ธรรม   ๔   ประการคือราคะอันยินดีในกาม  ๑   คือราคะอันประกอบด้วยสัสสตะทิฏฐิ  ๑     คือราคะอันประกอบด้วยอุจเฉททิฏฐิ  ๑     คืออวิชชา  ๑   
   แลธรรม   ๔   ประการนี้    ชื่อว่าอาสวะด้วยเหตุ   ๓  ประการ    คือประพฤติเป็นไปโดยธรรม   ตราบเท่าถึงโคตรภู   เป็นไปตามภพตราบเท่าถึงภวัคคะพรหม     ก็เป็นอารมณ์แห่งอาสวะได้สิ้น  ๑
  คือเป็นกระแสไหลออกบ่มิขาดสายด้วยอสุจิ    คือกิเลสโดยทวารทั้ง   ๖   อันบุคคลมิได้สำรวมรักษา   ดุจหนึ่งน้ำอันไหลออกจากช่องกระออม  ๑       คือเป็นเหตุสั่งสมซึ่งสังขารทุกข์  ๑
  อาศัยเหตุ  ๓   ประการนี้   ธรรม  ๔   ประการจึงได้นามชื่อว่า  อาสวะแลอาสวะธรรมทั้ง  ๔   นั้นแล   ชื่อว่าโอฆะ   ชื่อว่าโยคะ
  ชื่อว่าโอฆะนั้น    ด้วยสภาวะฉุดคร่าไว้ซึ่งสัตว์อันตกลงในกระแสโอฆะให้ล่มจมอยู่ในภพสาคร    แลให้มีมหาสมุทร   จตุราบายจะล่วงข้ามได้ด้วยยาก
  ชื่อว่าโยคะนั้น   ด้วยอรรถว่าประกอบไว้ซึ่งสัตว์ทั้งหลายกับด้วยอารมณ์แลความทุกข์    บ่มิให้พรางออกได้  อธิบายว่าบ่มิได้สละอารมณ์มีอาการอันเคยถือเอานั้น
  อนึ่ง  สัตว์ผู้กระทำซึ่งบาปเห็นปานใด   จึงได้เสวยความทุกข์เวทนา    ก็ประกอบซึ่งสัตว์นั้นไว้ด้วยบาปเห็นปานนั้นเนือง  ๆ  จึงได้ชื่อว่าโยคะ
  ธรรม   ๕  ประการ  คือ   กามฉันทะ  ๑   พยาบาท  ๑   ถีนมิทธะ  ๑   อุทธัจจะกุกกุจจะ  ๑   วิจิกิจฉา  ๑   เป็นคำรบ  ๕   ชื่อว่านิวรณ์  ด้วยอรรถว่ากั้นกำบังเสียซึ่งกุศลจิต   คือฌานสมาบัติในเบื้องต้น   แลนำจิตสันดานไปสู่วาสนาคือกิเลส   แล้วก็ปกปิดเสียมิให้พิจารณาเห็นซึ่งกุศลเป็นอาทิ   ดุจหนึ่งวัตถุอันบุคคลกั้นกำบังไว้ด้วยฝาแลบานประตูหน้าต่างเป็นต้น   จึงได้ชื่อว่านิวรณ์ธรรม
  แลปรามาสนั้น  เป็นชื่อแห่งมิจฉาทิฏฐิ  ๆ   ชื่อว่าปรามาส   เหตุล่วงเสียซึ่งสภาวะมีสุภเป็นอาทิ   แห่งธรรมทั้งหลายมีกายเป็นต้นแล้วประพฤติด้วยอาการอันถือว่างามเป็นอาทิ
  อุปาทาน  ๕  นั้น  มีนัยกล่าวแล้วในปฏิจจสมุปปาทนิเทศนั้นแล้ว   ธรรม   ๗  ประการ  คือ   กามราคะ  ๑   ปฏิฆะ  ๑    มานะ  ๑     มิฏฐิ  ๑   วิจิกิจฉา  ๑     ภวราคะ  ๑     อวิชชา  ๑    เป็นคำรบ  ๗   ชื่อว่าอนุสัยด้วย  ด้วยอธิบายว่า    อันบุคคลมิได้หักหาญกำจัดเสียด้วยพระอริยมรรคญาณก็ยังมีกำลังกล้าสามารถจะเป็นปัจจัยแก่กามราคะ   เป็นอาทิเนือง  ๆ   ไปเมื่อยังไม่ได้พร้อมด้วยปัจจัยก็นอนนิ่งสงบอยู่    ครั้นพร้อมด้วยปัจจัยแล้ว   ก็บังเกิดกำเริบให้ล่วงทุจริต   ถึงกาย  วาจา
  ธรรม  ๓   ประการ  คือราคะ  ๑   โทสะ  ๑   โมหะ  ๑   ชื่อว่ามละแปลว่ามลทิน     ด้วยอธิบายว่า  ตนเองก็เศร้าหมองไม่บริสุทธิ์แล้วกระทำซึ่งธรรมทั้งหลาย    อันประกอบด้วยตนนั้นให้เศร้าหมองมิให้บริสุทธิ์   ดุจหนึ่งเปือกตม   เหตุฉะนี้จึงได้ชื่อว่ามลทิน
  อกุศลกรรมบถมีประเภท   ๑๐   ประการ  มีปาณาติบาทเป็นต้น  มีอภิชฌาเป็นปริโยสาน    ได้นามชื่อว่าอกุศลกรรมบถ   ด้วยอธิบายว่าเป็นข้าศึกแก่กุศล     เป็นคลองหนทางทุคติ  คือบายภูมิทั้ง  ๔
  อกุศลจิตตุปบาทมีประเภท   ๑๒  คือ   โลภมูลจิต   ๘   โทสมูลจิต  ๒    โมหมูลจิต  ๒   เข้าด้วยกันเป็น   ๑๒
  พระอริยมรรคญาณทั้ง   ๔   ให้สำเร็จกิจมละเสียซึ่งปฏิปักขธรรมทั้งหลายมีสังโยชน์เป็นต้น   โดยสมควรแก่ประกอบตามลำพัง
  มีปุจฉาว่า  กถํ  พระอริยมรรคญาณทั้ง  ๔   ให้สำเร็จกิจมละเสียซึ่งปฏิปักขธรรม   ควรแก่ประกอบนั้น  มีประการดังฤๅ
  มีคำวิสัชนายกว่าแต่สังโยชน์ก่อน   ล้ำสังโยชน์  ๑๐  ประการ   พระโสดาปัตติมรรคญาณ    ให้สำเร็จกิจประหารเสียซึ่งสังโยชน์   ๕   ประการ   อันเป็นส่วนเสพกามธาตุ    คือสักกายทิฏฐิ   ๑   วิจิกิจฉา  ๑   สีลัพพัตตปรามาส  ๑   กามราคะ  ๑   ปฏิฆะคือโทสะ  ๑  เป็น  ๕  ประการ
