บทนำ   ความรู้เรื่องพระไตรปิฎก  เอกสารทางประวัติศาสตร์   ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก   พระวินัยปิฎก  

พระสุตตันตปิฎก   พระอภิธรรมปิฎก   พระไตรปิฎก ๔๕ เล่ม   ชาดก  คำค้นหาพระไตรปิฎก  ธรรมปฏิบัติ  



พระสุตตันตปิฎก

พระสุตตันตะ เล่ม 13

หน้า ๑ ปฐมปัณณาสกะ หมวด ๕๐ ที่ ๑

๑. ตรัสเรื่องเวียนว่ายฯลฯ
๒. ภิกษุเดิน, ยืน, นั่ง, นอน
๓. ทรงพิจราณาไม่เห็น
ใครยิ่งกว่าพระองค์
๔. ทรงแสดงจักร ๔
๕. เจริญสมาธิ ๔ อย่าง

หน้า ๒ ทุติยปัณณาสก์ หมวด ๕๐ ที่ ๒ ๑. ทรงแสดงความ
ไหลมาแห่งบุญ,
แห่งกุศล
๒. ตรัสแก่อนาถ
ปิณฑิกคฤหบดี
๓.ข้อปฏิบัติ
ทำอาสวะให้สิ้น ๔.
๔. ความชั่ว
ความดีฝ่ายละ ๔
๕. อสูร ๔ ประเภท

หน้า ๓ ตติยปัณณาสก์ หมวด ๕๐ ที่ ๓ ๑. เรื่องฝน ๔ อย่าง
๒. ตรัสถามสารถีฝึกม้า
๓. เรื่องภัย ๔ อย่าง
๔. บุคคล ๔ประเภท
๙. แสงสว่าง ๔ อย่าง

หน้า ๔ จตุตถปัณณาสก์ หมวด ๕๐ ที่ ๔ ๑. ทรงแสดงอินทรีย์ ๔
๒. ปฏิปทา ๔ อย่าง
๓. กาย วาจา ใจ
๔. นักรบประ
กอบด้วยองค์ ๔
๕. อานิสงส์ ๔ ประการ

หน้า ๕ หมวดนอกจาก ๕๐ ๑. ทรงแสดง คนชั่ว และคนดี
๒. คนที่ประ
ทุษร้ายบริษัท
๓. วจีทุจจริต ๔
๔. กรรม ๔ อย่าง
๕. ตรัสกะพระอานนท์ว่า
๖. ธรรม ๔ อย่าง
๗. ผู้ประกอบ

หมวดพระสูตรนอก ๕๐

 

เล่มที่ ๒๑ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต
(เป็นสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๓)
หน้า ๓

ตติยปัณณาสก์ หมวด ๕๐ ที่ ๓

      (ในหมวดนี้มี ๕ วรรคเช่นกัน วรรคที่ ๑ ชื่อวลาหกวรรค ว่าด้วยฝน หมวดที่ ๒ ชื่อเกสีวรรค ว่าด้วยนายเกสีผู้ฝึกม้า หมวดที่ ๓ ชื่อภยวรรค ว่าด้วยภัย หมวดที่ ๔ ชื่อปุคคลวรรค ว่าด้วยบุคคล หมวดที่ ๕ ชื่ออาภาวรรค ว่าด้วยแสงสว่าง).

      ๑. ทรงแสดงเรื่องฝน ๔ อย่าง

คือ ๑. คำราม แต่ไม่ตก ได้แก่บุคคลผู้พูด แต่ไม่ทำ ๒. ตก แต่ไม่คำราม ได้แก่บุคคลผู้ทำ แต่ไม่พูด ๓. ทั้งไม่คำรามทั้งไม่ตก ได้แก่ บุคคลผู้ทั้งไม่พูดทั้งไม่ทำ ๔. ทั้งคำรามทั้งตก ได้แก่บุคคลผู้ทั้งพูดทั้งทำ.

