ประสบการณ์ตายของพระมหาถาวร
(หลวงพ่อพระราชพรหมยานวัดท่าซุง)
ตายครั้งที่ ๗
เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม พ. ศ . ๒๕๒๓ อาการตายคราวนี้แปลกไม่มีโรค ตอนเช้าลงมาจากกุฏิชั้นสอง ตื่นขึ้นมาล้างหน้าเสร็จก็หยิบเอกสารสำหรับทำงานลงมาที่ ตึกอินทราพงษ์ หวังจะทำงานเมื่อฉันเช้าเสร็จ พอวางเอกสารเสร็จก็อยากเข้าห้องส้วม พอนั่งในส้วมปั๊บมันไม่ขี้ไม่เยี่ยว มันมืดไปหมด ไม่ใช่หน้ามืดอย่างเดียว มันมืดไปทั้งหมดแม้แต่ยกมือขึ้นก็มองไม่เห็นมือ
แต่ทว่าจิตใจเป็นสุข ก็คิดว่าอาการอย่างนี้เป็นอาการของความตาย ถ้าตายในเวลานี้ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร
จิตใจเป็นสุขเราก็ไปนิพพาน นั่งอยู่สักครู่ก็คิดในใจว่าในโลกนี้
ตั่งแต่พระพุทธเจ้าอุบัติมาแล้วก็ไม่เคยมีพระอรหันต์องค์ไหนท่านนิพพานบนโถส้วม ถ้าเราตายบนโถส้วมก็จะเก่งกว่าพระอรหันต์ทั้งหมด และลูกศิษย์ของเราก็มีมาก ถ้าเขาทราบว่าอาจารย์ตายบนโถส้วมก็จะขายขี้หน้าเขา เลยลุกจากโถส้วม ก็มองไม่เห็นอะไรเลย
เอามือคลำข้างฝา คลำราวผ้าออกมา พอถึงหน้าประตูห้องบันทึกเสียง พื้นห้องปูพรมก็เอนกายนอนลงตรงนั้น พอเอนกายลงไปแล้ว จิตก็ออกจากร่างไปติดอยู่แค่พระจุฬามณีเจดียสถาน ในบริเวณสวรรค์ชั้นดาวส์ทั้งหมดเต็มไปทั้งเทวดา นางฟ้า พรหม และ พระอรหันต์ทั้งหมด ทะลุไปพระนิพพานไม่ได้ หาทางไปไม่ได้ เห็นพระพุทธเจ้าก็เข้าไปกราบท่าน
ท่านก็ถามว่า จะไปไหน บอกท่านว่า จะไปนิพพานครับ ท่านก็บอกว่า ฉันให้แกตายปี พ. ศ ๒๕๒๕ ปี่นี้พ.ศ. ๒๕๒๓ นี่แกตายไม่ได้ ก็บอกท่านว่า ตายได้หรือไม่ได้ก็มาแล้วจะไป ท่านก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันกลับลงไปก่อน สัญญาเดิมปี ๒๕๒๕ ถ้าฉันปล่อยให็เธออยู่ถึง ๒๕๒๕ ฉันจะเอาเธอไว้ไม่ได้ ฉะนั้นปีนี้ ๒๕๒๓ ฉันต้องทำให้เธอตายชั่วคราวก่อนให้ถือว่าเป็นการเกิดใหม่
ไอ้เราก็ยังไม่กลับ ท่านก็มาด้วยก็เลยต้องมา ในเมื่อพระพุทธเจ้าท่านมาด้วยก็ต้องมา
เมื่อเข้าในร่างกายก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น มันก็ยังมืดอยู่จึงหลับตาต่อไปอีกสักครู่หนึ่งมาด้วยก็ต้องมา เมื่อเข้าในร่างกายก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น มันก็ยังมืดอยู่จึงหลับตาต่อไปอีกสักครู่หนึ่งมาด้วยก็ต้องมา เมื่อเข้าในร่างกายก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น มันก็ยังมืดอยู่จึงหลับตาต่อไปอีกสักครู่หนึ่งจึงลืมตาขึ้นก็ค่อย ๆ สว่างท่านบอกว่า ให้ถือว่าวันเกิดใหม่ตั่งแต่วันนี้เป็นต้นไปนะ ฉันต่อให้อีก ๑๐ ปี