  สักกายทิฏฐินั้นสังเคราะห์เอาทิฏฐิ   ๖๒  อันมีสักกายทิฏฐิเป็นประธาน
  แลสังโยชน์   ๓  ตัว   คือ  ทิฏฐิ  วิจิกิจฉา   สีลัพพัตตปรามาสนั้นพระโสดาปัตติมรรคญาณฆ่าเสียหาเศษมิได้
  ฝ่ายกามราคะแลปฏิฆะนั้น  พระโสดาบันแบ่งประหารเสียแต่ที่มีกำลังอันจะให้บังเกิดในอบาย  แลกามราคะปฏิฆะอันเหลืออยู่ใยสันดานพระโสดาบันนั้น   ก็จัดเป็น  ๒   สถาน  ๆ  หนึ่งเป็นอย่างหยาบสถานหนึ่งเป็นอย่างสุขุม   อย่างหยาบนั้นเป็นส่วนอันพระสกทาคามิมรรคญาณจะพึงฆ่าเสีย   อย่างสุขุมนั้นเป็นส่วนพระอนาคามิมรรคญาณจะพึงฆ่าเสีย    จึงสิ้นอโธภาคิยสังโยชน์   ๕  ประการ   ด้วยกำลังพระอริยมรรคญาณทั้ง  ๔
  ยังอทุธัมภาคิยสังโยชน์   ๕  คือ  รูปราคะ   อรูปราคะ  มานะ  อุทธัจจะอวิชชานั้น   เป็นส่วนอันพระอรหัตตมรรคญาณพึงฆ่าเสียแท้จริง
  พระอริยมรรคญาณเบื้องต่ำทั้ง  ๓   นั้น  จะได้แบ่งปันฆ่าเสียบ้างอย่างกามราคะปฏิฆะนั้นหาบ่มิได้
   เนื้อความจะไปข้างหน้านั้นก็ดี   ถ้าว่าส่วนสังกิเลสใด  ๆ   อันพระอริยมรรคญาณองค์ใดฆ่าเสีย   แต่ทว่าหานิยมลงว่า    ฆ่าเสียแท้จริงไม่นักปราชญ์พึงเข้าใจว่า   สังกิเลสนั้นกำลังที่จะให้ถึงอบายแบ่งปันประหารเสียแต่พระ
   อริยมรรคญาณเบื้องต่ำนั้นบ้างแล้ว   ถ้านิยมลงว่าฆ่าเสียแท้จริงในที่ใด    ก็พึงเข้าใจว่าสังกิเลสนั้นเฉพาะฆ่าเสียด้วยอริยมรรคเบื้องบนสิ่งเดียว  พระอริยมรรคญาณบังเกิดก่อนนั้น  บ่มิได้แบ่งปันประหารเสียบ้างเลยเหมือนอย่างอุทธัมภาคิยสังโยชน์   ๕  ประการ    อันพระอรหัตตมรรคญาณประการเสียนี้เถิด
   ถ้ากิเลสทั้ง  ๑๐   ยกเอาแต่กิเลส  ๒   ตัว  คือ  ทิฏฐิ   กับวิจิกิจฉา   เป็นส่วนพระโสดาบันฆ่าเสียได้ทั้งสิ้น   พระอนาคามิมรรคญาณประการเสียซึ่งโทสกิเลส
   พระอรหัตตมรรคญาณสังหารกิเลส   ๗  ตัว  คือ  โลภะ ๑   โทสะ  ๑   มานะ  ๑   ถีนะ  ๑   อุทธัจจะ  ๑   อหิริกะ  ๑   อโนตตัปปะ  ๑  เป็นคำรบ  ๗   ด้วยกัน   บรรดามิจฉัตตะเป็น   ๑๐   ประการ  ยกเอาแต่   ๔   คือ  มิจฉาทิฏฐิ  ๑    มุสาวาท  ๑    มิจฉากัมมันตะ  ๑   มิจฉาอาวีชะ  ๑     เป็นส่วนอันพระโสดาปัตติมรรคพึงฆ่าเสีย
   มิจฉัตตะ  ๓   ตัว    คือมิจฉาสังกัปโป  ๑   ปิสุณาวาจา  ๑   ผรุสวาจา  ๑   เป็นส่วนอันพระอนาคามิมรรคญาณพึงฆ่าเสีย
   ยังมิจฉัตตะอีก  ๖  ตัว  คือ   สัมผัปปลาป  ๑    มิจฉาวายามะ  ๑    มิจฉาสติ  ๑    มิจฉาสมาธิ  ๑   มิจฉาวิมุตติ  ๑     มิจฉาญาณ  ๑   เป็น  ๖  ประการด้วยกัน    เป็นส่วนมิจฉัตตะอันพระอรหัตตมรรคญาณได้ฆ่าเสีย
   ความเคียดแค้นในโลกธรรม    คือโกรธแค้นด้วยหาลาภหายศบ่มิได้และเคียดแค้นด้วยทุกข์   และเขานินทา   ความโกรธตัวนี้พระอนาคามิมรรคญาณพึงฆ่าเสีย
   ความยินดีในโลกธรรมมีลาภเป็นอาทิ   ขาดด้วยพระอรหัตตมรรคญาณ  มัจฉริยมรรค   ๕  ประการ  มีตระหนี่ในอาวาสเป็นอาทินั้นเป็นส่วนพระโสดาปัตติมรรคญาณฆ่าเสียแท้จริง
   วิปลาส  ๓  ประการ   คือสัญญาวิปลาส    จิตตวิปลาส    ทิฏฐิวิปลาส    อันประพฤติเป็นไปโดยสำคัญว่าเที่ยง    ในสิ่งอันบ่มิได้เที่ยง    เห็นว่าเป็นตัวเป็นตน   ในสิ่งอันใช่ตัวใช่ตน   กับทิฏฐิวิปลาสอันเห็นว่า    สุขในกองทุกข์และเห็นว่างามในกองอสุภ   วิปลาสเหล่านี้เป็นส่วนอันพระโสดาปัตติมรรคพึงฆ่าเสีย
   พระอนาคามิมรรคญาณประการเสียซึ่งสัญญาวิปลาส    แลจิตตวิปลาสอันสำคัญว่างาม   ในสิ่งอันมิงาม
   พระอรหัตตมรรคญาณประหารซึ่งสัญญาวิปลาส    จิตวิปลาสอันสำคัญว่าสุขในกองทุกข์