ทรงแสดงเรื่องฝนในลักษณะเดิมอีก ๔ อย่าง แต่ อธิบายถึงคุณสมบัติของบุคคลต่างออกไป ประเภท ๑ ได้แก่ผู้เรียนรู้ธรรมะ ( ศาสนาของพระศาสดามีองค์ ๙ ) แต่ ไม่รู้อริยสัจจ์ ๔ ตามเป็นจริง. ประเภทที่ ๒ ได้แก่ผู้ไม่เรียนรู้ธรรมะ แต่รู้อริยสัจจ์ ๔ ตามเป็นจริง. ประเภทที่ ๓ ได้แก่ผู้ทั้งไม่เรียนรู้ธรรมะทั้งไม่รู้อริยสัจจ์ ๔ ตามเป็นจริง. ประเภทที่ ๔ ได้แก่ผู้ทั้งเรียนรู้ธรรมมะทั้งรู้อริยสัจจ์ ๔ ตามเป็นจริง.

ทรงแสดงเรื่องหม้อ ๔ อย่าง คือหม้อที่เปล่า แต่ปิด, เต็ม แต่เปิด, เปล่าและปิด, เต็มและปิด ( หม้อเปล่า เทียบด้วยไม่รู้อริยสัจจ์ ๔, หม้อเต็ม เทียบด้วยรู้อริยสัจจ์ ๔, หม้อเปิด เทียบด้วยมีกริยาอาการไม่น่าเลื่อมใส, หม้อปิด เทียบด้วยมีกริยาอาการน่าเลื่อมใส ).

ทรงแสดงเรื่องห่วงน้ำ ๔ อย่าง คือห่วงน้ำที่ตื้น มีเงาลึก. ที่ลึก มีเงาตื้น, ที่ตื้น มีเงาตื้น, ที่ลึก มีเงาลึก. ( ลึก, ตื้น เทียบด้วยไม่รู้ หรือรู้อริยสัจจ์ ๔ เงาตื้น, เงา ลึก เทียบด้วยมีกริยาอาการไม่น่าเลื่อมใสหรือน่าเลื่อมใส ).

ทรงแสดงมะม่วง ๔ อย่าง คือดิบข้างใน สุกข้างนอก, สุกข้างใน ดิบข้างนอก, ดิบข้างใน ดิบข้างนอก, สุกข้างใน สุกข้างนอก ( ดิบ หรือสุกข้างใน เทียบด้วยไม่รู้หรือ รู้อริยสัจจ์ ๔ ; ดิบ หรือสุกข้างนอก เทียบด้วยมีกริยาอาการไม่น่าเลื่อมใสหรือน่าเลื่อมใส ).

ทรงแสดงหนู ๔ ประเภท คือขุดรู แต่ไม่อยู่, อยู่ แต่ ไม่ขุดรู, ไม่ขุดรูและไม่อยู่, ขุดรูและอยู่ ( ขุดรูหรือไม่ขุดรู เทียบด้วยเรียนหรือไม่เรียนธรรมะ ; อยู่หรือไม่อยู่ เทียบ ด้วยรู้อริยสัจจ์ ๔ หรือไม่ )

ทรงแสดงโคถึก ( โคมีกำลัง ) ๔ ประเภท คือร้าย ต่อโคของตน ไม่ร้ายต่อโคของผู้อื่น, ร้ายต่อโคของผู้อื่น ไม่ร้ายต่อโคของตน, ร้ายต่อโคของตน และร้ายต่อโค ของผู้อื่น, ไม่ร้ายต่อโคของตน และไม่ร้ายต่อโคของผู้อื่น ( ร้าย เทียบด้วยรุกรานหรือทำให้หวาดกลัว โคของตน ของผู้อื่น เทียบด้วยบริษัทของตนหรือของผู้อื่น ).

ทรงแสดงต้นไม้ ๔ อย่าง คือไม้กะพี้มีไม้กะพี้เป็น บริวาร, ไม้กะพี้มีไม้แก่นเป็นบริวาร, ไม้แก่นมีไม้กะพี้เป็นบริวาร, ไม้แก่นมีไม้แก่นเป็นบริวาร. ไม้กะพี้ เทียบ ด้วยบุคคลที่ทุศีล, ไม้แก่น เทียบด้วยบุคคลผู้มีศีล.

