ฝ่ายพระอริยมรรค   ก็มีอรรถเป็นสภาวะจริงแท้ด้วยการ   ๔   นิยฺยานตฺโถ  คือสภาวะออกจากวัฏฏสงสารประการ  ๑  เหตวตฺโถ  คือเหตุเห็นพระนิพพานประการ  ๑  ทสฺสนตฺโถ  คือเป็นสภาวะเห็นพระนิพพาน  ๑  อธิปเตยฺยตฺโถ  คือสภาวะเป็นอธิบดีในที่เห็นพระนิพพานแห่งสหชาติธรรมประการ  ๑   เป็น  ๔   ประการด้วยกัน  เป็นอรรถอันแท้บ่มิได้วิปริตแห่งพระอริยมรรค
   ธรรม   ๔   ประการ   มีทุกข์เป็นอาทิชื่อว่าสัจจะ   ด้วยอรรถอันแท้โดยอาการ  ๑๖  นี้  พระอาจารย์สงเคราะห์เอาสัจจะทั้ง  ๔   นั้นด้วยอาการอันเดียวคือเอาแต่อรรถว่าจริง   มิได้วิปริตเท่านั้น   เป็นใจความว่า   เมื่อสงเคราะห์เอาด้วยอาการอันเดียวดังนี้แล้ว    สัจจะทั้ง  ๔   นั้นก็นับว่าเป็น  ๑  แล้วพระโยคาพจรนั้นก็ตรัสรู้พระจตุราริยสัจจ์นั้นด้วยญาณอันเดียว    แลสัจจะทั้ง  ๔   นั้นก็ได้ชื่อว่าเอกปฏิเวธด้วยประการดังนี้
   มีคำโจทนาดังนี้เล่านี้    อรรถทั้งหลายมีอรรถว่าโรค   แลอรรถว่าเป็นปม   เป็นอาทิแห่งสัจจะทั้งหลาย  ๔   มีทุกข์เป็นอาทิก็ยังมีอยู่   เหตุดังฤๅพระอาจารย์จึงกล่าวไว้ว่า   แต่อรรถละสี  ๆ  นั้นว่าด้วยอรรถอันควรจะปรากฏด้วยลักษณะแห่งตน    แลเล็งเห็นสัจจะอันอื่นมีสมุทัยเป็นต้น   อธิบายว่าอรรถทั้งหลายใด   อันควรจะปรากฏด้วยสภาวะแห่งตนก็ดี   ด้วยสามารถแห่งสัจจะอันอื่นก็ดี   แลอรรถทั้งหลายนั้นมีอาการละสี่  ๆ   มีอาการเบียดเบียนเป็นอาทิต่าง ๆ     กันสิริเป็นอาการ  ๑๖  แท้
   คำที่ว่ามานี้   ยุติด้วยคำภายหลัง   อันสัจจญาณนี้  สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเทศนาในพระบาลีสัจจวิภังค์นั้น   ตรัสเทศนาด้วยสามารถแห่งญาณอันหระทำซึ่งสัจจะสิ่งละอัน  ๆ   เป็นอารมณ์  เป็นสัจจญาณ   ๔   ประการมีญาณอันปรารภเอาทุกข์เป็นอารมณ์เป็นอาทิต่าง  ๆ  กัน  ตรัสเทศนาด้วยอรรถ   ก็ตรัสเทศนาโดยสามารถแห่งญาณปรารภสัจจอื่น  ๆ  เป็นอารมณ์แล้วก็ให้สำเร็จกิจในสัจจะทั้งหลายอันเศษ   เป็นอันสำเร็จโดยนัยพระบาลี  โย   ภิกฺขเว   ทุกฺขํ  ปสฺสติ  ดูกรภิกษุทั้งหลาย   บุคคลผู้ใดเห็นซึ่งทุกขสัจจ์    บุคคลผู้นั้นก็ได้ชื่อว่าเห็นสมุทัยสัจจ์   ได้ชื่อว่าเห็นซึ่งนิโรธสัจจ์
   ล้ำอรรถทั้ง  ๒   คือสภาวะแห่งตน   เล็งแลเห็นซึ่งสัจจะอันอื่นนั้นกาลใดพระอริยสัจจญาณกระทำซึ่งสัจจะละอัน  ๆ  เป็นอารมณ์นั้นขณะเมื่อเอาทุกข์เป็นอารมณ์นั้น  ปีฬนตฺโถ  อันว่าอรรถว่าเบียดเบียนก็ปรากฏตามสภาวะลักษณะแห่งตน   คือทุกขสัจจ์  สงฺขตตฺโถ  แลทุกขสัจจ์   มีอรรถว่าปัจจัยประชุมแต่งเป็นอรรถคำรบ  ๒   ก็ปรากฏด้วยเล็งเห็นสมุทัยสัจจ์