   ล้ำคันถะ   ๔   ยกเอาแต่  ๒    คือสีลัพพัตตปรามาส   กายคันถะ   และอิทังสัจจาภินิเวส   กายคันถะเป็นส่วนพระโสดาปัตติมรรคพึงฆ่าเสีย  พระอนาคามิมรรคญาณประหารเสียซึ่งพยาบาท   กายคันถะอันเดียวพระอรหัตตมรรคญาณก็ประหารเสียซึ่งคันถะอันหนึ่ง   คืออวิชชา
   อคติ  ๒  ประการนั้น   เป็นส่วนพระโสดาปัตติมรรคญาณประหารเสียทั้งสิ้น
   แท้จริงในกองอาสวะโอฆะโยคะนั้น   พระโสดาปัตติมรรคญาณได้ประหารเสียซึ่งทิฏฐิอาสวะ   ทิฏฐิโอฆะ  ทิฏฐิโยคะ   พระอนาคามิมรรคญาณประหารเสียซึ่งอวิชชาสวะ   อวิชชาโอฆะ   อวิชชาโยคะ
   ในนิวรณธรรมนั้น   พระโสดาปัตติมรรคญาณฆ่าเสียแต่วิจิกิจฉานิวรณ์  ๓   ตัว   คือ  กามฉันทะ  พยาบาท  กุกกุจจะ   นี้เป็นส่วนนิวรณ์อันพระอนาคามิมรรคพึงฆ่าเสีย
   ยังมีถีนมิทธนิวรณ์   แลอุทธัจจนิวรณ์  ๒   ตัวนี้     เป็นส่วนพระอรหัตตมรรคญาณพึงประหารเสีย
   บรรดาอุปาทานทั้งหลาย   ๔   นั้น  แม้ว่ารูปราคะ  อรูปราคะ   ก็นับเข้าในกามุปาทาน    เพราะเหตุว่าโลกิยธรรมทั้งปวงนั้น   มาในวาระบาลีว่า  กามา  ด้วยสามารถแห่งวัตถุกาม   เหตุดังนั้น    อันว่ากามุปาทานนี้จึงยกมาเป็นส่วนอันพระอรหัตตมรรคญาณพึงฆ่าเสียในภายหลัง
   อุปาทาน  ๓   ตัว   คือทิฏฐิอุปาทาน   และสีลัพพัตตุปทาน  และอัตตวาทุปาทานนั้น   เป็นส่วนอันพระโสดาปัตติมรรคญาณได้ประหารเสียก่อนแล้ว
   ล้ำอนุสัย  ๗   ประการนั้น   ยกแยกออกแต่สอง   คือทิฏฐิอนุสัยกับวิจิกิจฉาอนุสัย  ๒  ตัวนี้   เป็นส่วนอันพระโสดาปัตติมรรคญาณฆ่าเสียแท้จริง
   อนุสัย  ๒   ตัว   คือกามราคานุสัย   และปฏิฆานุสัยนั้น   เป็นส่วนพระอนาคามิมรรคญาณพึงประหารเสีย
   อนุสัยอีก  ๓   ตัว   คือ  กามานุสัย    ภวรราคานุสัย  อวิชชานุสัย  เป็นส่วนพระอรหัตตมรรคญาณพึงฆ่าเสีย
   ล้ำมลทิน  ๓   ประการ   พระอนาคามิมรรคญาณประหารเสียซึ่งมลทินตัวหนึ่ง   คือโทสมละ
   ยังมลทินอีก  ๒   คือ  ราคมละ   และโมหมละนั้น   เป็นส่วนพระอรหัตตมรรคญาณพึงประหารเสีย
   ในกองอกุศลกรรมบถ   ๑๐   ประการนั้น   ยกเอาแต่  ๕  คือ  ปาณาติบาท   ๑   อทินนาทาน  ๑   กาเมสุมิจฉาจาร  ๑   มุสาวาส  ๑   มิจฉาทิฏฐิ  ๑    เข้าด้วยกันเป็น  ๕    ส่วนกรรมบถอันพระโสดาปัตติมรรคญาณได้ประหารเสีย
   อกุศลกรรมบถ   ๓   ตัว   คือ   ปิสุณาวาจา   และผรุสวาจา   และพยาบาทเป็นส่วนพระอนาคามิมรรคญาณได้ฆ่าเสีย
   พระอรหัตตมรรคญาณได้ประหารเสีย   ซึ่งอกุศลกรรมบถ   ๒  คือ  สัมผัปปลาป   กับอภิชฌา
   ในกองอกุศลจิตตุปบาท  ๑๒  นั้น  พระโสดาปัตติมรรคญาณได้ฆ่าเสีย  ๕   จิตตุปบาทคือโลภมละจิตกอปรด้วยทิฏฐิ   ๔    กับวิจิกิจฉา   ๑
   พระอนาคามิมรรคญาณได้ประหารเสียซึ่งอกุศลจิต  ๒   คือโทสมูล    เป็นสสังขาริก   ๑   อสังขาริก
   ยังอกุศลจิตตุปบาท   ๕   คือโลภมูลจิต   อันปราศจากทิฏฐิ   ๔  กับ   อุทธัจจจิต  ๑   เป็นส่วนอันพระอรหัตตมรรคญาณฆ่าเสีย
   และพระอริยมรรคญาณองค์ใด  ๆ  ฆ่าเสียซึ่งอกุศลธรรม   ๒   กอง   คือ  อกุศลกรรมบถ   ๑๐  กอง   อกุศลจิตตุปบาท   ๑๒  กอง  ๑   พระอริยมรรคญาณองค์นั้นก็ได้ชื่อว่ามละเสียซึ่งอกุศลธรรมนั้น   เหตุใดเหตุหนึ่ง   พระพุทธโฆษาจารย์จึงกล่าวไว้ในเบื้องต้นว่า   พระอริยมรรคญาณทั้ง  ๘  ให้สำเร็จกิจมละเสียซึ่งปัจจนิกธรรมทั้งหลาย   มีประโยชน์เป็นอาทินั้นโดยสมควรแก่กำลังด้วยประการดังนี้แล
   จึงมีคำปรวาทีโจทนาว่าพระอริยมรรคญาณ  ๔   มละเสียซึ่งอกุศลธรรมทั้งหลาย   มีสังโยชน์เป็นอาทิฉันใด    แลอกุศลกรรมมีสังโยชน์เป็นต้นนั้น   เป็นอดีตหรือ  หรือเป็นอนาคต   หรือเป็นปัจจุบัน
