แลพระโพธิปักขิยธรรม  ๓๗  ซึ่งพรรณนามาฉะนี้  เมื่อพระโยคาพจรเจ้า  ยังเจริญโลกียวิปัสสนาอยู่ในบุรพภาคนั้น   ก็ได้ในขณะจิตต่าง  ๆ   
   คือ  กายยานุปัสสนาสติปัฏฐาน  ก็เฉพาะได้เมื่อพระโยคาพจรเจ้าพิจารณาซึ่งกายด้วยอาการ   ๑๔   มีพระอานาปานสติเป็นต้น
   เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน   ก็เฉพาะไว้เมื่อพระโยคาพจรเจ้าพิจารณาเวทนาซึ่งอาการ   ๕   มีสุขเวทนาเป็นอาทิ
   จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน   ก็เฉพาะได้เมื่อพิจารณาซึ่งจิตด้วยอาการ  ๑๘   มีจิตอันกอปรด้วยราคาเป็นอาทิ
   ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานนั้น   ก็เฉพาะได้เมื่อพิจารณาซึ่งธรรมทั้งหลาย  ๕   มีนิวรณ์เป็นอาทิ
   พระสติปัฏฐาน   ๔   ประการ   พระโยคาพจรเจ้าในขณะจิตต่าง  ๆ  ด้วยประการดังนี้
   พระสัมมัปปธาน   ๔   ก็ได้ในจิตต่าง  ๆ  พระสัมมัปปธานเป็นปฐมนั้นเฉพาะได้กาลเมื่อพระโยคาพจรเห็นอกุศลธรรมอันใด   อันมิได้เคยบังเกิดแก่ตนในอาตมาภาพ    แลบังเกิดมีแก่บุคคลผู้อื่น     ก็มนสิการในใจว่าอาตมาจะปฏิบัติเพื่อจะมิให้บังเกิดแก่อกุศลธรรมดังนั้น    แล้วก็จะพยายามเพื่อจะมิให้อกุศลธรรมบังเกิดได้
   สัมมัปปธานเป็นคำรบ  ๒   ก็ได้เมื่อพระโยคาพจรเจ้ารู้ว่าอกุศลธรรมอันประพฤติเป็นไปในสันดานแห่งตนแล้ว   ก็เพียรเพื่อจะมละเสียซึ่งอกุศลธรรมนั้นจากสันดาน
   สัมมัปธานเป็นคำรบ  ๓   นั้น  ได้เมื่อพระโยคาพจรพยายามเพื่อจะยังฌานแลวิปัสสนาอันยังมิได้เคยบังคับในอาตมาภาพนี้  ก็ให้บังเกิดขึ้น
   สัมมัปปธานเป็นคำรบ  ๔   นั้น   ได้เมื่อพระโยคาพจรพยายามยังฌานแลวิปัสสนาอันบังเกิดแล้ว  ก็ให้บังเกิดภิยโยภาพเนือง  ๆ  ไปมิให้เสื่อมจากสันดาน
   พระสัมมัปปธานทั้ง   ๔   มีในจิตตุปบาทต่าง  ๆ  ในโลกิยวิปัสสนาดังนี้
   ฝ่าพระอิทธิบาททั้ง  ๔  นั้น  ก็ได้ในจิตต่าง  ๆ  เมื่อกระทำฉันทะเป็นอธิบดีแล้ว    แลยังกุศลธรรมให้บังเกิดในจิตตุปปบาทอันใด   จึงได้ฉันทิทธิบาทในจิตตุปบาทนั้น   เมื่อกระทำวิริยจิตตะปัญญาเป็นอธิบดีแล้วยังกุศลธรรมให้บังเกิดในจิตตุปบาทใด   ๆ   จึงได้วิริยจิตตะวิมังสาจิตตุปบาทในอิทธิบาทนั้น  ๆ