   อธิบายว่ากองทุกข์คือเบญจขันธ์   อันกอปรด้วยชาติทุกข์เป็นอาทินี้จะไม่มีผู้เป็นพนักงานตกแต่งแลจะบังเกิดเองหาบ่มิได้   จำจะมีผู้ตกแต่งจึงจะบังเกิดได้   ผู้ตกแต่งนั้นก็ใช่อื่นใช่ไกล   คือตัวตัณหาสมุทัยเป็นพนักงานได้ตกแต่ง   ให้เกิดทุกขราสิในภพกำเนิดแลคติฐิติสตตวาส   จึงได้เสวยชาติชราพยาธิมรณะทุกข์   แลอบายทุกข์     ทั้งนี้ก็เพราะตัณหาสมุทัยเป็นปัจจัยตกแต่ง
   เมื่อสัจจญาณเล็งเห็นตัวสมุทัย   ผู้เป็นพนักงานตกแต่งมีอยู่ฉะนี้แล้วอันว่าทุกขสัจจ์มีอรรถว่ามีปัจจัยประชุมแต่งก็ปรากฏแจ้งเพราะสำแดงเหตุคือสมุทัย   ด้วยประการดังนี้
     สนฺตาปตฺโถ  แลทุกขสัจจ์มีอรรถคือสภาวะร้อนเป็นคำรบ  ๓   ก็ปรากฏเพราะเล็งเห็นมรรคสัจจ์   ๆ   นั้นกอปรด้วยคุณอันเย็นระงับเสียซึ่งความร้อนคือราคาทิกิเลส     เหตุใดเหตุดังนั้น   อันว่าทุกขสัจจ์มีอรรถว่าร้อนก็ปรากฏ    เพราะเล็งเห็นมรรคสัจจ์    เปรียบอาการดุจหนึ่งนางรูปนันทชนปทกัลยาณี    กลับมีรูปอันต่ำช้าปรากฏแก่พระอานนท์    อันได้ทัศนาการซึ่งสิริแห่งนางเทพกัญญา
   อนึ่ง   ทุกขสัจจ์มีอารรถ   คือสภาวะเป็นวิปริณามแปรปรวนบ่มิเที่ยงแท้   เป็นอรรถคำรบ  ๔   นั้นปรากฏ   เพราะเล็งเห็นพระนิโรธสัจจ์นั้น  ๆ   บ่มิได้เป็นวิปริณามธรรมโดยเที่ยงแท้   มิได้แปรปรวนไปด้วยความเกิดความแก่ความตาย    ฝ่ายทุกขสัจจ์อันมีลักษณะเป็นปริณามนั้นก็ปรากฏแก่สัจจญาณเพราะเล็งเห็นนิโรธเที่ยงอยู่นั้น
   ทุกขสัจจ์มีอรรถ   ๔  ปีฬนตฺโถ  อรรถเป็นปฐม   คือสภาวะเบียดเบียนปรากฏด้วยสภาวะแห่งตน   ยังอรรถ   ๓    คืออรรถว่าปัจจัยประชุมแต่ง    อรรถว่าร้อน   อรรถว่าแปรปรวนนั้น   ก็ปรากฏด้วยเล็งเห็นสัจจะอันอื่น   คือสมุทัยยสัจจ์     นิโรธสัจจ์    มรรคสัจจ์ด้วยประการดังนี้
   เมื่อสัจจญาณกระทำซึ่งสมุทัยสัจจะเป็นอารมณ์ในกาลใด 
    อายุหนตฺโถ  อันว่าอรรถว่าประมวลซึ่งทุกข์  ก็ปรากฏโดยสภาวะลักษณะแห่งตนคือสมุทัย  มิได้เล็งเห็นสัจจะอันอื่นในกาลนั้น
    นิทานตฺโถ  อันว่าสภาวะเป็นนิทาน   คือสำแดงผลเป็นอรรถคำรบ  ๒   แห่งสมุทัย   ก็ปรากฏด้วยเล็งเอาซึ่งทุกข์อันเป็นผลแห่งตนเปรียบดุจหนึ่งโภชนาหารของผิดสำแดง  ก็ปรากฏว่าเป็นโรคนิทานเพราะเห็นพยาธิอันบังเกิดแต่อสัปปายโภชนะนั้น
    สํโยคตฺโถ  อันว่าสภวะประกอบสัตว์ไว้ด้วยสังขารทุกข์เป็นอรรถคำรบ  ๓   แห่งสมุทัยสัจจ์     ก็ปรากฏด้วยเล็งเห็นนิโรธอันเป็นเหตุพรากออกจากสังขารทุกข์นั้น
