แลธัมมปฏิสัมภิทาญานนั้นเล่า ถ้าจะสำแดงโดยประเภทในบทว่าธัมมะ ๆ ก็ได้แก่ธรรม ๕ กอง คือ
โย โกจิ ผลนิพฺพตฺตโก เหตุ เหตุสรรพทั้งปวงแต่บรรดาที่ให้บังเกิดผลมีต้นว่าสมุทัยสัจจ์ ๑ อริยมคฺโค อริยมรรคนั้น ๑ ภาสิต พระบาลีทั้งปวงแต่บรรดาที่มีในพระไตรปิฏกนี้ ๑ อกุสสํ กุศลจิต ๑ กุสลํ อกุศลจิต ๑ รวมเป็น ๕ กองด้วยกันได้ชื่อว่าธัมมะทั้งสิ้น
ตํ ธมฺมํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺส เมื่อพระอริยบุคคลพิจารณาซึ่งธรรมทั้ง ๕ นี้ แลปัญญากล้าหาญแตกฉานในธัมมะ ๕ กองนี้ ไม่ขัดไม่ข้องแล้วในกาลใด ปัญญานั้นได้ชื่อว่าธัมมปฏิสัมภิทาญานในกาลนั้น
นักปราชญ์พึงรู้อรรถาธิบายตามนัยพระอรรถกถาจารย์ จำแนกออกไว้ในพระอภิธรรมกถาโดยนัยเป็นต้นว่า
ทุกฺเข ญาณํ ปัญญาที่แตกฉานเห็นแจ้งรู้แจ้งในกองทุกข์มีชาติทุกข์เป็นต้น ได้ชื่อว่าอัตถปฏิสัมภิทาญาณแตกฉานในผลเพราะเหตุว่ากองทุกข์ทั้ง ๑๒ กอง มีชาติทุกข์เป็นต้นนั้นเป็นผลแห่งตัณหา ตัณหาเป็นเหตุให้บังเกิด
ปัญญาที่แตกฉานรู้แจ้งเห็นในตัณหา อันมีประเภท ๑๐๘ ประการนั้น ได้ชื่อว่าธัมมปฏิสัมภิทาญาณ แตกฉานในเหตุ เพราะเหตุว่าตัณหานั้นเป็นมูลเหตุให้บังเกิดผล คือกองทุกข์สิ้นทั้งปวง
ชรามรเณ ญาณํ อนึ่ง ปัญญาที่แตกฉานรู้แจ้งเห็นแจ้งในชราแลมรณะนั้นได้ชื่อว่าอัตถปฏิสัมภิทาญาณ แตกฉานในผลเพราะเหตุว่าชรามรณะนั้น เป็นผลแห่งตัณหาบังเกิดแต่เหตุ คือ ตัณหา
แลปัญญาแตกฉานเห็นแจ้งรู้แจ้งในตัณหา อันเป็นเหตุให้เกิดชรา แลมรณะนั้น ได้ชื่อว่าธัมมปฏิสัมภิทาญาณ แตกฉานในเหตุเพราะว่าตัญหาเป็นมูลเหตุให้บังเกิดผลคือ ชราแลมรณะนั้น
ทุกฺขนิโรเธ ญานํ อนึ่งปัญญาที่แตกฉานเห็นแจ้งรู้แจ้งในกิริยาที่ดับสูญแห่งสังขารธรรมทั้งปวงนั้น ได้ชื่อว่าอัตถปฏิสัมภิทาญาณแตกฉานในผล เพราะว่ากิริยาที่ดับสูญแห่งสังขารธรรมทั้งปวงเป็นผลแห่งนิโรธคามินีปฏิบัติบังเกิดแต่เหตุ คือนิโรธคามินีปฏิปทา
แลปัญญาที่แตกฉานรู้แจ้งเห็นแจ้งในนิโรธคามินีปฏิปทา กล่าวคือพระอัฏฐังคิกมรรคนั้น ได้ชื่อว่าธัมมปฏิสัมภิทาญาณ แตกฉานในเหตุเพราะว่าอัฏฐังคิกมรรคนี้ เป็นมูลเหตุให้บังเกิดผลคือกิริยาอันดับแห่งสังขารธรรมทั้งปวง