   ถ้าจะว่าพระอริยมรรคมละเสียซึ่งอกุศลธรรม   อันเป็นอดีตความเพียรอันสัมปยุตด้วยพระอริยมรรคนั้น   ก็หาผลหาประโยชน์บ่มิได้   เพราะเหตุอกุศลธรรมทั้งหลายสิ้นไปล่วงไปหามีเองไม่ก่อนแล้ว   พระอริยมรรคก็พลอยมละเสียเมื่อภายหลัง   จะได้มละเสียด้วยกระทำเพียรนั้นหาบ่มิได้
   อนึ่ง   ผิว่าพระอริยมรรคญาณนั้น  มละเสียซึ่งอกุศลธรรมมีสังโยชน์เป็นอาทินั้นเป็นอนาคต   มิฉะนั้นความเพียรพยายามนั้นก็คงว่าหาผลหาประโยชน์มิได้   เพราะเหตุไรเล่า   เพราะอกุศลธรรมที่จะพึงมละเสียนั้นยังหามีไม่ในขณะเพียรนั้น
   ถ้าจะว่าพระอริยมรรคญาณทั้ง  ๔   มละเสียซึ่งอกุศลธรรมมีสังโยชน์อาทินั้นเป็นปัจจุบัน   ถ้าจะว่าดังนั้นก็ยังบ่มิพ้นจากโทษคือความเพียรหาผลหาประโยชน์บ่มิได้นั้น    เพราะเหตุอกุศลธรรมมีสังโยชน์ทั้งหลายอันจะพึงมละเสียนั้น   มีพร้อมกันกับด้วยความเพรียร    เกิดพร้อมกันก็พากันดับไปจะว่าใครมละใคร  ใครผจญใคร  ใครฆ่าใคร  ก็บ่มิรู้จะว่าได้
   อนึ่งโสด    บุคคลผู้มีจิตกำหนัดอยู่ด้วยราคะ    ก็ได้ชื่อว่ามละเสียซึ่งราคะในขณะอันกำหนัดนั้น    บุคคลผู้โกรธก็จะมละเสียซึ่งความโกรธทั้งโกรธนั้น   บุคคลผู้หลงและกระด้างด้วยมานะ   และกอปรด้วยมิจฉามิฏฐิและมีจิตฟุ้งซ่านสงสัยอยู่   และถึงซึ่งกิเลสมีกำลังก็จะเป็นอันมละเสียซึ่ง    โมหะ  มานะ  ทิฏฐิ   อุทธัจจะ  วิจิกิจฉานุสัยกิเลส   กุศลกับอกุศลกรรมก็ประพฤติเนื่องกำกับเป็นคู่ดุจหนึ่งโคเทียมแอกอันเดียวกัน    เมื่อว่ากุศลอกุศลเข้าปนกันเกิดฉะนี้พระอริยมรรคภาวนา    ก็ได้ชื่อว่าสังกิเลสเกิดกับดับพร้อมด้วยสังกิเลสบริสุทธิ์มิได้
   อนึ่ง   ถ้าจะว่าพระอริยมรรคญาณ   มละอกุศลธรรมมีสังโยชน์เป็นอาทิเป็นอดีตนั้นก็หาบ่มิได้   เป็นอนาคตก็หาบ่มิได้   เป็นปัจจุบันนั้นก็หาบ่มิได้   ถ้าจะว่าดังนั้นก็เป็นอันว่ามรรคญาณภาวนาหามีไม่ในกิริยาที่กระทำอริยมรรคอริยผลให้แจ้งก็หามีไม่    กิริยาที่มละกิเลสก็หามีไม่   ที่จะตรัสรู้ธรรมวิเศษก็หามีไม่   เหตุอะไรเล่า    เหตุว่ากิเลสธรรมทั้งหลายทั้งปวงในกาลทั้ง   ๓   และพระอริยมรรคญาณมิได้มละกิเลสอันเป็นอดีตเป็นอาทิแล้ว   ก็ได้ชื่อว่ามรรคภาวนาเป็นอาทินั้นหาบ่มิได้
   คำสักกวาทีบริหารว่า  อตฺถิ   มคฺคภาวนา   อตฺถิ   ผลสจฺฉิ   กิริยา  อตฺถิ   กิเลสปหานํ  อตฺถิ   ธมฺมาภิสมโย  แม้ว่าพระอริยมรรคมิได้มละอกุศลธรรมเป็นอดีต   เป็นอนาคต   เป็นปัจจุบันดังนั้น   และจะมิได้มีมรรคภาวนา  จะไม่มีผลสัจฉิกิริยา    และจะมิได้มีกิเลสปหานแลธรรมาภิสมัยนั้น  อันมรรคภาวนาและผลสัจฉิกิริยาเป็นอาทินั้นคงมีเป็นแท้
   ฝ่ายปรวาทีจึงย้อนถามว่า   เสยฺยถาปิ    ตรุโณ  อมฺพรุกฺโข  อันว่าต้นไม้มะม่วงหนุ่มมีผลยังมิได้บังเกิด   มีบุรุษผู้หนึ่งมาตัดมูลรากแก้วแห่งต้นมะม่วงนั้นเสีย   ผลมะม่วงที่ยังมิได้เกิด    และควรจะบังเกิดในภายภาคหน้า   ก็บังเกิดบ่มิได้  ก็ชื่อว่าผลนั้นถึงแก่พินาศฉิบหาย   เพราะบุรุษตัดรากเสียนั้น   เมื่อพระโยคาพจรพิจารณาเล็งเห็นซึ่งโทษในอุปาทะ   คือขันธ์อันบังเกิดและฉิบหายเข้าใจเป็นแท้ว่า   ขันธ์นั้นเป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่กิริยาอันบังเกิดแห่งกิเลส   เมื่อหาขันธ์บังเกิดมิได้แล้ว   กิเลสก็มิได้บังเกิดเมื่อพิจารณาเห็นโทษในอุปาทะ   ถือขันธ์มันมีความเกิด    ความฉิบหายฉะนี้แล้ว   จิตแห่งพระโยคาพจรเจ้านั้น     ก็เร่งเหนื่อยหน่ายจากอุปาทะ   สละอาลัยแล้วก็เเล่นไปในอนุปปาทะ    คือพระอมตะมหานิพพานอันหาความเกิดความฉิบหายบ่มิได้    อันว่ากิเลสทั้งหลายใดที่ยังมิได้บังเกิด    แต่ทว่าคอยโอกาสจะบังเกิด    เพราะเหตุปัจจัยคือขันธ์   อันว่ากิเลสที่ยังมิได้บังเกิดนั้นแล   ก็บ่มิได้บังเกิดขึ้นได้   อาศัยเหตุนี้พระโยคาพจรมีจิตอันสัมปยุตด้วยพระอริยมรรคญาณ  ยึดเหนี่ยวเอาพระนิพพานเป็นอารมณ์    ก็ได้ชื่อว่ากิเลสทั้งหลายนั้นอันพระอริยมรรคมละเสีย  ก็ถึงแก่พินาศฉิบหายเพราะเกิดขึ้นมิได้ดุจผลมะม่วงนั้น