    ปลิโพธตฺโถ  อันว่าสภาวะเป็นปลิโพธิ   คือกั้นกำเสียซึ่งอริยมรรค   แลได้ขัดข้องอยู่ในเรือนจำ    คือวัฏฏทุกข์เป็นคำรบ   ๔    แห่งสมุทัยสัจจ์   ปรากฏด้วยเล็งเห็นซึ่งมรรคสัจจ์   อันบังเกิดเป็นปฏิบัติตัดปลิโพธออกจากวัฏฏสงสาร
   สมุทัยสัจจ์มีอรรค   ๔   ประการด้วยสภาวะแห่งตน   แลปรากฏด้วยเล็งเห็นสัจจะอันอื่น   ด้วยประการดังนี้
   อนึ่งสัจจญาณกระทำซึ่งนิโรธสัจจ์สิ่งเดียว   เป็นอารมณ์ในกาลใด
    นิสฺสรณตฺโถ  อันว่าสภาวะออกจากอุปธิทั้งปวง   เป็นอรรถแห่งนิโรธก็ปรากฏด้วยสภาวะแห่งตน   มิได้เล็งเห็นซึ่งสัจจะอันอื่นในกาลนั้น
    วิเวกตฺโถ  อันว่าสภาวะสงัดจากอุปธิวิเวก   ก็เป็นอรรคคำรบ   ๒   แห่งนิโรธ   ก็ปรากฏด้วยเล็งเห็นสมุทัยสัจจ์    อันมิได้สงัดจากหมู่กิเลสทั้งหลาย
    อสงฺขตตฺโถ  อันว่าสภาวะอันปัจจัยมิได้ประชุมแต่งเป็นอรรถคำรบ  ๓   แห่งนิโรธ   ก็ปรากฏด้วยเล็งเห็นมรรคสัจจ์
   อธิบายว่ามรรคสัจจ์นั้น   แม้พระโยคาพจรเจ้ามิเคยพบเห็นเลยมาแต่ก่อน   ในสังสารวัฏอันมีที่สุดเบื้องต้นมิได้ปรากฏ   พึงมาปรากฏในกาลบัดนี้   ก็เห็นเป็นมหัศจารรย์อยู่แล้ว   แต่ทว่าเป็นสังขตะธรรมแท้   เหตุประกอบด้วยปัจจัยมีสหชาตปัจจัยเป็นอาทิ   ตกแต่งอยู่ปราศจากปัจจัยอย่างนิโรธสัจจ์อย่างนิโรธสัจจ์นี้หามิได้     อันนิโรธสัจจ์สิ่งเดียวนี้แลปราศจากปัจจัย   เหตุดังนั้นอันสภาวะชื่อ   อสังขตะเป็นอรรถแห่งนิโรธสัจจ์    อันหาปัจจัยมิได้ก็ปรากฏยิ่งนัก   เพราะเหตุเล็งเห็นมรรคสัจจ์ด้วยประการดังนี้
   อนึ่งโสด  อมตตฺโถ  อันว่าสภาวะเป็นอมฤตยรสเป็นอรรถคำรบ  ๔   แห่งนิโรธก็ปรากฏด้วยเล็งเห็นทุกขสัจจ์
   อธิบายว่า  ทุกขสัจจ์นั้น   ได้ชื่อว่าพิษ   เหตุเบียดเบียนสัตว์ให้ลำบากหาที่สุดมิได้   ฝ่ายพระนิพพานเป็นอมฤตยะโอสถอันประเสริฐบังเกิดเป็นยาดับพิษคือทุกข์   อาศัยเหตุเล็งเอาทุกข์สัจจ์ดังนี้   นิโรธสัจจ์จึงมีอรรถปรากฏว่าเป็นอมฤตยรสเป็นคำรบ   ๔
   อนึ่งเมื่อสัจจญาณกระทำซึ่งมรรคสัจจ์สิ่งเดียว    เป็นอารมณ์ในกาลใด
    นิยฺยาวตฺโถ  อันว่าอรรถอันเป็นปฐม   คือสภาวะออกจากวัฏฏสงสารเป็นอรรถแห่งมรรคสัจจ์    ก็ปรากฏด้วยสภาวะแห่งตนมิได้เล็งเห็นสัจจะอันอื่น
    เหตวตฺโถ  อันว่าสภาวะเป็นเหตุ   เป็นอรรถคำรบ  ๒   แห่งมรรคสัจจ์    ก็ปรากฏด้วยสิ่งเห็นซึ่งสมุทัยสัจจ์  คือเข้าใจเป็นแท้ว่าตัณหาสมุทัยนั้นบ่มิได้เป็นเหตุให้ถึงพระนิพพาน   ฝ่ายมรรคสัจจ์นี้เป็นเหตุให้ถึงพระนิพพานแท้จริง