   ฝ่าพระอัษฏางคิกมรรคนั้นก็ดี     เมื่อเกิดกับด้วยโลกิยจิตก็ได้ในจิตต่าง  ๆ  กัน
   คือพระโยคาพจรปรารภถึงมิจฉาวาจา   คือวจีทุจริต   ๔   ประการเป็นอารมณ์พิจารณาเห็นโทษแล้ว   ก็เว้นเสียในจิตตุปบาทอันใดจึงเฉพาะใดสัมมาวาจาในจิตนั้น
   เมื่อพิจารณาเห็นโทษในมิจฉากัมมันตะ   คือ  กายทุจริต   แลมิจฉา อาชีวะ   แล้วก็เว้นเสียในจิตตุปบาทอันใด   ก็เฉพาะได้สัมมากัมมันตะ  แลสัมมาอาชีวะต่าง  ๆ  กันกับจิตตุปบาทนั้น  ๆ
   โพธิปักขิยธรรม   ๓๗  ประการ   จัดเป็นแผนกเอาพระสติปัฏฐานแลพระสัมมัปปธาน   และพระอิทธิบาท   แลพระสัมมาวาจาเป็นอาทิ    ก็ดีบัณฑิตได้ในจิตต่าง  ๆ  ในกาลเมื่อประพฤติเป็นไปแห่งโลกิยวิปัสสนาด้วยอาการดังนี้
    อิเมสํ  ปน  จตุนฺนํ  ญาณานํ    อุปฺปตฺติกาเล  กาลเมื่อพระอริยมรรคญาณทั้ง  ๔   บังเกิดนั้น   อันว่าพระโพธิปักขิยธรรมทั้งปวงที่ควรจะได้นั้น   ก็ได้พร้อมกันในขณะจิตเดียว   เพราะเหตุมีอารมณ์อันเดียวกันคือยึดหน่วงเอาซึ่งพระนิพพานเป็นอารมณ์ก็ได้สำเร็จกิจกำจัดข้าศึกแห่งตน  ๆ   อาศัยเหตุนี้   พระอริยมรรคทั้ง  ๕  ก็ประดับด้วยพระโพธิปักขิยธรรม   ๓๗   บริบูรณ์โดยปริยาย
   พระอริยผลทั้ง  ๔   นั้น   คงได้พระโพธิปักขิยธรรมบริบูรณ์   แต่   ๓๓  ประการ  เว้นพระสัมมัปปธานทั้ง  ๔   เพราะเหตุบ่มิได้มีพยายามสืบต่อไปแล้ว   เป็นแต่ทิฏฐฐานธรรมสุขวิหาร    ระงับหทัยสันดานให้เย็นดุจหนึ่งบุคคลเอากระออมน้ำมารดซ้ำในที่มีเพลิงอันดับแล้วนั้น   อาศัยเหตุนี้แม้ว่าวิริยะเจตสิก   คือสัมมาวายาโมมีในอริยผลจิตก็ดีก็บ่มิได้มีนามบัญญัติว่าเป็นองค์สัมมัปปธานด้วยประการดังนี้
    เอวํ  เอกจิตฺเต   ลพฺภมาเนสุ   เจเตสุ   ล้ำพระโพธิปักขิยธรรม  ๒๗  ประการ  อันได้ในจิตอันเดียวดังกล่าวมานี้  เอากาวสติ  สติตัวเดียวมีพระนิพพานเป็นอารมณ์  ก็ได้ชื่อว่าสติปัฏฐาน   ๔   ด้วยสามารถให้สำเร็จกิจอันมละเสียซึ่งวิปลาส  มีสำคัญว่างามในเป็นอาทิ
    เอกเมว   วิริยํ  วิริยะตัวเดียว  เอาพระนิพพานเป็นอารมณ์แล้วก็ให้สำเร็จกิจ  ๔   ประการ  อันยังอกุศลบ่มิได้เคยบังเกิดก็มิให้บังเกิดเป็นอาทิก็ได้ชื่อว่าพระสัมมัปปธาน  ๔   ในจิตอันเดียวกัน