ทรงแสดงงูพิษ ๔ อย่าง คือพิษแล่น แต่ไม่ร้าย, พิษ ร้าย แต่ไม่แล่น, พิษทั้งแล่นทั้งร้าย, พิษทั้งไม่แล่นไม่ร้าย ( พิษแล่นหรือไม่แล่น เทียบด้วยขี้โกรธหรือไม่ ; พิษ ร้ายหรือไม่ร้าย เทียบด้วยมีความโกรธคงอยู่นานหรือไม่ ).

      ๒. ตรัสถามนายเกสี สารถีฝึกม้า

ว่า ฝึกอย่างไรบ้าง เขาตอบว่า ฝึกโดยวิธีหยาบบ้าง ละเอียดบ้าง ทั้งหยาบทั้งละเอียดบ้าง ถ้าฝึกไม่ได้ก็ฆ่าเสีย เพื่อมิให้เสียชื่อสกุล อาจารย์. เมื่อเขาถามว่า ทรงฝึกคนอย่างไร ก็ตรัสตอบอย่างที่เขาตอบ โดยอธิบายว่า ฝึกโดยวิธีหยาบ คือชี้ความ ชั่วและผลของความชั่ว, วิธีละเอียด คือชี้ความดีและผลของความดี, วิธีทั้งหยาบทั้งละเอียด คือชี้ทั้งสองอย่าง. ฆ่าเสีย คือทั้งตถาคตและเพื่อนพรหมจารีไม่ว่ากล่าวสั่งสอนผู้นั้น.

ทรงแสดงม้าอาชาไนย ที่ดีของพระราชาประกอบด้วย องค์ ๔ คือความซื่อตรง, ฝีเท้า, ความอดทน, ความเสงี่ยม เปรียบด้วยภิกษุประกอบด้วยคุณธรรมทั้งสี่นี้ ก็เป็นเนื้อนาบุญอันยอดเยี่ยมของโลก.

ทรงแสดงม้าอาชาไนยที่ดี ๔ ประเภท คือ ๑. เห็น เงาปฏักก็สำนึกตน ๒. ถูกปฏักแทงถึงขุมขนจึงสำนึกตน ๓. ถูกปฏักแทงถึงหนังจึงสำนึกตน ๔. ถูกปฏักแทง ถึงกระดูกจึงสำนึกตน. เทียบด้วยบุรุษอาชาไนย ๔ ประเภท คือ ๑. เพียงได้ฟังข่าวว่าคนอื่นทุกข์หรือตาย ก็เกิด สังเวช ตั้งความเพียร ทำให้แจ้งสัจจธรรมอันยิ่ง ๒. ต้องเห็นเองจึงเกิดความสังเวช แล้วตั้งความเพียร เป็นต้น ๓. ต้องเป็นญาติสายโลหิตของตน มีทุกข์หรือตายจึงเกิดสังเวช แล้วตั้งความเพียร เป็นต้น ๔. ต้องตัวเองได้รับ ทุกขเวทนากล้าแข็งเจ็บปวดจึงเกิดความสังเวช แล้วตั้งความเพียร เป็นต้น.

ทรงแสดงช้างของพระราชาประกอบด้วยองค์ ๔ จึงนับว่าควรแก่พระราชา คือรู้จักฟัง, รู้จักฆ่า, รู้จักอดทน, รู้จักไป เทียบด้วยภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ เช่น เดียวกัน ชื่อว่าเนื้อนาบุญอันยอดเยี่ยมของโลก ( รู้จักฟัง คือฟังธรรม, รู้จักฆ่า คือฆ่าความคิดที่ชั่ว, รู้จักอดทน คืออดทนหนาว ร้อน, สัมผัสเหลือบ ยุง เป็นต้น, รู้จักไป คือไปในทิศที่ไม่เคยไป คือไปพระนิพพาน ).