   กิริยาที่จะดับกิเลสก็อาศัยแก่ดับเหตุคือขันธ์   จะดับทุกข์ก็อาศัยแก่ดับเหตุคือกิเลส   เมื่อดับทุกข์แล้วก็เป็นอันดับผล   อาศัยเหตุฉะนี้นักปราชญ์พึงเข้าในเป็นแท้ว่า   ความเพียรคงมีผล   กิริยาที่เจริญมรรคและผลทำให้แจ้งและกิเลสประหารก็มีเป็นแท้    ด้วยประการดังนี้
   มีคำอธิบายในข้อความซึ่งว่ากิเลสทั้งหลาย  ยังมิได้บังเกิดและบังเกิดขึ้นบ่มิได้ในภายหน้า   เพราะว่าจำเริญมรรคภาวนา    และได้ชื่อว่าพระอริยมรรคมละเสียซึ่งกิเลสทั้งหลายนั้น
   ข้อความอันนี้แล   เป็นอันแสดงกิริยามละเสียซึ่งภูมิลัทธิกิเลสคือกิเลสอันมีภูมิตั้งได้แล้วและบังเกิด    ภูมินั้นจะได้แก่ขันธ์สันดานอันบังเกิดเป็นอารมณ์แห่งวิปัสสนาปัญญา  คือขันธ์แห่งปุถุชนอันบังเกิดในภพทั้ง   ๓   คือ   กามเทพ   และรูปเทพ     และอรูปภพ   อันปุถุชนผู้เป็นเจ้าของขันธ์    ยังบ่มิได้พิจารณากำหนดขันธ์นั้น    ด้วยปัญญาและพระวิปัสสนาขันธ์นั้นได้ชื่อว่าเป็นภูมิที่เกิดแห่งกิเลสอันนอนประจำอยู่ในขันธสันดานนั้น    จำเดิมแต่กำเนิดในกาลใด  ๆ   ก็เป็นภูมิที่เกิดกิเลสในกาลนั้น  ๆ    ขันธ์ในอดีตก็เป็นที่ตั้งแห่งกิเลสในอดีตขันธ์    ในปัจจุบันก็เป็นภูมิที่เกิดแห่งกิเลสในปัจจุบันขันธ์ในอนาคตเป็นภูมิที่เกิดแห่งกิเลสในอนาคต   อนึ่งขันธ์อย่างนี้    ถ้าเป็นกามาพจรขันธ์ก็เป็นวัตถุที่อยู่แห่งกิเลสอันมีอนุสัย   อันบุคคลมิได้มละด้วยมรรคญาณในกามาพจรสันดาน   ถ้าเป็นรูปาพจรขันธ์   แลอรูปพจรขันธ์ก็เป็นวัตถุที่อยู่แห่งอนุสัยกิเลส   อันบุคคลยังมิได้มละเสียด้วยพระอริยมรรคญาณ   ในรูปาพจรขันธ์สันดาน   แลอรูปาพจรขันธ์สันดาน   กิเลสอันประจำอยู่ในขันธ์สันดานแห่งปุถุชนดังพรรณนามาฉะนี้  เมื่อยังมิได้โอกาสก็ยังสงบแต่ทว่าคอยจะบังเกิดกำเริบขึ้นในขณะเมื่อได้โอกาสข้างหน้า     กิเลสอย่างนี้แลได้ชื่อว่าภูมิลัทธิกิเลส
   ก็ถ้าแลบุคคลผู้เป็นเจ้าของขันธ์นั้น   พิจารณากำหนดขันธ์ทั้งปวงด้วยพระวิปัสสนาปัญญา   ตราบเท่าถึงพระอริยมรรคญาณบังเกิดตนก็ตั้งอยู่ในอริยภูมิ   มีพระโสดาบันเป็นอาทิแล้ว   ก็มละเสียซึ่งกิเลสอันเป็นมูลแห่งวัฏฏทุกข์    อันประพฤติเป็นไปในขันธ์สันดานก่อนด้วยพระอริยมรรคมีพระโสดาปัตติมรรคเป็นอาทินั้น     จำเดิมแต่นั้นไปขันธสันดานแห่งพระอริยบุคคลนั้น   ๆ    ก็มิได้นับเข้าว่าเป็นภูมิเหตุบ่มิเป็นวัตถุที่เกิดแห่งวัฏฏมูลกิเลสที่มละเสียแล้วนั้น
   ฝ่ายโลกีย์ปุถุชนทั้งปวง   อันมีกิเลสเป็นมูลแห่งวัฏฏสงสารประจำอยู่ในสันดานเป็นนิตย์    เหตุบ่มิได้มละเสียซึ่งอนุสัยกิเลสแม้ว่าจะกระทำทำกรรมสิ่งใด   ๆ    เป็นฝ่ายกุศลแลอกุศลก็ดี   ก็ล้วนเป็นมูลแห่งวัฏฏทุกข์  อันประจำอยู่ในขันธสันดานแห่งปุถุชนนั้นจะว่าประจำอยู่ในรูปขันธ์สิ่งเดียว   มิได้อยู่ในขันธ์อันอื่น    มีเวทนาขันธ์เป็นอาทิ   ก็ว่าได้   จะว่าประจำอยู่ใน   เวทนาสัญญา  สังขาร  วิญญาณขันธ์   แต่ละสิ่ง  ๆ    ก็อย่าพึงว่า    เหตุว่าวัฏฏมูลกิเลสนั้นประจำอยู่ในขันธ์ทั้ง   ๕   หาส่วนวิเศษเป็นแผนบ่มิได้    ดุจหนึ่งว่ารสปฐวีเป็นอาทิถ้าซาบอยู่ในต้นไม้   แท้จริงในเมื่อต้นไม้ใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นปฐวี  