   ฝ่ายพระโพธิปักขิยธรรมอันเศษ  ๕  โกฏฐาส   มีพระอิทธิบาทเป็นอาทินั้นคงตัว   จะลดลงเจริญขึ้นอย่างโกฏฐานทั้งสอง   คือพระสติปัฏฐานแลพระสัมมัปปธานนี้หาบ่มิได้
   นัยหนึ่งพระโพธิปักขิยธรรม  ๓๗  นี้  ถ้าจะว่าโดยสภาวะธรรมมิได้ว่าด้วยประเภทที่สำเร็จกิจต่าง  ๆ    ก็คงแต่  ๑๔  คือสติ  ๑   วิริยะ  ๑   ฉันทะ  ๑  จิตตะ  ๑  ปัญญา  ๑    สัทธา  ๑    สมาธิ  ๑   ปีติ  ๑  ปัสสัทธิ  ๑   อุเบกขา  ๑  สัมมาสังกัปปโป   ๑  สัมมาวาจา  ๑   สัมมากัมมันโต  ๒   สัมมาอาชีโว  ๑   เป็น  ๑๒   ธรรมทั้งหลาย  ๑๔  นี้  เมื่อจำแนกไปในประเภท  ๓๗  นั้น  เป็นไปด้วยอาการ   ๖   โกฏฐาส
   คือธรรมทั้ง  ๙  มีอาการหนึ่ง  ๆ  นั้น  เป็นโกฏฐาส  ๑
   คือธรรมอันหนึ่งตั้งอยู่ด้วยอาการ  ๒   นั้น  เป็นโกฏฐาส  ๑
    อถ   จตุธา  คือธรรมอันตั้งอยู่ด้วยอาการ   ๔   เป็นโกฏฐาส  ๑
   คือธรรมอันตั้งอยู่ด้วยอาการ  ๕  เป็นโกฏฐาส  ๑
   คือธรรมอันตั้งอยู่ด้วยอาการ  ๘  เป็นโกฏฐาส   ๑
   คือธรรมอันตั้งอยู่ด้วยอาการ  ๙  เป็นโกฏฐาส  ๑  เป็น  ๖  โกฏฐาส  ด้วยกัน
   ธรรมทั้งหลาย   ๘  มีอาการหนึ่ง  ๆ   นั้น  คือ  ฉันทะ  ๑  จิตตะ  ๑   ปีติ  ๑   ปัสสิทธิ  ๑   อุเบกขา  ๑   สัมมาสังกัปโป  ๑   สัมมาวาจา  ๑   สัมมากัมมันตะ  ๑   สัมมาอาชีวะ  ๑
   แลธรรมทั้งหลาย  ๙   นี้  คงตั้งอยู่ด้วยอาการหนึ่ง  ๆ   เหตุฉันทะนั้นตั้งอยู่ด้วยอาการเป็นแต่ฉันทิทธิบาทสิ่งเดียว    จิตตะก็เป็นแต่จิตติทิทธิบาทสิ่งเดียว   ปิติก็เป็นแต่ปิติสัมโพชฌงค์สิ่งเดียว  ปัสสัทธิก็เป็นได้แต่ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์สิ่งเดียว    อุเบกขาก็เป็นแต่อุเบกขาสัมโพชฌงค์สิ่งเดียว    วาจาแลกัมมันตะ   แลอาชีวะทั้ง  ๓   นั้นก็ดี   ก็ตั้งอยู่ด้วยอาการอันเป็นองค์อัษฏางคิกมรรค   คือสัมมาวาจา   แลสัมมากัมมันตะ    แลสัมมาอาชีวะ   สิ่งเดียว  ๆ   ธรรมทั้งหลาย   ๙   นี้แลได้ชื่อว่าตั้งอยู่ด้วยอาการอันเดียวแท้บ่มิได้เจือไปในโกฏฐาสแห่งพระโพธิขิยธรรมกองอื่น  ๆ  เลย
   ธรรมอันหนึ่ง   ตั้งอยู่ด้วยอาการ  ๒  นั้น   คือสัทธาสิ่งเดียวตั้งอยู่ด้วยอาการเป็นสัทธินทรีย์  ๑   เป็นสัทธาพละ  ๑