ทรงแสดงฐานะ ๔ คือ ๑. ฐานะที่ไม่น่าพอใจ ทำเข้า ก็เป็นไปเพื่อไม่เป็นประโยชน์ ๒. ฐานะที่ไม่น่าพอใจ แต่ทำเข้าเป็นไปเพื่อประโยชน์ ๓. ฐานะที่น่าพอใจ แต่ทำ เข้าเป็นไปเพื่อไม่เป็นประโยชน์ ๔. ฐานะที่น่าพอใจ ทั้งทำเข้าก็เป็นไปเพื่อประโยชน์.

ทรงแสดงว่า ควรทำความไม่ประมาทในฐานะ ๔ คือในการละทุจจริต ๓ และมิจฉาทิฏฐิ ในการเจริญสุจริต ๓ และสัมมาทิฏฐิ. เมื่อทำเช่นนั้นได้ ย่อมไม่กลัวความ ตายในอนาคต.

และควรทำความไม่ประมาทในฐานะ ๔ คือไม่ กำหนัดในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด, ไม่คิดประทุษร้ายในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความคิดประทุษร้าย, ไม่ หลงในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความหลง, ไม่มัวเมาในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความมัวเมา. เมื่อทำเช่นนั้นได้ ก็จะไม่ สดุ้งหวาดหวั่น ไม่ต้องไปตามถ้อยคำของสมณะ ( ไม่ถูกจูงไปตามชอบใจ ).

ทรงแสดงเรื่องสถานที่ควรสังเวช แต่ก็ควรดูของ กุลบุตรผู้มีศรัทธา ๔ แห่ง คือที่ซึ่งพระตถาคตประสูตร, ตรัสรู้, แสดงธรรมจักร ( แสดงธรรมครั้งแรก ),ปริ นิพพาน.

ทรงแสดงเรื่องภัย ( สิ่งที่น่ากลัว ) ๔ อย่าง คือความ เกิด, ความแก่, ความเจ็บไข้, ความตาย.

และภัยอีก ๔ อย่าง คือภัยอันเกิดจากไฟ, น้ำ, พระ ราชา, โจร.

      ๓. ทรงแสดงเรื่องภัย ๔ อย่าง

คือ ภัยอันเกิดจากการติ ตัวเองได้, ผู้อื่นติได้, การลงโทษ, ทุคคติ ( คติที่ชั่ว ).

ภัย ๔ อย่างสำหรับผู้ลงน้ำ คือภัยอันเกิดจากคลื่น, จระเข้, วังวน, ปลาร้าน ( คลื่นเปรียบด้วยความโกรธ, จระเข้เปรียบด้วยความเห็นแก่ปากแก่ท้อง, วังวนเปรียบ ด้วยกามคุณ ๕ คือรูป เสียง เป็นต้น ที่น่าปรารถนารักใคร่ชอบใจ, ปลาร้ายเปรียบด้วยมาตุคามหรือหญิง ข้อ เปรียบเทียบเหล่านี้สำหรับภิกษุ ).

ทรงแสดงบุคคล ๔ ประเภท คือผู้ได้ฌานที่ ๑ ถึง ฌานที่ ๔ แล้วติดใจในฌานทั้งสี่นั้น เมื่อสิ้นชีวิต ก็ไปเกิดเป็นพรหมมีอายุ ๑ กัปป์. เกิดเป็นอาภัสสพรหมมีอายุ ๒ กัปป์. เกิดเป็นสุภกิณหพรหมมีอายุ ๔ กัปป์, เกิดเป็นเวหัปผลพรหมมีอายุ ๕๐๐ กัปป์ ( ตามลำดับฌานที่ ๑ ถึง ๔ )หมดอายุแล้วก็อาจไปสู่นรก กำเนิดดิรัจฉานและภูมิแห่งเปรตได้อีก ส่วนอริยสาวกไปเกิดในที่นั้นแล้ว หมด อายุแล้วก็ปรินิพพานในภพนั้น นี้เป็นความต่างกันระหว่างบุถุชนผู้มิได้สดับกับอริยสาวกผู้ได้สดับ.