อาศัยรสปฐวีแลรสอาโปเป็นอุปการแล้ว   ก็วัฒนาการจำเริญด้วยรากแลลำต้นและคาคาบ   กิ่งน้อยกิ่งใหญ่ใบอ่อนใบแก่ผลิดอกออกผลยังนพดลให้บริบูรณ์ด้วยปริมณฑลกิ่งก้าน   ก็ประดิษฐานสืบรุกขประเพณีด้วยพืชปรัมปราตราบเท่ากัลปาวสาน      อันว่ารสปฐวี   แลรสอาโปก็ดี   จะว่าตั้งอยู่ในรากสิ่งเดียว  มิได้ตั้งอยู่ในลำต้นเป็นอาทิก็อย่าพึงว่า  จะว่าอยู่ในประเทศมีมูลเป็นต้นมีผลเป็นที่สุด   แต่ละสิ่งเดียว  ๆ   ก็ว่าบ่มิได้   เหตุว่ารสปฐวีเป็นอาทินั้นซาบไปในพฤกษาพยพหาส่วนเศษบ่มิได้ก็ดี   แลกิเลสอันประจำอยู่ในขันธสันดานแห่งปุถุชนก็มีอาการเหมือนดังนั้น   ผิว่าบุรุษผู้ใดผู้หนึ่ง   มีจิตเหนื่อยหน่ายปรารถนาจะไม่ให้ต้นไม้นั้นจำเริญด้วยดอกแลผลสืบต่อไปจึงเอาเงี่ยงกระดูกปลาอาบยาพิษ    ตอกเข้าในต้นไม้นั้นทั้ง  ๔   ทิศ   ด้วยอำนาจพิษครอบงำกำจัดเสีย   ซึ่งรสปฐวีแลอาโปให้เหือดแห้งไป    ต้นไม้นั้นก็มิอาจเพื่อจะยังรุกขสันดานให้บังเกิดสืบต่อไปได้ฉันใดก็ดี   เมื่อกุลบุตรผู้เป็นเจ้าของขันธ์    มีกมลกระสันเหนื่อยหน่ายในขันธปวัตติแล้ว    ก็ปรารถนาเพื่อจะจำเริญมรรคภาวนาทั้ง  ๔   ในขันธสันดานแห่งอาตมา   มีอุปมาดุจดังบุรุษประกอบยาพิษไว้ในทิศทั้ง   ๔   แห่งต้นไม้   อันว่าขันธสันดานแห่งกุลบุตรนั้น   อันกำลังยาพิษ   คือจตุมรรคญาณครอบงำสัมผัสกำจัดวัฏฏมูลกิเลสให้สิ้นหาเศษบ่มิได้   แต่นั้นไปก็มีแต่ประเภทแห่งกรรมทั้งปวง   มีกายกรรมเป็นอาทิถึงซึ่งสภาวะ    เป็นแต่กิริยาอพยากฤต   หาผลหาวิบากบ่มิได้   แลขันธสันดานนั้นก็ถึงซึ่งสภาวะจักมิได้บังเกิดในภพใหม่แล้ว     ก็มิอาจเพื่อจะยังสันดานประเพณีให้เกิดสืบต่อไปในภพอันอื่น   ได้จะทรมานอยู่ควรแก่กาลกำหนด  ถึงจุติแล้ว   ก็จะดับสูญสำเร็จแก่พระนิพพาน    ด้วยปราศจากเชื้ออุปาทานทั้ง   ๔    ดุจเปลวอัคคีอันสิ้นเชื้อไส้น้ำมันนั้นแล้วดับไป
    เอวเมตฺถ   เยน   เยน   ปหาตพฺพา   ธมฺมา  อันว่ากิเลสธรรมทั้งปลาย    อันพระอริยมรรคญาณอันใด  ๆ  มละเสีย    อันว่ากิริยามละกิเลสธรรมทั้งหลายนั้น   นักปราชญ์พึงรู้ในญาณทัสสนะนิเทศด้วยประการดังนี้
   แต่นี้ไปจะวินิจฉัยในกิจ   ๔   ประการนั้น  ๆ    คือปริญญากิจ  ๑   คือ  ปหานกิจ  ๑   คือสัจฉิกิริยากิจ  ๑   คือภาวนากิจ  ๑
   กิจ  ๔  ประการนี้   สมเด็จพระสรรเพชญ์พุทธเจ้ามีพระพุทธฎีกาตรัสบัณฑูรไว้ว่า   เป็นด้วยขณะเดียวกัน   คือขณะเดียวกัน   คือขณะเมื่อมรรคญาณทั้ง  ๔   คือพระโสดาปัตติมรรคญาณเป็นอาทิอันใดอันหนึ่งบังเกิดกิจละเสีย  ๆ   ก็สำเร็จด้วยขณะอันเดียว   ในกาลเมื่อตรัสรู้ซึ่งพระจตุราริยสัจจ์นั้น
   แลกิจ  ๔   ประการนั้น   นักปราชญ์พึงรู้โดยสภาวะ    ยุติด้วยคำโบราณาจารย์เจ้าพวกอภัยคิรีวาสี   กล่าวเป็นอุปมาสาธกไว้ดังนี้
    ยถา  ปทีโป   อปริมํ  เอกกฺขเณน  จตฺตาริ  กิจฺจานิ   กโรติ   ฯลฯ   จตฺตาริ   สจฺจนิ   อภิสเมติ  
   อธิบายความตามวาระบาลี   ปทีโป  อันว่าประทีปน้ำมันอันบุคคลตามไว้   แลประทีปนั้นให้สำเร็จกิจ  ๔  ประการ  คือยังเกลียวไส้ให้เกรียมไม้ประการ  ๑   คือขจัดเสียซึ่งอันธการ  ๑  คือสำแดงแสงอาโลกให้สว่างประการ   ๑      คือสังหารน้ำมันให้สิ้นไปประการ  ๑     เป็นกิจ   ๔   ประการ   พร้อม ๆ   กันในขณะเดียว    จะได้ก่อนจะได้หลังหาบ่มิได้ฉันใดก็ดี
   พระอริยมรรคทั้ง  ๔   แต่ละพระองค์  ๆ   ก็ให้สำเร็จกิจตรัสรู้ซึ่งอริยสัจจ์  ๔   ประการในขณะเดียว   ก็มีอาการดุจนั้น
   แลพระอริยมรรคญาณ  ให้สำเร็จกิจ  ๔   ประการนั้น
   คือตรัสรู้ซึ่งสมุทัยสัจจ์ด้วยกำหนดเบญจขันธ์แล้ว   แลโดยบ่มิหลง  ๑