   ธรรมสิ่งเดียวตั้งอยู่ด้วยอาการ   ๔  นั้น   คือสมาธิสิ่งเดียวเป็นได้ถึง   ๔   อย่าง  คือเป็นสมาธินทรีย์  ๑   เป็นสมาธิพละ  ๑   เป็นสมาธิสัมโพชฌงค์  ๑   เป็นสัมมาสมาธิ   ในองค์อัษฏางคิกมรรค  ๑   เป็นอาการคำรบ  ๓
   ธรรมอันหนึ่งตั้งอยู่ด้วยอการ  ๕   นั้น   คือปัญญาอันเดียวเป็นได้ถึง   ๕   อย่าง    คือเป็นวิมังสิทธิบาท  ๑   เป็นปัญญินทรีย์  ๑   เป็นปัญญาพละ  ๑   เป็นธรรมวิจยะสัมโพชฌงค์  ๑   เป็นสัมมาทิฏธิในองค์อัษฏางคิกมรร  ๑   จึงเป็นอาการคำรบ  ๕
   ธรรมอันหนึ่งตั้งอยู่ด้วยอาการ  ๘   นั้น  คือสติตัวเดียวเป็นสติปัฏฐานถึง  ๔  อย่าง    แล้วเป็นสตินทรีย์เป็นสติพละ    เป็นสติสัมโพชฌงค์   เป็นอัษฏางคิกมรรค   คือสัมมาสติ  จึงเป็นอาการ   ๘
   ธรรมอันหนึ่ง   ตั้งอยู่ด้วยอาการ  ๙  นั้น  คือวิริยะตัวเดียวแจกเป็นพระสัมมามัปปธาน  ๔   เป็นวิริยิทธิบาท   ๑   เป็นวิริยินทรีย์  ๑   เป็นวิริยะพละ  ๑  เป็นวิริยะสัมโพชฌงค์  ๑   เป็นองค์มรรคคือสัมมาวายาโม  ๑   เป็นคำรบ  ๘  ด้วยกัน
   เหตุใดเหตุดังนั้น   พระพุทธโฆษาจารย์เจ้าผู้รจนา   พระคัมภีร์วิสุทธิมรรคบั้นปลายนั้น  จึงนิพนธ์บางพระคาถาไว้ในเบื้องปลาย
    เอวํ   จุทฺทเสว   อสมฺภินฺนา   โหนฺติ   เต   โพธิปกฺขิยา   โกฏาสโต  สตฺตวิธา   สตฺตตึสเภทโต   สกิจฺจนิปฺผาทนโต   สรูเปน  จ   วุตฺติโต   สพฺเพว    อริยมคฺคสฺส   สมฺภเว   สมฺภเวนฺติ   เต  
   อธิบายในบาทพระคาถาว่า  เต   โพธิปกฺขิกา  อันว่าพระโพธิปักขิยธรรม   ๓๗   นั้น   จัดเป็นสภาวะธรรมมิได้แจกเจือไปก็คงแต่   ๑๔  เมื่อสงเคราะห์เป็นโกฏฐาสสราสิได้  ๗  กอง   คือพระสติปัฏฐาน   ๔   เป็นกองต้น  พระอัษฏางคิกมรรคเป็นปริโยสาน
   แจกออกเป็นประเภท   อาการที่สำเร็จกิจแห่งตน   ๆ   โดยสารูปเรียกชื่อต่าง  ๆ  ออกจึงเป็นประเภท  ๓๗  ประการ   โดยนัยดังพรรรณนามาแล้วนั้น
   ว่ามาด้วยสภาวะบริบูรณ์  แห่งพระโพธิปักขิยธรรม   ในญาณทัสสนวิสุทธิทั้ง  ๔   นั้น  นักปราชญ์พึงรู้ด้วยประการดังนี้
   แต่นี้จะวินิจฉัย   ในวุฏฐานพละสมาโยคต่อไป
   วุฏฐานะ  นั้นแปลว่าออกจากนิมิตแลปวัตติ   นิมิตนั้นคือสังขารธรรมอันตัณหาสมุทัยหากตกแต่งจึงได้ชื่อว่านิมิต