ทรงแสดงบุคคล ๔ ประเภท คือผู้ได้ฌานที่ ๑ ถึงฌานที่ ๔ แล้วพิจารณาขันธ์ ๕ โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ จนถึงไม่ใช่ตัวตน เมื่อสิ้นชีวิต ย่อมเกิดในเทพชั้นสุทธาวาส อันไม่ทั่วไปแก่บุถุชน.

ทรงแสดงบุคคล ๔ ประเภท ผู้เจริญพรหมวิหาร ๔ เมื่อสิ้น ชีวิตแล้วได้ไปเกิดในพรหมโลกตามลำดับชั้น ( เหมือนฌานที่ ๑ ถึงฌานที่ ๔ ) เมื่อหมดอายุแล้ว อาจไปสู่นรก กำเนิด ดิรัจฉานและภูมิแห่งเปรตได้ ส่วนอริยสาวกเมื่อหมดอายุแล้วก็นิพพานในภพนั้น.

ทรงแสดงบุคคล ๔ อย่าง ผู้เจริญพรหมวิหาร ๔ แล้ว พิจารณาขันธ์ ๕ โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน เมื่อสิ้นชีวิตย่อมเกิดในเทพชั้นสุทธาวาส อันไม่ ทั่วไปแก่บุถุชน

ทรงแสดงว่า ความอัศจรรย์ ๔ ประการ ย่อมปรากฏ เพราะความปรากฏแห่งพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ๑. เมื่อก้าวลงสู่พระครรภ์ ๒. เมื่อประสูติ ๓. เมื่อ ตรัสรู้ ๔. เมื่อทรงแสดงธรรมจักร จะมีแสดงสว่างอันโอฬารปรากฏขึ้น ก้าวล่วงเทวานุภาพ ส่องไปในที่แสงพระ จันทร์พระอาทิตย์ส่องไปไม่ถึง ทำให้สัตว์ทั้งหลายที่เกิดในที่นั้น ๆ จำกันและกันได้ด้วยแสงสว่างนั้นว่า แม้ผู้อื่นก็ มีมาเกิดในที่นี้.

ทรงแสดงความอัศจรรย์ ๔ ประการ ที่ปรากฏ เพราะ เหตุเช่นเดียวกันอีก คือสัตว์ที่มีความยินดีในอาลัย ( กามคุณ ๕ ), มีความยินดีในมานะ ( ความถือตัว ), มีความยินดี ในความไม่สงบระงับ, มีความยินดีในอวิชชา ( ความไม่รู้ ) เมื่อฟังธรรมที่พระตถาคตทรงแสดง อันเป็นเครื่องนำ ออกซึ่งสิ่งเหล่านั้น ย่อมตั้งจิต เพื่อรู้ทั่วถึง ( ธรรมเหล่านั้น ).

ทรงแสดงความอัศจรรย์ ๔ อย่างในพระอานนท์ คือ บริษัทที่เป็นภิกษุ, ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา เข้าไปหา ก็ชื่นใจด้วยการดู, ชื่นใจด้วยการกล่าวธรรม ยังไม่ทันอิ่ม พระอานนท์ก็นิ่งเสีย ( ก่อน ).

ทรงแสดงความอัศจรรย์ ๔ อย่างในพระเจ้าจักรพรรดิ์ เช่นเดียวกับพระอานนท์ เป็นแต่เปลี่ยนบริษัทเป็นกษัตริย์, พราหมณ์, คฤหบดี, สมณะ เปลี่ยนจากกล่าวธรรมเป็นมี พระดำรัส แล้วตรัสเปรียบพระอานนท์ว่าเป็นเช่นนั้น.