   อรรถเป็นคำรบ  ๓  นั้น  ทสฺสนตฺโถ  คือกิริยาอันเป็นอรรถแห่งมรรคสัจจ์  ก็ปรากฏด้วยเห็นนิโรจจ์   อันเป็นอันจันตะบรมสุขุมคัมภีรอารมณ์ยิ่งนัก   เปรียบอาการดุจหนึ่งบุรุษมีจักษุอันผ่องใสเมื่อเล็งเห็นรูปารมณ์อันละเอียดแล้ว    ก็เข้าใจว่าจักษุของอาตมานี้ผ่องใสบริสุทธิ์จากมลทิน
    อธิปเตยฺยตฺโถ  อันว่าสภาวะเป็นอธิบดีศร    อันเป็นอรรถคำรบ  ๔   แห่งมรรคสัจจ์นั้น   ปรากฏด้วยเล็งเห็นซึ่งทุกขสัจจ์    อันกอปรด้วยเอนกโทษแผ่ไฟศาล    ปานประหนึ่งบุคคลได้ทัศนาการซึ่งชนกำพร้าอันอาดูรเดือดร้อนอยู่ด้วยอเนกโรคาหาที่พำนักมิได้   อิสรภาพอันหาโรคาพยาธิมิได้นั้นก็ปรากฏด้วยโอฬาริกายิ่งนัก
    เอวเมตฺถ   สลกฺขณวเสน  ล้ำอรรถทั้งหลายนั้น   อันว่าอรรถละสี่  ๆ   แห่งอริยสัจจ์ละอัน  ๆ   องค์สมเด็จพระผู้ทรงพระภาคเจ้าตรัสเทศนาโดยสภาวะปรากฏแห่งอรรถอันหนึ่ง   ด้วยสามารถลักษณะแห่งตนแลปรากฏแห่งอรรถละสาม  ๆ   อันเศษ    ด้วยเล็งเห็นซึ่งอริยสัจจ์อันอื่นด้วยประการฉะนี้
   แลอรรถทั้งปวงนั้นก็ถึงซึ่งสภาวะอันพระโยคาพจร   ตรัสรู้ซึ่งอริยสัจจ์อันอื่น   ด้วยประการฉะนี้
   แลอรรถทั้งปวงนั้นก็ถึงซึ่งสภาวะอันพระโยคาพจร   ตรัสรู้ด้วยสัจจญาณอันเดียว   ในขณะเมื่อโลกุตตรมรรคญาณบังเกิดนั้น
    อิมานิ   ยานิ  ตานิ  ปริญฺญาทีนิ   จตฺตาริ   กิจฺจานิ   อตฺตานิ 
   บัดนี้จะถวายวิสัชนาการจำแนกในกิจ  ๔   ประการ   คือปริญญากิจ   ปหานกิจ     สัจฉิกิริยากิจ   ภาวนากิจ   ล้ำกิจ   ๔   ประการนั้น  ติวิธา   หิโต   ปริญฺญา  ปริญญากิจสิ่งหนึ่ง   มีประเภท  ๓   ปหานก็มีประเภท   ๓   สัจฉิกิยามีกิจประเภท   ๓   ภาวนากิจก็มีประเภท  ๓   วินิจฺฉโย    ญาตพฺโพ  นักปราชญ์พึงรู้วินิจฉัยในกิจ   ๔   ประการดังนี้
    ติวิธา  ปริญญากิจมีประเภท   ๓  นั้น  คือญาตปริญญา  ๑   ตีรณปริญญา  ๑   ปหานปริญญา  ๑   ปริญญาทั้ง  ๓   นี้   ก็มีนับดังกล่าวมาแล้วในมัคคามัคคญาณทัสสนะวิสุทธินิเทศ   ในหนหลังแล้ว    ในที่นี้จักวิสัชนาแต่ใจความสังเขป     ตามวาระพระบาลีว่า  สพฺเพ   ภิกขเว     อภิญฺเญยฺ   ยํ  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย    ปัญญาแห่งพระโยคาพจรกำหนดนามและรูปกับทั้งปัจจัยแล้ว   แลรู้ด้วยลักษณะรสปัจจุปัฏฐานปทัฏฐาน   นี้แลเป็นภูมิเป็นแผนกญาตปริญญา
   ปัญญาแห่งโยคาพจร   อันพิจารณานามรูปด้วยพระไตรลักษณ์จับเดิมแต่สัมมัสสนญาณ   พิจารณากองกลาปตราบเท่าถึงอนุโลมญาณนี้แลเป็นภูมิเป็นแผนกแห่งตีรณปริญญา