   ตัณหาสมุทัย     อันเป็นเหตุประพฤติเป็นไปแห่งสังขารธรรมนั้น  ชื่อว่าปวัตติ  กิริยาที่จะออกจากนิมิตแลปวัตตินี้    ต่อเมื่อพระอริยมรรคบังเกิดจึงออกได้
   แท้จริง  เมื่อพระโยคาพจรยังจำเริญโลกิยวิปัสสนาปัญญาอยู่นั้นก็ยังบ่มิได้ออกจากนิมิตแลปวัตติ   ยังมิได้ออกจากนิมิต   เพราะเหตุยกสังขารนิมิตขึ้นสู่พระไตรลักษณ์   แล้วพิจารณายึดหน่วงเอาเป็นอารมณ์อยู่ยังบ่มิได้ออกจากตัณหาสมุทัยอันเป็นเหตุ    ประพฤติเป็นไปแห่งสังขารนิมิตนั้น   อาศัยเหตุฉะนี้โลกิยวิปัสสนาปัญญาก็ได้ชื่อว่า  ยังบ่มิได้ออกจากภาคทั้ง  ๒   คือสังขารนิมิตแลตัณหาปวัตติ   ขณะเมื่อโคตรภูญาณบังเกิดก็ดีก็ยังบ่มิออกจากตัณหาปวัตติ   เหตุโคตรภูญาณบ่มิได้  เป็นพนักงานที่จะตัดตัณหาสมุทัยให้ขาดได้   แต่ทว่าออกจากสังขารนิมิตได้เพราะเหตุละซึ่งอารมณ์คือสังขารนิมิตแล้ว   ก็ยึดหน่วงเอาพระนิพพานเป็นอารมณ์เหตุดังนั้นพระโคตรภูญาณจึงได้ชื่อว่า  เอกโตวุฏฐานคือออกจากภาคอันหนึ่ง
   ฝ่ายพระอริยมรรคญาณทั้ง  ๔   นั้น   ออกจากนิมิต    ออกจากปวัตติ   ออกจากนิมิต   เพราะเหตุวางอารมณ์  คือสละสังขารเสียแล้ว   และหน่วงเอาพระนิพพานเป็นอารมณ์   ออกจากปวัตติ   เพราะเหตุตัดตัวสมุทัยให้ขาดเป็นสมุจเฉทปหาน    เหตุฉะนี้    พระอริยมรรคญาณทั้ง   ๔   จึงได้ชื่อว่า   อุภโตวุฏฐาน   คือออกจากภาคที่  ๒   นั้น
วิสัชนาการจำแนกในวุฏฐานเป็นใจความแต่เท่านี้
 
 
   ทีนี้จะจำแนกในพละสมาโยค   คือพระอริยมรรคอันประกอบด้วยกำลัง  ๒  ประการ  จึงออกจากนิมิตแลปวัตติได้
   กำลัง   ๒   ประการนั้น   คือพระสมถะพละ   ๑   พระวิปัสสนาพละ  ๑   สมถะพละนั้น  คือสมาธิ   วิปัสสนาพละนั้น  คือปัญญา
   ในขณะเมื่อพระโลกุตตรมรรคญาณบังเกิดนั้น    พระสมถะกับพระวิปัสสนามีกำลังเสมอกัน  จะยิ่งหย่อนกว่ากันอย่างโลกิยะภาวนาหาบ่มิได้   แท้จริงกาลเมื่อพระโยคาพจร   จำเริญโลกิยะสมาบัติทั้ง  ๘  นั้น  ยิ่งด้วยกำลังพระพระสมถะ   กาลเมื่อพิจารณาสังขารธรรมด้วยอนิจจานุปัสสนาเป็นอาทินั้นยิ่งด้วยกำลังพระวิปัสสนา   ครั้นถึงขณะเมื่ออริยมรรคญาณบังเกิดแล้วกำลัง  ๒   ประการ  มีพระนิพพานเป็นอารมณ์  เป็นเอกรสะมีกิจเสมอกันเหตุสภาวะบ่มิได้ล่วงซึ่งกัน   เหตุดังนั้นอันว่ากิริยาอันประกอบด้วยพละ  ๒    ประการ  ก็มีในพระอริยมรรคทั้ง  ๔   ด้วยประการฉะนี้