      ๔. ทรงแสดงบุคคล ๔ประเภท

ตามคุณธรรม คือพระ สกทาคามี, พระอนาคามีประเภทมีกระแสในเบื้องบนเข้าถึงอกนิฏฐภพ, พระอนาคามีประเภทปรินิพพานในระหว่าง และพระอรหันต์. กำหนดคุณธรรมของท่านเหล่านี้ด้วยการละสัญโญชน์ ( กิเลสที่ผูกสัตว์ไว้ในภพ ).

บุคคล ๔ ประเภทอีกอย่างหนึ่ง คือผู้มีปฏิภาณสมควร แต่ไม่เปรื่องปราด, ผู้มีปฏิภาณเปรื่องปราด แต่ไม่สมควร, ผู้มีปฏิภาณสมควรด้วยเปรื่องปราดด้วย, ผู้มีปฏิภาณทั้ง ไม่สมควร ทั้งไม่เปรื่องปราด ( ยุตตปฏิภาณในที่นี้ ผู้เขียนแปลว่า ปฏิภาณอันสมควร มุตตปฏิภาณแปลว่า ปฏิภาณเปรื่องปราด. ฉบับฝรั่งเป็นปฏิภาณ แปลว่า มีปัญญาถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ช้าหรือเร็ว แล้วแค่คำว่า ยุตต มุตต ที่นำมาประกอบข้างหน้า ).

บุคคล ๔ ประเภท คือรู้ได้ไว, ต้องอธิบายจึงรู้ได้, พอ แนะนำได้, ไม่มีทางจะรู้ ( ตรัสรู้ ) ได้.

บุคคล ๔ ประเภท คือที่เป็นอยู่ด้วยอาศัยผลของความ หมั่น มิใช่อาศัยผลของกรรม, อาศัยผลของกรรม ไม่อาศัยผลของความหมั่น, อาศัยทั้งสองอย่าง ไม่อาศัยทั้งสองอย่าง ( อาศัยผลของความหมั่น คือทำเอาในชาตินี้ ไม่อาศัยผลบุญเก่า, อาศัยผลของกรรม คืออาศัยผลของบุญและบาปเก่า ).

บุคคล ๔ ประเภท คือที่มีโทษ, มีโทษมาก, มีโทษน้อย, ไม่มีโทษ.

บุคคล ๔ ประเภท คือไม่ทำให้บริบูรณ์ในศีล สมาธิ และปัญญา, ทำให้บริบูรณ์ในศีล แต่ไม่ทำให้บริบูรณ์ในสมาธิและปัญญา, ทำให้บริบูรณ์ในศีล สมาธิ แต่ไม่ทำ ให้บริบูรณ์ในปัญญา, ทำให้บริบูรณ์ทั้งในศีล สมาธิ และปัญญา.

บุคคล ๔ ประเภท คือผู้ไม่หนักในศีล, สมาธิ, ปัญญา ไม่มีศีล, สมาธิ, ปัญญาเป็นใหญ่ ; ผู้หนักในศีล, ไม่หนักในสมาธิ, ปัญญา, มีศีลเป็นใหญ่, ไม่มีสมาธิ, ปัญญา เป็นใหญ่ ; ผู้หนักในศีล, สมาธิ ไม่หนักในปัญญา, มีศีล, สมาธิเป็นใหญ่ ไม่มีปัญญาเป็นใหญ่ ; ผู้หนักในทั้งสาม มีทั้งสามเป็นใหญ่.

บุคคล ๔ ประเภท คือผู้มีกายหลีกออกแต่มีจิตไม่หลีก ออก, ผู้มีกายไม่หลีกออก แต่มีจิตหลีกออก, ผู้มีกายและจิตไม่หลีกออก, ผู้มีกายและจิตหลีกออก.

