ตายไม่สูญ..ตายแล้วไปไหน
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ

ประสบการณ์ตายของพระมหาถาวร
(หลวงพ่อพระราชพรหมยานวัดท่าซุง)
ตายครั้งที่ ๓

   เวลานั้นฉันอายุ ๑๔ ปี ฉันอยู่กับเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งเขาอายุ ๑๙ หรือ ๒๐ ปี เขาเป็นหนุ่มแล้ว ตอนเด็ก ๆ ฉันชอบเล่นกีฬา กีฬาบก กีฬาในน้ำ นี่ชอบมาก การออกกำลังเป็นปกติ วิ่งไม่พอ กระโดดโลดเต้นไม่พอ ปลูกผัก ปลูกหญ้าแล้วก็ตักน้ำรดเอาทุกอย่าง ให้มีโอกาสได้ออกกำลังก็แล้วกัน ฉะนั้นเรื่องความแข้มแข็งของร่างกายเป็นของไม่หนักใจ แต่วันนั้นท่านผู้ใหญ่ไม่มีใครอยู่เลยไปธุระกันหมด เหลือฉันกับเพื่อนรุ่นพี่สองคนเท่านั้น อยู่ ๆ พอตอนเย็นมันท้องถ่ายทั้งอาเจียน ถ่ายพรืดพราด ถ่าย ๓ ครั้งเริ่มหมดแรงเพราะในท้องไม่มีอะไรจะถ่ายและอาเจียนด้วย

   ท่านแพทย์ผู้ทรงคุณพิเศษ ๒ - ๓ ท่านก็มาให้การรักษา ความจริงโรคอย่างนี้ยาของท่านเคยชวัด แต่ว่าการรักษาวันนั้นไม่มีผลเลย ยากินก็ดี ยาฉีดก็ดี การนวดเฟ้นคั้นบาทาทำกันทุกอย่างไม่มีทางฟื้น ไม่มีทางดีขึ้น โรคไม่คลายตัว ฉันเพลีย เพื่อนเขาเป็นหนุ่มกว่ารู้สึกกำลังจะดีกว่า เขาก็เพลียเหมือนกัน ฉันเคลิ้มหลับ

    เวลานั้นเป็นเดือน ๑๑ น้ำนอง ปีนั้นเผอิญน้ำท้วมขึ้นมาใกล้พื้นบ้าน ขณะที่เคลิ้มไปพอเพลียจัด ๆ เห็นมีเรือลำหนึ่งเป็นลักษณะเรือเดินทะเล เป็นเรือไม้ใหญ่ ๆ หัวสูง ๆ ทาสีขาว เทียบท่ามาหน้าบ้าน ฉันก็นึกในใจว่าคลองมันเล็กและทางเข้าบ้านเรา เรือใหญ่ขนาดนี้เข้าไม่ได้ แต่เรือลำนี้เข้ามาได้อย่างไร เข้ามาเทียบติดชานบ้าน ฉันก็นึกในใจว่าคลองมันเล็กและทางเข้าบ้านเรา เรือใหญ่ขนาดนี้เข้าไม่ได้ แต่เรือลำนี้เข้ามาได้อย่างไร เข้ามาเทียบติดชานบ้าน มีคน ๔ คนก้าวขึ้นมาจากเรือ คน ๔ คนรูปหน้าร่างหน้าตาดีมาก ผิวพรรณก็ดี

   เป็นคนหนุ่มแต่เครื่องแต่งตัวเหมือนกันหมด คือสีแดง กางเกงขายาวสีแดงเสื้อแขนสั้นแค่ศอกก็สีแดง ผ้าโพกศีรษะก็สีแดง แต่ทว่าตอนก้าวขึ้นมาบนบ้านผ้าไม่ได้โพกศีรษะเขาคล้องคอ เป็นผ้ายาวคล้าย ๆ ผ้าขาวม้ายาวแบบนั้นแต่พื้นเป็นสีแดงทั้งหมด พอก้าวขึ้นมาสองคนแรกเข้ามาใกล้ตัวห่างสัก ๑ วา อีก ๒ คนยืนชิดชานบ้านชิดเรือ พอ ๒ คนก้าวเขามาบอกว่า “ พี่นี่สองคนนี่หว่า ” อีกสองคนข้างหลังบอก “ รับมาได้เลย ไม่มีพิษไม่มีสงอะไร ไม่ต้องปล้ำกันละง่าย ๆ ” แต่สองคนที่เข้ามาก่อนมองดูอย่างพินิจพิจารณาสัก ๑ นาทีเห็นจะได้ เขามองดูฉันและก็มองดูเพื่อนรุ่นพี่