 สิ้นใจความในพระสมาโยคแต่เท่านี้
   ลำดับนี้จะว่าด้วยปหาตัพพะธรรมต่อไป   คือธรรมทั้งหลายอันพระอริยมรรคญาณทั้ง  ๔    
   จึงพึงมละเสียตามสมควรแกกำลังแท้จริง   พระอริยมรรคทั้ง   ๔   นั้น   ให้สำเร็จกิจมละเสียซึ่งปัจจนิกธรรมทั้งหลาย  ๑๘  กล่าวคือสังโยชน์  ๑    กิเลส  ๑    มิจฉัตตะ  ๑  โลกธรรม  ๑   มัจฉริยะ  ๑    วิปลาส  ๑   คันถะ  ๑     อคติ  ๑   อาสวะ  ๑   โอฆะ  ๑   โยคะ  ๑     นิวรณ์  ๑     ปรามาส  ๑    อุปาทาน  ๑   อนุสัย  ๑  มนทิล  ๑     อกุศลกรรมบถ  ๑    อกุศลกรรมบถ  ๑  อกุศลจิตตุปบาท  ๑   สิริเป็น  ๑๘   ชื่อว่าปัจจนิกธรรม
   อันว่าธรรมทั้งหลาย  ๑๐   มีกามราคะเป็นอาทิ   ชื่อว่าสังโยชน์   เหตุประกอบไว้ซึ่งขันธ์สันดานในปรโลก   ให้เนื้องกันกับขันธสันดานในอิธโลก   แลประกอบไว้ซึ่งกรรมด้วยผลแห่งกรรม    แลประกอบไว้ซึ่งสัตว์กับด้วยสังขารทุกข์   จึงได้ชื่อว่าสังโยชน์
   ล้ำสังโยชน์  ๑๐   นั้นยกเอาแต่สังโยชน์   ๕   คือรูปราคสังโยชน์  ๑     อรูปราคสังโยชน์  ๑   มานสังโยชน์  ๑   อุทธัจจสังโยชน์  ๑   อวิชชาสังโยชน์  ๑    เป็นคำรบ  ๕   ชื่อว่าอุทธัมภาคิยสังโยชน์  เหตุประกอบไว้ซึ่งขันธสันดานเป็นอาทิ   อันบังเกิดในภาคเบื้องบน   คือรูปภพอรูปภพ
   สังโยชน์อีก  ๕    ประการ  คือ   สักกายทิฏฐิ   ๑   วิจิกิจฉา  ๑   สี ลัมพัตตะปรามาส  ๑   กามราคะ  ๑   ปฆิฆะคือโทโส  ๑   เป็นคำรบ  ๕    ชื่อว่า   อโธภาคิยสังโยชน์   เหตุประกอบไว้ซึ่งขันธสันดานเป็นอาทิอันบังเกิดในเบื้องต่ำ   คือกามภพ
   ธรรมทั้งหลาย   ๑๐   คือ  โลภะ  ๑   โทสะ ๑    โมหะ  ๑    มานะ  ๑   ทิฏฐิ  ๑   วิจิกิจฉา  ๑  ถีนะ  ๑   อุทธัจจะ  ๑  อหิริกะ  ๑    อโนตตัปปะ  ๑  เป็น   ๑๐   ประการด้วยกันชื่อว่ากิเลส   เหตุเศร้าหมองด้วยตนเอง  แลยังสัมปยุตธรรมให้เศร้าหมอง
   ธรรม  ๑๐  ประการนี้   มีมิจฉาทิฏฐิเป็นต้น   มีมิจฉาสมาธิเป็นปริโยสานกับทั้งมิจฉาวิมุตติหยั่งศรัทธาลงไปในที่ผิด    แลมิจฉาญาณเป็นคำรบ  ๑๐   ชื่อมิจฉัตตะ   เหตุประพฤติเป็นไปในทางผิดเป็นกามสุขัลลิกานุโยค   แลอัตตกิลมถานุโยค
