึงพระพุทธเจ้า ตั้งอธิษฐานว่า “ ถ้าข้าพระพุทธเจ้าควรจะอยู่ขอให้มีฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการ พุ่งมาบนเพดาน ถ้าหากว่าไม่ควรอยู่ ควรไป ขอไม่เห็นอะไรปรากฏเลย ”

   พออธิฐานเาร็จก็มีรัศมี ๖ ประการพุ้งมาเป็นแสงรุ้งเต็มเพดานแผ่อยู่พักหนึ่งก็หายไป ฉันคิดว่าท่านบอกว่าควรอยู่ จึงตัดสินใจว่า “ หากฉันจะอยู่ต่อไปถ้าสมถธรรมของฉันจะดีกว่าเดิม ก็ขอเห็นฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการพุ่งมาแล้วเป็นทักษิณาวัตร ถ้าหากว่าอยู่แล้วสมธรรมของฉันไม่ดีกว่านี้ ก็ขอรัศมี ๖ ประการจงอย่างปรากฏ ” พออธิฐานเสร็จก็ปรากฏว่า มีรัศมี ๖ ประการพวยพุ่งมาใหม่วนเป็นทักษิณาวัตร สวยสดงดงามมาก

    อยู่ประมาณ ๑๐ นาที ฉันชื่นใจ พอรัศมี ๖ ประการหายไปก็ปรากฏว่ามีเทวดาองค์หนึ่งคือ ท่านพระอินท์ ท่านแต่งชุดสีขาว นุ่งผ้าธรรมดา ๆ เป็นผ้าพื้น มีสใบเฉลียงออกสีขาว ท่านเอายามาให้ก้อนหนึ่งเหมือนก้อนดินบอกว่า “ คุณฉันยาก้อนนี้โรคจะหาย

   การที่คุณรับเทศน์ไว้ที่จังหวัดสมุทรสงครามวันมะรืนนี้ ไม่ต้องนิมนต์ใครไปแทน คุณไปเองได้ร่างกายจะดีเป็นปกติ ” รับยามาฉันรสเหมือนดิน หลังจากนั้นก็มีความรู้สึกตัว ลืมตาขึ้นมาก็มองเห็นคนหลายคน ประเดี๋ยวหนึ่งกำลังก็ปรากฏหายจากโรคเป็นปลิดทิ้ง แต่ว่าเพื่อนพระบอกว่าเวลาสิ้นไป ๘ ชั่วโมงเศษ ฉันรอดตายมาได้

   การตายครั้งที่ ๔ นี้ มีประโยชน์ทีมีการเข้าใจว่าการเข้าฌานตายเป็นอย่างไร และการตายมันเหมือนกับความฝันนั้นแหละ เราอย่าไปนึกกลัวมันเลย ร่างกายมันก็เหมือนเปลือกนอก เมื่อทิ้งอัตภาพแล้วมันก็จะกองอยู่จิตก็เคลื่อนไปตามวาสนาบารมี

หน้า 1   หน้า 2   หน้า 3   หน้า 4   หน้า 5   หน้า 6   หน้า 7   หน้า 8