   มองไปมองมาก็บอกว่า “ เอาไม่ได้แล้วเราสองคนนี้ ” อีกคนที่ยืนข้าง ๆ ถามว่า “ เพราะอะไร ” เขาเปิดบัญชีปั๊บ “ คนนี้ลูกของพระอินทร์ ใครมันวางยาไม่ดูหน้าคน ลูกพระอินทร์นี่เอาไปไม่ได้ ถ้าขืนเอาไปเรามีโทษ ” ก่อนที่เขาจะกลับ เขาก็ยกมือไหว้และค้อมหัวลงคล้าย ๆ แสดงความเคารพ ฉันไม่สนใจเขาจะไหว้หรือไม่ไหว้ก็ตาม ฉันก็เพลียแหงแก๋อยู่แล้ว พอเขาหันหลังกลับก็วิ่งขึ้นเรือบอกสองคน “ เร็ว พวกเราจะมีโทษ ” อีกสองคนกระโดดขึ้นเรือตาเหลือกลานร้องถามว่า “ มีโทษอะไร ” คนนั้นก็บอก “ คนนั้นลูกพระอินทร์ แล้วใครมันวางยาไม่ได้ดูหน้าดูตาคน นี่เราจะมีโทษกัน คนนี้ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำเขาได้เลย ” แล้วเรือลำนั้นก็วิ่งจู๊ดหายวับไปกับตา ฉันก็หลับสบายไม่รู้สึกตัว

   ตอนหลับนั้นประมาณ ๒ ทุ่มเศษ ๆ ตอนสายประมาณสัก ๒ โมงเช้าหรือ ๓ โมงไม่ทราบตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่า ความปวดเสียดท้องมันหายไปหมด อาการต่าง ๆ ที่เป็นอยู่หายหมด ท้องโล่ง มีอาการคล้าย ๆ กับถ่ายยาอย่างดีมีความรู้สึกอยากกินแกงผิดไก่และต้องเผิดมากๆ

   ต่อมาท่านแม่ป่วยก็ไปพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านน้าพลอย ซึ่งเป็นน้องสาวของท่านแม่ ก็ใช้รดน้ำมนต์บ้างกินยาบ้าง ในที่สุดท่านแม่ก็เสียชีวิตเมื่อฉันอายุได้ ๑๔ ขวบ พี่สำเภา พี่วงษ์ และท่านพ่ออยู่ป่าที่จังหวัดชัยนาท แล้วนำศพท่านแม่มาเผาที่วัดสาลี ตำบลสาลี อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี หลังจากนั้นฉันก็มาอยู่กับท่านยายที่บ้านหน้าวัดเรไร ในคลองบางระมาด อำเภอตลิ่งชัน จังหวัดธนบุรี ในสมัยนั้นท่านยายปลูกบ้านใหม่สองห้องให้อยู่ตามลำพัง ช่วงนี้เป็นช่วงที่ฉันฝึกตนเองเป็นช่างไฟฟ้าและช่างเครื่องยนต์กลไกลต่าง ๆ จนบ้านที่อยู่รกไปหมด และเวลาว่างก็ไปเรียนระนาดเอกกับ คุณหลวงประดิษฐ์ไพเราะ ( ศร ศิลปบรรเลง ) ก็เลยเป็นนักระนาดกับเขาด้วย

หน้า 1   หน้า 2   หน้า 3   หน้า 4   หน้า 5   หน้า 6   หน้า 7   หน้า 8