   ธรรมทั้งหลาย  ๘   คือ   ลาภ  ๑    อลาภะ   หาลาภบ่มิได้   ๑    ยโส  คือมียศ  ๑    อยโส  ๑     คือหายศบ่มิได้  ๑   คือความสุข  ๑   คือความทุกข์  ๑   คือความนินทา  ๑   คือความสรรเสริญ  ๑    ธรรม   ๘  ประการนี้   ชื่อว่าโลกธรรม    เหตุว่าขันธาทิโลกประพฤติเป็นไปตราบใด    ธรรม  ๘  ประการนี้   ก็บ่ได้เสื่อมสูญตราบนั้น   เทียรย่อมประพฤติตามซึ่งโลก  ๆ    ก็ประพฤติตามซึ่งธรรม  ๘   ประการ  ๆ   จึงได้ชื่อว่าโลกธรรม
   ในที่นี้จะยกเอาธรรม  ๒   ประการ   คือโลภอันยินดีในลาภเป็นอาทิ  ๑   คือโทสาอันเคียดแค้น   เพราะหาลาภบ่มิได้เป็นอาทิ   ๑   ชื่อว่าโลกธรรมคงแต่  ๒
   มิจฉริยะ  ๕   นั้น  คือ   อาวาสมัจฉริยะ     ความตระหนี่ในอาวาส  ๑   คือ  กุลมัจฉริยะ  ความตระหนี่ในตระกูลโยมอุปัฏฐาก    ๑   คือลาภมัจฉริยะความตระหนี่ในจตุปัจจัยลาภ  ๑   คือธรรมมัจฉริยะ    ความตระหนี่ในสรีระวรรณแลสัทธาธิคุณวรรณ  ๑   เป็น  ๕  ประการด้วยกัน
   ถ้าจะว่าใจความ  ก็ได้แก่มัจฉริยะเจตสิกตัวเดียว   เกิดกับโทสะจิตคิดแต่ว่าจะมิให้มีสิ่ง  ๕   ประการ   มีอาวาสเป็นต้น    แก่บุคคลผู้อื่น  ให้เป็นของอาตมาผู้เดียว    ถ้าเห็นว่ามีทั่วไปแก่บุคคลผู้อื่นแล้วก็ให้อดกลั้นบ่มิได้
    วิปลาส  ๓    ประการนั้น   คือ   สัญญาวิปลาส  ๑   จิตวิปลาส  ๑   ทิฏฐิวิปลาส  ๑   ประพฤติเป็นไปโดยเห็นว่าเที่ยง   ว่าสุข  ว่าตัว  ว่าตน   ว่างาม  ในวัตถุทั้งหลายอันบ่มิเที่ยงมิเป็นสุข   ใช่ตน  ใช่งาม
   ธรรม  ๔  ประการ  คืออภิชฌา  ๑   พยาบาท  ๑   คือสีลัพพัตตะปรามาส  ๑   คืออิทังสัจจภินิเวส   คือมั่นในคำของตนว่าสัตว์ว่าบุคคลนั้นมีจริง   จะว่าอย่างอื่นนั้นผิดไป   ๑
   แลธรรม   ๕   ประการนี้มีชื่อว่าคันถะ   เหตุว่าผูกพันรัดรึงตรึงไว้ซึ่งนามกายรูปกาย   ในสังสารทุกข์หาที่สุดบ่มิได้
   อคตินั้นแจกออกด้วยอาการเป็น  ๔   คือ  ฉันทาคติ  ๑   โทสาคติ  ๑  โมหาคติ  ๑   ภยาคติ  ๑   เป็น  ๔  ประการ  ยกเอาใจความเป็นแต่   ๒   คือ  กระทำซึ่งกิจอันบ่พึงกระทำ   ด้วยรักษาโกรธด้วยหลงด้วยกลัว  ๑   คือ   มิได้กระทำซึ่งกิจอันควรจะพึงกระทำด้วยเป็นอาทิ  ๑   เป็นใจความแต่   ๒   ประการเท่านี้   ชื่อว่าอคติ   เหตุเป็นที่พระอริยเจ้าทั้งหลายบ่มิพึงดำเนินไป