   คือตรัสรู้ซึ่งสมุทัยสัจจ์    โดยมละเสียด้วยสมุจเฉทปหาน  ๑
   คือตรัสรู้ซึ่งพระนิโรธสัจจ์    ด้วยสัจฉิกิริยาภิสมัย    คือกระทำพระนิพพานเป็นอารมณ์โดยประจักษ์  ๑
   คือตรัสรู้ซึ่งพระอัษฏางคิกมรรคด้วยภาวนาภิสมัย   คือตรัสรู้ด้วยพระอริยมรรคญาณ   อันบังเกิดเนื่องมาแต่บุรพภาคภาวนา  ๑
   มีคำอธิบายเป็นใจความว่า   เมื่อพระโยคาพจรเจ้ากระทำพระนิพพานเป็นอารมณ์แล้วก็ได้ชื่อว่าถึงว่าเห็นว่าตรัสรู้    พระอริยสัจจ์ทั้ง  ๔   ในขณะเดียวกัน   ยุติด้วยพระพุทธฎีกา   ตรัสพระสัทธรรมเทศนาโปรดไว้ว่า
     โย   ภิกฺขเว   ทุกฺขํ  ปสฺสติ    ทุกฺขสมุทยํปิ   ปสฺสติ
   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย   บุคคลผู้ใดหยั่งปัญญาเล็งเห็นทุกขสัจจ์โดยแท้แล้วบุคคลผู้นั้นก็ได้ชื่อว่าเห็นซึ่งทุกขสมุทัยสัจจ์   ได้ชื่อว่าเห็นซึ่งทุกขนิโรธสัจจ์    แลทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจจ์พร้อมกันในขณะเดียว   นักปราชญ์พึงสันนิษฐานเป็นใจความว่า   เมื่อพระโยคาพจรเห็นพระอริยสัจจ์ทั้ง  ๔   คือ  ทุกขสัจจ์ก็ดี    ทุกขสมุทัยก็ดี   แลทุกขนิโรธ    แลทุกขนิโรธมินีปฏิปทาก็ดี    แต่อันใดอันหนึ่งแล้วก็ได้ชื่อว่าเห็นพระอริยสัจจ์ทั้ง  ๔   ๆ   เสมอพร้อมกัน
    อปรมฺปิ   วุตฺติ  ประการหนึ่ง  สมเด็จพระพุทธองค์มีพระพุทธฎีกาตรัสฉะนี้อีกเล่าว่า    ญาณอันใดแห่งพระโยคาพจรผู้มีสันดานกอปรไปด้วยพระโลกุตตรมรรคญาณนั้นแล้ว   ชื่อว่าประพฤติเป็นไปในทุกขสัจจ์เป็นไปในทุกขสมุทัย     เป็นไปในทุกขนิโรธ   เป็นไปในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาปฏิบัติ
    ตตฺถ  ยถา   ปทีโป  นักปราชญ์พึงรู้ซึ่งอรรถาธิบาย      ข้อความเปรียบเทียบพระอริยมรรคญาณ    ให้สำเร็จกิจกับด้วยดวงประทีปดังนี้เล่า
   กิริยาที่พระอริยมรรคญาณ    สำเร็จกิจกำหนดซึ่งทุกขสัจจ์นั้นเปรียบด้วยดวงประทีปยังเกลียวไส้ให้ไหม้ไป
   กิริยาที่พระอริยมรรคญาณ   มละเสียซึ่งสมุทัยนั้น    เปรียบด้วยดวงประทีปอันขจัดเสียซึ่งอันธการ
   กิริยาที่พระอริยมรรคญาณ    ยังองค์อัฏฐางคิกมรรค   มีสัมมาสังกัปปะเป็นอาทิให้สำเร็จ   ด้วยสามารถเป็นสหชาตาทิปัจจัยนั้นเปรียบต่อดวงประทีปอันสำแดงอาโลกส่องแสงสว่างข้างโน้นข้างนี้
   กิริยาที่พระอริยมรรคญาณ    สำเร็จกิจกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิโรธสัจจ์อันเป็นเหตุให้สิ้นสรรพกิเลสนั้น   เปรียบดุจดวงประทีปอันสำเร็จกิจสังหารน้ำมันให้เหือดแห่งสิ้นไป      
    อปโร   นโย  มีนัยอุปมาอันอื่นอีกเล่า  สุริโย  อันว่าพระสุริยมณฑล   เมื่อแรกอุทัยขึ้นมาให้สำเร็จกิจ  ๔   ประการ
   คือสำแดงรูปารมณ์ให้ปรากฏแจ้งแก่ตาโลกประการ  ๑
   คือขจัดเสียซึ่งมหันธการกองมืด  ๑
   คือสำแดงอาโลกส่องรัศมีไปในห้องแห่งจักรวาลประเทศ  ๑
   คือบรรเทาเสียซึ่งความลำบาก   คือระทดหนาวแห่งสัตว์ทั้งหลาย  ๑
   แลสุริยเทพยมณฑลให้สำเร็จกิจ   ๔   ประการ   ดังพรรณนามาดังนี้
   พร้อมด้วยขณะอันปรากฏแห่งอาตมา   จะเป็นก่อนเป็นหลังหาบ่มิได้ฉันใดก็ดี    แลพระอริยมรรคญาณนี้   ก็ให้สำเร็จกิจ    ๔   ประการพร้อมกันในขณะเดียวก็มีอาการดุจนั้น 
   นักปราชญ์พึงรู้ข้อความเปรียบเทียบอุปมาดังนี้
   พระอริยมรรคญาณ   จำเร็จกิจกำหนดซึ่งทุกขสัจจ์นั้น   เปรียบต่อพระอาทิตย์สำแดงรูปทั้งปวงให้ปรากฏแก่ตาโลก
   พระอริยมรรคญาณสำเร็จกิจ      มละสมุทัยนั้นเปรียบด้วยพระอาทิตย์สำเร็จกิจ   คือกำจัดเสียซึ่งอันธการกองมืด