   ปัญญาแห่งโยคาพจร   อันประพฤติเป็นไปด้วยนัยเป็นต้น   คืออนิจจานุปัสสนา  นิจฺจสญฺญํ   ปชหติ  มละเสียซึ่งสำคัญว่าเที่ยงในไตรภพสังขาร   ด้วยอนิจจานุปัสสนาเป็นอาทิดังนี้ชื่อว่า   ปหานปริญญา
   ปหานปริญญานี้  มีญาณอันประพฤติเป็นไป   จับเดิมแต่ภังคานุปัสสนาตราบเท่าถึงพระอริยมรรคญาณ  เป็นภูมิที่ดำเนินโดยแผนก
    อยํ   อิธ    อธิปฺเปโต  ปหานปริญญานี้เป็นที่ต้องประสงค์ในที่นี้เพราะเหตุว่า   วิสัชนามาด้วยการอันตรัสรู้ซึ่งจตุราริยสัจจ์     ญาตปริญญาแลตีรณปริญญาทั้ง  ๒   นี้   ยกขึ้นว่าด้วยแต่พอจะให้รู้จักประเภทแห่งปริญญาจะเป็นที่ต้องประสงค์ในที่นี้หามิได้
 
    อปิจ  นัยหนึ่งถ้าจะว่าญาตปริญญาแลตีรณปริญญาทั้งสองต้องประสงค์ด้วยก็ว่าได้    ด้วยปริญญาทั้ง  ๒  นี้  ต้องอยู่ในที่จะให้สำเร็จประโยชน์คือพระอริยมรรคประการ  ๑  ขณะเมื่อพระอริยมรรคญาณบังเกิด   ยึดหน่วงเอาพระนิพพานเป็นอารมณ์  ปหานํปิ  มละเสียซึ่งธรรมหมู่ใด   ธรรมหมู่นั้นก็ได้ชื่อว่าญาตะชื่อว่าตีรณะ    ว่าอันพระอริยมรรคญาณหากรู้หากพิจารณาโดยนิยมเที่ยงแท้    เหตุใดเหตุดังนั้นนักปราชญ์พึงสันนิษฐานว่าปริญญาทั้ง  ๓  นี้   เป็นกิจแห่งพระอริยมรรคญาณโดยปริยายนามดังนี้   สิ้นความในปริญญากิจโดยสังเขปแต่เท่านี้
    ตถา  ปหานํปิ  ฝ่ายปหานกิจนั้นก็มีประเภท   ๓   ประการ   เหมือนปริญญาคือเป็นวิกขัมภนปหาน  ๑   ตทังปหาน  ๑   สมุจเฉทปหาน  ๑  ล้ำปหานทั้ง  ๓   ประการนั้น   จะยกวิสัชนาแต่วิกขัมภนปหานนั้นก่อน
    ยํ  ปหานํ  อันว่าปหานอันใด   คือกิริยาอันพระโยคาพจรเจ้าข่มเสียซึ่งนิวรณธรรม   แลปัจจนิกธรรมทั้งหลายมิได้เกิดกำเริบอันทำครอบงำสันดานได้สิ้นกาลช้านานด้วยโลกิยสมาธินั้น  ๆ  วิกฺขมุภนํ   วิย  ดุจหนึ่งบุคคลข่มเสียซึ่งเสวาลชาติ    คือจอกแหน่สาหร่ายด้วยกระออมอันวางลงเหนือหลั่งน้ำอันกอปรด้วยเสวาลชาติ    อนึ่งเป็นคำรบโบราณคติพระโบราณาจารย์กล่าวไว้   เหมือนด้วยศิลาทับหญ้า  โลกิยสมาธินา  กิริยาที่ข่มนิวรณธรรมด้วยโลกิยสมาธิดังนี้ว่าวิกขัมภนปหาน
    ปาลิยํ  ปน  ฝ่ายพระบาลีนั้นว่า   องค์สมเด็จพระสรรเพชญ์ตรัสพระสัทธรรมเทศนา   เฉพาะแต่ข่มขี่นิวรณธรรมแท้   เป็นวิกขัมภนปหานพระบาลีอันนี้   นักปราชญ์พึงเข้าใจว่า    องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคตรัสเทศนาเฉพาะว่าแต่ทีปรากฏ    เหตุว่าเมื่อพระโยคาพจรออกจากญานแล้ว    ก็ย่อมปรากฏแก่บุคคลผู้อื่น   เข้าใจว่าท่านผู้มีจิตมิได้พยายาม  แลปราศจากถีนมิทธะ