อนึ่ง ปัญญาแตกฉานในพระบาลีที่สำแดงวังคสัตถุศาสนาทั้ง ๙ มีสุตตตะเป็นอาทินั้น ได้ชื่อว่าธัมมปฏิสัมภิทาญาณ แตกฉานในเหตุเพราะเหตุว่านวังคสัตถุศาสนานี้เป็นมูลเหตุบังเกิดผล คือพระอรรถกถา
แลปัญญาที่แตกฉานในพระอรรถกถา เห็นแจ้งรู้แจ้งอรรถอันนี้แก้พระบาลีอันนี้ อรรถอันนี้แก้พระคัมภีร์อันนี้ ปัญญารู้แจ้งฉะนี้ ได้ชื่อว่าอัตถปฏิสัมภิทาญาณ แตกฉานในผล เพราะเหตุว่าพระอรรถกถานั้น เป็นผลแห่งนวังคสัตถุศาสนา บังเกิดแต่เหตุคือนวังคสัตถุศาสนา
อนึ่ง ปัญญาที่แตกฉานในกุศลจิต อกุศลจิตเห็นแจ้งตามพระบาลี คือ
ยสฺมึ สมเย กามาวจรํ กุสลํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหติ เป็นอาทินั้นได้ชื่อว่าธัมมปฏิสัมภิทาญาณ แตกฉานในเหตุเพราะเหตุว่ากุศลจิตแลอกุศลจิตนั้นเป็นมูลเหตุให้บังเกิดบากจิตทั้งปวง โดยควรแก่กำลังที่กล้าแลอ่อนแลปานกลางนั้น
แลปัญญาที่แตกฉานเห็นแจ้งรู้แจ้งในวิบากแห่งกุศล แลอกุศลทั้งปวงนั้น ได้ชื่อว่าอัตถปฏิสัมภิทาญาณ แตกฉานในผล เพราะเหตุว่าวิบากจิตทั้งปวงนั้นเป็นผลแห่งกุศลแลอกุศล บังเกิดแต่เหตุคือกุศลแลอกุศล
แลนิรุตติปฏิสัมภิทาญาณนั้น ได้แก่ปัญญาอันเห็นแจ้งรู้แจ้งแตกฉานในวิคคหะแห่งพระบาลีที่สมเด็จพระพุทธองค์ตรัสเทศนาไว้ด้วยมูลภาษา คือ ภาษามคธนั้น แต่พอได้ยินผู้อื่นกล่าวซึ่งบาลีก็รู้ชัดรู้สันทัดว่าพระบาลีสภาวะนิรุตติ คือมีวิคคหะเป็นปกติมิได้วิปริต พระบาลีบ่มิเป็นสภาวะนิรุตติ คือมีวิคคหะอันวิปริตบ่มิได้เป็นปกติ รู้ในวิคคหะแห่งพระบาลีสันทัดฉะนี้ด้วยอำนาจนิรุตติปฏิสัมภิทาญาณ
นิรุตฺติปฏิสมฺภิทปฺปตฺโต แท้จริงพระอริยบุคคลที่ถึงซึ่งนิรุตติปฏิสัมภิทาญาณ แต่พอได้ยินผู้อื่นกล่าวพระบาลีมีต้นว่า
ผสฺโส เวทนา ก็รู้แจ้งว่าพระบาลีเป็นสภาวะนิรุตติ กล่าวโดยมคธภาษาปกติ มีวิคคหะเป็นปกติ มิได้วิปริตแปรปรวน ถ้าได้ยินผู้อื่นกล่าวว่า ผสฺโส เวทนา ก็รู้แจ้งว่าพระบาลีนี้วิปริตเป็นบาลีหย่อนวิคคหะมิได้เป็นปกติ ปัญญารู้แจ้งแตกฉานในวิคคหะตลอดทั่วไปในพระไตรปิฏกนี้แล ได้ชื่อว่านิรุตติปฏิสัมภิทาญาณ