   พระอริยมรรคญาณสำเร็จกิจ   ยังองค์มรรคมีสัมมาสังกัปปะเป็นต้นให้จำเริญ   ด้วยสภาวะเป็นสหชาตาทิปัจจัยนั้น   เปรียบด้วยดวงพระอาทิตย์อันสำเร็จกิจ   สำแดงอาโลกให้ส่องแสงสว่างไปในห้องจักรวาล
   พระอริยมรรคญาณสำเริจ   กระทำให้แจ้งซึ่งพระนิโรธ   อันเป็นเหตุจะระงับสรรพกิเลสในสันดาน   ปานดุจดังพระอาทิตย์อันสำเร็จกิจระงับซึ่งความเย็นสะท้าน   ในสันดานสัตว์ทั้งปวง
   นัยหนึ่งนักปราชญ์พึงรู้กระทู้ความอุปมาอุปไมย    ดุจนาวาอันนำของข้ามคลองน้ำ   แลนาวานั้นให้สำเร็จกิจ  ๔   ประการ
   คือมละเสียซึ่งฝั่งฟากโพ้นประการ  ๑   คือตัดกระแสสายน้ำประการ  ๑  คือนำไปซึ่งของประการ  ๑   คือถึงซึ่งฝั่งฟากโพ้นประการ  ๑
   เป็นกิจ   ๔   ประการ   พร้อมกันขณะเดียวกันฉันใดก็ดี   พระอริยมรรคญาณสำเร็จกิจประเภททั้ง   ๔   ก็มีอาการดุจนั้น
   กิริยาที่พระอริยมรรคญาณสำเร็จกิจ   กำหนดซึ่งทุกขสัจจ์นั้นมีอาการดุจนาวามละฝั่งฟากโน้น
   พระอริยมรรคญาณสำเร็จกิจเป็นปหานเสีย   ซึ่งทุกขสมุทัยคือตัณหานั้น   มีอุปมาดุจเรืออันตัดกระแสสายน้ำไป    แลนาวาสำเร็จกิจนำไปซึ่งของอันบรรทุกใส่ไปนั้น    ฉันใดก็ดี   พระอริยมรรคญาณก็สำเร็จกิจให้เจริญซึ่งอัฏฐางคิกมรรค   มีสัมมาสังกัปปะเป็นอาทิด้วยสามารถเป็นสหชาตาทิปัจจัยแลนำไปซึ่งทรัพย์อันประเสริฐคือสัตตตึสสัมโพธิปักขิยธรรมก็มีอุปไมยดุจนั้น 
   อนึ่ง   นาวานั้นสำเร็จกิจฝั่งฟากโน้น   มีอุปไมยฉันใด   พระอริยมรรคญาณก็สำเร็จ    กระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน    อันบังเกิดเป็นฝั่งฟากโพ้นแห่งสงสารสาคร     ก็มีอุปไมยดุจนั้น
   แลพระโลกุตตรมรรค   อันมีญาณประพฤติเป็นไปด้วยอำนาจแห่งกิจ   ๔   กาลเมื่อตรัสรู้ซึ่งพระจตุราริยสัจจ์   โดยนัยพรรณนามานี้
   แลสัจจทั้ง   ๔   นั้น   เป็นเอกปฏิเวธ    คืออาการอันตรัสรู้พร้อมกันในขณะเดียว   แจกโดยตถัตถะ   คือสภาวะจริง   บ่มิได้วิปริต   ๔    ประการเป็นอาการ   ๑๖
   อธิบายว่า   แต่ทุกข์สิ่งเดียว   มีอรรถว่าเป็นสภาวะจริง   บ่ทิได้วิปริต   ๔  ประการ   จึงได้ชื่อว่าทุกขสัจจ์
   สมุทัย   แลนิโรธ   แลมรรคก็ดี   ก็มีอรรถเป็นสภาวะจริง    บ่มิได้วิปริตสิ่งละสี่  ๆ   จึงได้ชื่อว่าสมุทัยสัจจ์   นิโรธสัจจ์   มรรคสัจจ์
   สภาวะจริงแห่งทุกข์มีอาการ  ๔   นั้น  ปีฬนตฺโถ  คือสภาวะเบียดเบียนประการ ๑
    สงฺขตถฺโถ  คือสภาวะอันปัจจัยประชุมแต่งประการ  ๑  สนฺตาปตฺโถ  คือสภาวะร้อนโดยรอบคอบประการ  ๑  วิปริณามตฺโถ  คือสภาวะแปรปรวนประการ  ๑   เป็นอาการ  ๔   ด้วยกัน   ชื่อสภาวะแท้แห่งทุกข์บ่มิได้วิปริต   คืออรรถว่าเบียดเบียนก็เบียดเบียนแท้จริงจะแปรผันเป็นอื่นว่าทุกข์แล้ว    จะไม่เบียดเบียนหาบ่มิได้   ว่าปัจจัยประชุมแต่งก็แท้จริง   ว่าร้อนก็ร้อนจริงโดยแท้ว่าแปรปรวนก็แปรปรวนจริงโดยแท้   จะเป็นอื่นหาบ่มิได้
   ฝ่ายสมุทัยก็มีอรรถอันแท้  ๔   ประการ   อายุหนตฺโถ  คือสภาวะกระทำให้ก่อเกิดกองทุกข์ประการ  ๑  นิทาตฺโถ  คือสภาวะสำแดงซึ่งผลคือทุกข์ประการ ๑     สํโยคตฺโถ  คือสภาวะประกอบไว้ด้วยประกอบสังขารทุกข์ประการ  ๑  ปลิโพธตฺโถ  คือสภาวะให้ขังอยู่ในเรือนจำ   คือภพสงสารประการ  ๑  เป็นอรรถ  ๔   ประการ   เป็นสภาวะจริงแท้แห่งสมุทัย
   พระนิโรธก็มีสภาวะจริง  ๔   ประการ  นิสฺสรณตฺโถ  คือสภาวะออกจากอุปธิ   คือตัณหาสมุทัย   ตัณหานุสัยประการ  ๑  วิเวกตฺโถ  คือสภาวะสงัดจากหมู่    คือหากิเลสแลสังสารทุกข์มิได้ประการ  ๑  อสงขตตฺโถ  คือสภาวะอันปัจจัยมิได้ประชุมตกแต่งประการ  ๑  อมตตฺโถ  คือสภาวะเป็นอมฤตยรสเป็นธรรมที่ไม่ตายประการ  ๑  เป็นอรรถ    ๔   ประการด้วยกัน   เป็นสภาวะจริงแท้แห่งพระนิโรธ