   แท้จริงอันว่านิวรณธรรมทั้งหลาย      มีกามฉันท์เป็นอาทินั้นแต่ในบุรพภาคปฏิบัติ   เมื่อยังมิได้อัปปนาฌานก็ดี   ก็มิได้ครอบงำจิตสันดานอันเป็นอันเร็วพลัน   แม้ออกจากอัปปนาญานแล้ว   ก็มิได้ครอบงำจิตสันดานเป็นอันเร็วพลัน   กิริยาที่ข่มขี่ริวรณธรรมนั้น   จึงปรากฏดังกล่าวแล้ว
   ฝ่ายปัจจนิกธรรมทั้งหลายอื่น  ๆ   มีวิตกเป็นอาทิ    อันเป็นจะพึงข่มเสียด้วยทุติฌานเป็นอาทินั้น  จะไม่ครอบงำจิตสันดานก็เพราะแต่ในอัปปนามึทุติยญานเป็นอาทิ   ครั้นออกจากญานแล้ววิตกวิจารก็ครอบงำจิตสันดานได้เป็นอันเร็วพลัน   เหตุดังนั้นกิจที่ข่มขี่ปัจจนิกธรรมมีวิตกเป็นอาทินั้นได้ชื่อว่าปรากฏแก่ผู้อื่น     เหตุดังนั้น   กิริยาที่ข่มนิวรณธรรมมีกรรมฉันท์เป็นอาทินั้นได้ชื่อว่าปรากฏแจ้ง   อาศัยเหตุฉะนี้สมเด็จสรรเพชญ์พุทธเจ้า  จึงตรัสเทศนาเฉพาะแต่ข่มนิวรณ์สิ่งเดียวเป็นวิกขัมภนปหาน
   ในพระบาลีนั้นว่า  ยํ   ปหานํ  อันว่าปหานอันใดคือกิริยาอันมละเสีย   ขจัดเสียซึ่งธรรมอันควรจะพึงมละเสียนั้น  ๆ     ด้วยองค์คือญาณอันบังเกิดเป็นอวัยวะแห่งวิปัสสนานั้น  ๆ   ดุจหนึ่งกิริยาดวงประทีป    อันบุคคลตามไว้ในราตรีภาค   ขจัดเสียซึ่งมืด   ปหานดังนี้ชื่อว่า   ตทังคปหานจัดโดยประเภทได้  ๑๓
   คือกิริยาอันโยคาพจรมละเสีย   ซึ่งสักกายทิฏฐิด้วยกำหนดซึ่งนามแลรูป  ๑
   คือมละเสียซึ่งอเหตุกทิฏฐิ    แลวิสมเหตุกทิฏฐิ    แลมลทินคือกังขาด้วยกำหนดซึ่งปัจจัยแห่งนามแลรูป  ๑
   คือมละเสียซึ่งลัทธิ     อันถือผิดถือเอาซึ่งประชุมแห่งนามแลรูปว่าตนว่าของตนด้วยพิจารณากลาป  ๑ 
   คือมละเสียซึ่งทางอันผิด   สำคัญว่าทางในธรรมอันใช่ทางด้วยมัคคา   มัคคววัตถานญาณ  ๑
   คือมละเสียซึ่งอุจเฉททิฏฐิ   ด้วยอุทยทัสสนะ   คือญาณอันรู้ซึ่งลักษณะเกิดแห่งนามแลรูป  ๑
   คือมละเสียซึ่งสัสสตทิฏฐิด้วยญาณอันเห็นซึ่งลักษณะแห่งนามแลรูป  ๑
   คือมละเสียซึ่งสำคัญ     คือสภาวะหามิได้   ในนามรูปอันกอปรด้วยภยตูปัฏฐานญาณ  ๑
   คือมละเสียซึ่งสำคัญผิด     อันประพฤติเป็นไปด้วยสามารถยินดีในเบญจขันธ์   ด้วยทีนวญาณ   ๑
   คือมละเสียซึ่งสัญญาอันกำหนดยิ่งนัก   ด้วยนิพพิทาญาณ  ๑
   คือมละเสียซึ่งสภาวะมิได้เปลื้องปล่อยตน     ให้พ้นจากนามแลรูปด้วยมุญจิตุกามยตญาณ  ๑
   คือมละเสียซึ่งโมหะอันเป็นปฏิปักษ์แก่ปฏิสังขาญาณ   คือปัญญาอันตกแต่งอุบายอันจะมละเสียซึ่งสังขาร  ๑
   คือมละเสียซึ่งมิได้มัธยัสถ์ในสังขารด้วยอุเบกขาญาณ  ๑
   คือมละเสียซึ่งอันผิดจากคลองอริยสัจจ์    คือถือเอาว่าเที่ยงเป็นอาทิในสังขาร   ด้วยอนุโลมญาณ    ๑   เป็น  ๑๓   ด้วยกัน   ชื่อตทังคปหาน