บุคคล ๔ ประเภท คือผู้แสดงธรรมพูดน้อย พูดไม่มี ประโยชน์ บริษัทก็ไม่ฉลาดในประโยชน์และมิใช่ประโยชน์, ผู้แสดงธรรมพูดน้อย แต่พูดมีประโยชน์ บริษัทก็ ฉลาดในประโยชน์และมิใช่ประโยชน์, ผู้แสดงธรรมพูดมาก พูดไม่มีประโยชน์ บริษัทก็ไม่ฉลาดในประโยชน์ และมิใช่ประโยชน์, ผู้แสดงธรรมพูดมาก พูดมีประโยชน์ บริษัทก็ฉลาดในประโยชน์และมิใช่ประโยชน์. ผู้แสดง ธรรมแต่ละประเภทย่อมนับได้ว่าเป็นผู้แสดงธรรมของบริษัทชนิดนั้น ๆ.

ผู้พูด ๔ ประเภท คือผู้พูดที่ถือเอาเนื้อความได้ แต่ถือ เอาพยัญชนะไม่ได้, ผู้พูดที่ถือเอาพยัญชนะได้ แต่ถือเอาเนื้อความไม่ได้, ผู้พูดที่ถือเอาไม่ได้ทั้งสองอย่าง.

      ๙. ทรงแสดงแสงสว่าง ๔ อย่าง

คือแสงจันทร์, แสงอาทิตย์, แสงไฟ, แสงปัญญา ในแสงทั้งสี่นี้แสดงปัญญาเป็นเลิศ.

ทรงแสดงกาล ๔ คือการฟังตามกาล, การสนทนา ธรรมตามกาล, การสงบระงับ ( สมถะ ) ตามกาล, การเห็นแจ้ง ( วิปัสสนา ) ตามกาล. แล้งทรงแสดงว่า เมื่อ อบรม ๔ นี้ให้ดีแล้วก็จะทำให้อาสวะสิ้นไปได้โดยลำดับ.

ทรงแสดงวจีทุจจริต คือพูดปด, พูดส่อเสียด, พูดคำ หยาบ, พูดเพ้อเจ้อ.

กับวจีสุจริต ๔ คือพูดจริง, พูดไม่ส่อเสียด, พูดละเอียด อ่อน, พูดมีคติ (มนุตาภาสา)

ทรงแสดงสาระ ๔ คือ คือสาระ อันได้แก่ศีล, สมาธิ, ปัญญา, วิมุติ ( ความหลุดพ้น ).


    '๑' . คำว่า ฝีเท้า เมื่อเทียบด้วยคุณธรรม ในพระสูตรนี้ไม่ได้แสดงไว้ แต่ในพระสูตรอื่น เคยเทียบด้วยฌานอรรถกถาแห่งพระสูตรนี้ ก็แก้ว่า ได้แก่ญาณเช่นเดียวกัน

    '๒' . คำว่า ปฏิภาน ปฏิภาณ มีความหมายต่างกัน ปฏิภาน หมายถึงเชาวน์ปัญญา ส่วน ปฏิภาณ หมายถึงการโต้ตอบ คำบาลีในพระไตรปิฎกยังไม่ยุตินัก เพราะผู้ควบคุมการพิมพ์ อาจแก้ตัวอักษรเป็น ปฏิภาณแบบเดียวกันหมด. อรรถกถาแก้ว่า ยุตตปฏิภาณ คือถามปัญหาที่ควร มุตตปฏิภาณ คือถามไว

    '๓' . ในที่นี้ทรงใช้คำเปลี่ยนไปหลายอย่าง ที่มีความหมายถึงแสงสว่างทั้งสิ้น คือ อาภา, ปภา, อาโลกะ, โอภาสะ, ปัชโชตะ

    '๔' . ที่มาอื่น ๆกล่าวถึงสุจริตเพียงปฏิเสธว่าไม่ทำทุจจริต แต่ในที่นี้ชัดกว่านั้น


บทนำ   ความรู้เรื่องพระไตรปิฎก  เอกสารทางประวัติศาสตร์   ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก   พระวินัยปิฎก  

พระสุตตันตปิฎก   พระอภิธรรมปิฎก   พระไตรปิฎก ๔๕ เล่ม   ชาดก  คำค้นหาพระไตรปิฎก  ธรรมปฏิบัติ