แลปฏิสัมภิทาญาณนั้น ได้แก่ปัญญาที่ยึดหน่วงเอาปัญญาเป็นอารมณ์แล้ว แลเป็นไปไม่ขัดข้อง เหมือนอย่างพระภิกษุที่เรียนพระวินัยปิฎกสิ้นแล้ว แลพิจารณาซึ่งพระวินัยปิฎกที่ตนเรียนในภายหลัง ได้ชื่อว่าปัญญายึดหน่วงเอาปัญญาเป็นอารมณ์แล้วแลเป็นไปในกาลเมื่อพิจารณา ซึ่งพระวินัยที่ตนเรียนแล้ว แลเห็นรู้แจ้งเห็นแจ้งไม่ขัดข้อง แตกฉานตลอดเบื้องต้นแลเบื้องปลาย สมควรกันเป็นอันดีนั้นรู้ว่าด้วยปัญญาอันใด ปัญญาอันนั้นได้ชื่อว่า ปฏิภาณปฏิสัมภิทาญาณ
แม้ถึงพระสูตรพระปรมัตถ์ แลสัททาวิเศษทั้งปวงนั้นก็ดี เมื่อเรียนรู้เสร็จสิ้นสำเร็จแล้ว แลพินิจพิจารณาในภายหลังนั้นได้ชื่อว่าปัญญายึดหน่วงเอาปัญญาเป็นอารมณ์
การเมื่อพิจารณา พระสูตรพระปรมัตถ์ สัททาวิเศษที่เรียนแล้ว แลเห็นแจ้งชัดไม่ขัดข้องแตกฉานตลอดเบื้องต้นแลเบื้องปลาย สมกันเป็นอันดีนั้น รู้ด้วยปัญญาดวงใด ปัญญาดวงนั้นได้ชื่อว่าปฏิภาณปฏิสัมภิทาญาณเหมือนกัน
นัยหนึ่งว่า ปัญญาที่รู้ในบาลีแลอรรถกถาแลบทวิเคราะห์สิ้นทั้งปวงนั้น เมื่อรู้โดยพิศดารเป็นต้นว่ารู้โดยกิจแลผล รู้กับด้วยอารมณ์แตกฉานสันทัด พิจารณาเห็นบาลีแลอัตถแลบทวิคคหะทั้งปวงนั้นตลอดกันไม่มืดมัวสว่างกระจ่างทั้งเบื้องต้นแลท่ามกลางแลเบื้องปลาย สมควรกันเป็นอันดีนี้แลได้ชื่อว่าปฏิภาณปฏิสัมภิทาญาณ
จตสฺโสปิ เจตา ปฏิสมฺภิทา แลปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ นี้ ย่อมถึงซึ่งแตกฉานในภูมิทั้ง ๒ คือ เสขภูมิ ๑ อเสขภูมิ ๑
อธิบายว่า ปฏิสัมภิทาญาณที่แตกฉานในสันดานแห่งพระอัครสาวกและพระสาวกทั้งปวงนั้น ได้ชื่อว่าปฏิสัมภิทาญาณแตกฉานในอเสขภูมิ
ปฏิสัมภิทาญาณ ที่แตกฉานในสันดาน แห่งพระเสขบุคคลเป็นต้นว่า พระอานนท์เถระ แลจิตคฤบดี แลธัมมิกอุบาสก แลอุบาลีคฤหบดี แลนางขุชชุตตราอุบาสิกานั้น ได้ชื่อว่าปฏิสัมภิทาญาณแตกฉานในเสขภูมิ
ปญฺจหากาเรหิ วิสทา โหนฺติ แลปฏิสัมภิทาญาณจะแกล้วกล้าสละสลวยนั้น อาศัยแก่การประกอบด้วยอาการ ๕ ประการ
อธิคเมน คือถึงพระอรหัตต์ มิฉะนั้นก็ถึงซึ่งพระโสดา พระสกทาคา พระอนาคา จัดเป็นอาการอัน ๑
สวเนน  คือมีประโยชน์ด้วยสดับตรับฟัง แล้วแลอุตสาห์ฟังพระธรรมเทศนาด้วยสจจคารวะ จัดเป็นอาการ ๑