   พระพุทธโฆษาจารย์แสดงตทังคปหาน   โดยอนุโลมลำดับแห่งสุวิสุทธิดังนี้แล้ว    บัดนี้ปรารถนาเพื่อจะสำแดงตทังคปหานนั้น   ด้วยสามารถแห่งอัฏฐารสมหาวิปัสสนา    จึงกล่าววาระพระบาลีเป็นอาทิคือ  ยํ  วา  ปน  แปลว่าตามวาระพระบาลีว่า  ยํ   ปหานํ  อันว่าปหานอันใดประพฤติเป็นไปในมหาวิปัสสนา  ๑
   คือมละเสียซึ่งสุขสัญญา   สำคัญว่าเป็นสุขด้วยทุกขานุปัสสนา  ๑
   คือมละเสียซึ่งสำคัญว่าตน   ด้วยอนัตตานุปัสสนา  ๑
   คือมละเสียซึ่งตัณหาอันประกอบด้วยปิติด้วยนิพพานุปัสสนา  ๑
   คือมละเสียซึ่งราคะ   ด้วยวิราคานุปัสสนา  ๑
   คือมละเสียซึ่งสมุทัย   ด้วยนิโรธานุปัสสนา  ๑
   คือมละเสียซึ่งถือมั่นด้วยตัณหาทิฏฐิในปัญจขันธ์      ด้วยปฏินิสสัคคานุปัสสนา  ๑
   คือมละเสียซึ่งสำคัญว่าเป็นแท่งหนึ่งแท่งเดียว   ด้วยสามารถแห่งสันตติเนื่องบ่มิได้ขาด   แลประชุมไปด้วยกองนามแลรูปแลกิจจารย์ด้วยขยานุปัสสนาคือปัญญาอันวิจาร์พรากสังขารออกจากแท่งแล้วก็เล็งเห็นว่าอนิจจัง  ขยตฺ   เถน  ด้วยสภาวะสิ้นไป  ๑
   คือมละเสียซึ่งอายุหนะ   คือกิริยาอันเพียรพยายามให้เกิดอภิสังขารมีบุญญาภิสังเป็นอาทิ   ด้วยขยานุปัสสนา   คือสภาวะเล็งเห็น   ซึ่งทำลายสังขาร   โดยปัจจักขสิทธิ์  แลอนุมานสิทธิ์  แลน้อมจิตไปในนิโรธคือสังขารภังค์นั้น  ๑
   คือมละเสียซึ่งธุวสัญญา   สำคัญว่าถาวรมั่นคงในสงสาร  ด้วยวิปริณามานุปัสสนา   คือปัญญาอันเล็งซึ่งสังขารมีรูปสัตว์เป็นอาทิอันล่วงเสียซึ่งปริจเฉทนั้น  ๆ   มีปฏิสนธิแลจุติเป็นต้น   แล้วแลประพฤติแปรเป็นอื่นแลแปรไปด้วยอาการ  ๒   คือชราแลมรณะแห่งสังขารอันบังเกิด  ๑
   คือมละเสียซึ่งอนิจจานิมิต   คือกำหนดว่าเที่ยงด้วยอนิจจานิมิตตานุปัสสนา   คือปัญญาอันพิจารณาเห็นว่าเป็นอนิจจัง  ๑
   คือมละเสียซึ่งปณิธิ   คือความปรารถนา  ซึ่งสุขในสังขารด้วยอัปปณิหิตานุปัสสนา   คือปัญญาอันพิจารณาเห็นแต่ทุกข์ฝ่ายเดียว
   คือมละเสียซึ่งอภินิเวส    ถือเอามั่นว่า   อตฺถิ   อตฺตา  ตัวตนนี้มีด้วยสุญญตานุปัสสนา     คือปัญญาพิจารณาเห็นว่าสูญเปล่าจากตน  ๑
   คือมละเสียซึ่งถือมั่นว่า   เป็นแก่นสารในสังขารธรรมอันหาแก่นมิได้  ด้วยอธิปัญญาธรรมวิปัสสนา    ได้แก่ปัญญาอันรู้ซึ่งอารมณ์มีรูปเป็นอาทิ    แล้วแลเห็นซึ่งทำทั้งหลายแห่งอารมณ์นั้น    แลทำลายแห่งจิตมีรูปเป็นอาทินั้น    เห็นอารมณ์แล้วก็ถือเอาสภาวะสูญเปล่าด้วยสามารถแห่งทำลายด้วยมนสิการว่าสังขารธรรมแท้จริง   มีแต่จะทำลายไปฝ่ายเดียวมรณธรรมนั้นเล่า   ก็มีแต่สังขารธรรมเป็นแท้จะมีสัตว์มีบุคคลผู้อื่นจากสังขารทำลายหามิได้  ๑
   คือมละเสียซึ่งสัมโมหาภินิเวส     อันประพฤติเป็นไปด้วยสามารถแห่งกงขาเป็นอาทิว่า    ดังอาตมาะรำพึง    ตัวอาตมะนี้   มีแลหรือในอดีตกาลแลเป็นไปด้วยถือผิด    เป็นต้นว่าสัตว์โลกบังเกิดแต่พระอิศวรนารายณ์ตกแต่งด้วยยถาภูตญาณทัสสนะ   คือกำหนดซึ่งนามแลรูปกับทั้งปัจจัย  ๑
   คือมละเสียซึ่งอาลยาภินิเวส   คือถือมั่นผูกอาลัยในสังขาร   เหตุมนสิการกำหนดว่าสังขารอันใดน้อยหนึ่ง  ที่ควรจะเป็นที่แอบอิงอาศัยนั้นมิได้ปรากฏด้วยอาทีนวานุปัสสนา   คือปัญญาอันบังเกิดด้วยสามารถแห่งภยตูปัฏฐานญาณเห็นซึ่งโทษในภพทั้งปวงเป็นอาทิ  ๑
   คือมละเสียซึ่งโมหะอันเป็นปฏิปักษ์แก่สังขาญาณ   ด้วยปฏิสังขานุปัสสนาคือปัญญาอันตนแต่งอุบาย  จะเปลื้องตนให้พ้นจากสังขาร  ๑
   คือมละเสียซึ่งโยคาภินิเวสคือ    ประพฤติเป็นไปแห่งกามสังคโยคาทิกิเลส    ด้วยวิวัฏฏานุปัสสนา   สังขารุเบกขาญาณแลอนุโลมญาณ  ๑
   อันว่าปหานอันสำแดงมาในมหาวิปัสสนาทั้ง   ๑๘   ประการก็ชื่อว่าตทังคปหาน   นักปราชญ์พึงรู้โดยพิสดาร   ด้วยประการดังนี้
   สมุจเฉทปหานนั้น   เมื่อพระโยคาพจรเจ้า   มละเสียซึ่งธรรมทั้งหลาย   มีอนุสัยสังโยชญ์เป็นอาทิ   พระอริยมรรคญาณ   สัฃขารเสียมิได้ประพฤติเป็นไปในสันดาน   มีอาการดุจหนึ่งอสุนีจักรอันตกต้องต้นไม้   ๆ   นั้นก็ถึงแก่พินาศ   มิอาจเพื่อจะเจริญสืบรุกขสันดานต่อไปได้   ล้ำปหาน   ๓   ประการ   ดังพรรณนามาแล้วนั้น   ยกเอาแต่สมุจเฉทปหานสิ่งเดียว   เป็นที่ต้องประสงค์ในที่นี้     ถ้าจะว่าฝ่ายหนึ่งเล่าแม้ว่าปหานทั้ง  ๓   คือวิกขัมภนปหาน   และตทังคปหานก็ดีเมื่อประพฤติเป็นไปในบุพรภาคปฏิบัติแห่งพระโยคาพจรนั้นก็เป็นอุปการะเพื่อจะให้สำเร็จประโยชญ์    คือสมุจเฉทปหานแท้จะแปรเป็นอื่นหาบ่มิได้   เหตุดังนั้นนักปราชญ์พึงสันนิษฐานเถิดว่าปหานทั้ง  ๓   ประการนั้น   เป็นกิจแห่งพระอริยมรรคญาณทั้งสิ้น   ด้วยปริยายนามดังนี้   เปรียบอาการดุจหนึ่งบรมกษัตราธิราชอันพิฆาตฆ่าซึ่งพระยาอันเป็นปัจจามิตรเสียแล้วแลได้ปราบดาภิเษก   การทั้งปวงที่กระทำมาตราบเท่าถึงสำเร็จราชสมบัตินั้นแม้ว่าผู้อื่นจากบรมกษัตริย์กระทำก็ดี   ชนทั้งปวงก็ย่อมกล่าวว่า   บรมกษัตริย์สิ้นทั้งนั้น   ฉันใดก็ดี   นักปราชญ์พึงสันนิษฐานว่า   ปหานทั้ง  ๓  ประการ    มีวิกขัมภนปหานเป็นอาทิ   เป็นกิจแห่งพระอริยมรรคญาณดุจดังนั้น
สิ้นใจความในปหานกิจเท่านี้