ปริปุจฺฉาย คือกล่าววินิจฉัยพิพากษา ซึ่งอรรถอันรู้ยาก แลอธิบายอันรู้ยาก แต่บรรดามีในพระบาลีแลอรรถกถาเป็นอาทินั้น จัดเป็นอาการอัน ๑
ปุพฺพโยเคน คือในบุรพชาติแต่ก่อน ได้บำเพ็ญพระวิปัสสนาในสำนักแห่งพระพุทธเจ้า ได้จำเริญกลับไปกลับมา คือเจริญตั้งแต่บุรพภาควิปัสสนาขึ้นไป ตราบเท่าถึงสังขารุเปกขาญาณ อันเป็นที่ใกล้อนุโลมชวนะแลโคตรภูขวนะนั้น แล้วเจริญถอยหลังลงมา ตราบเท่าถึงบุรพภาควิปัสสนานั้นเล่า อย่างนี้แลได้ชื่อว่าเจริญกลับไปกลับมา
นัยหนึ่งโยคาพจรภิกษุ เจริญวิปัสสนานั้นหาได้เจริญถอยลงมาไม่ แต่ทว่าเมื่อเวลาจะไปบิณฑบาตนั้น ก็จำเริญตั้งแต่ที่อยู่ไปตราบเท่าถึงโคจรคาม เมื่อจะกลับมาอารามก็เจริญตามตั้งแต่โคจรคามตราบเท่าถึงที่อยู่อย่างนี้ได้ชื่อว่า เจริญกลับไปกลับมา
เป็นใจความว่า สภาวะได้เจริญวิปัสสนาในสำนักแห่งพระพุทธเจ้าแต่ก่อนนั้น ได้ชื่อว่าบุรพประโยค จัดเป็นอาการอัน ๑
สิริด้วยกันเป็นอาการ ๕ เป็นปัจจัยให้ปฏิสัมภิทาญาณแกล้วกล้าสละสลวย
มีคำอปราจารย์คืออาจารย์อื่นอีกฝ่ายหนึ่ง กล่าวไว้ ณ ที่นี้ว่าปฏิสัมภิทาปัญญาจะแกล้วกล้าสละสลวยนั้น อาศัยแก่การประกอบด้วยอาการ ๘ ประการ คือ
ปุพฺพปโยโค ได้บำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานในสำนักแห่งพระพุทธเจ้าแต่ปางก่อนนั้น ๑
พาหุสจฺจํ สภาวะฉลาดในคัมภีร์ต่าง ๆ แต่บรรดาหาโทษมิได้แลฉลาดในศิลปศาสตร์ต่าง ๆ แต่บรรดาที่ปราศจากโทษนั้น ๑
เทสภาสา สภาวะฉลาดในภาษา ๑๑ หรือฉลาดแต่ภาษามคธอย่างเดียว ก็จัดเป็นความฉลาดในเทศภาษาได้ ๑
อาคโม สภาวะเรียนซึ่งพระพุทธวจนะได้ ไม่มากสักว่าเรียนได้แต่ยมกวรรค ในคัมภีร์พระธรรมบทนั้นก็จัดได้ชื่อว่า เรียนพระพุทธวจนะ ๑
ปริปุจฺฉา ไต่ถามซึ่งข้อพิพากษา ในอารรถกถาทั้งปวง แต่บรรดามีพระไตรปิฎกนั้น ๑
อธิคโม สภาวะซึ่งได้มรรคแลผลมีพระโสดาเป็นต้น มีพระอรหัตต์เป็นที่สุดนั้น ๑
ครุสฺสนฺนิสฺสโย สภาวะอยู่ในสำนักแห่งครูที่มากไปด้วยสดับตรับฟัง มากด้วยปัญญาปรีชาฉลาดนั้น ๑
ตถา มิตฺตสมฺปตฺติ สภาวะคบหากัลยามิตร อันเป็นพหูสูตรกอปรด้วยสติคารวะปัญญาอันมากนั้น ๑
อาการทั้ง ๘ นี้ เป็นเหตุเป็นปัจจัยที่จะให้ปฏิสัมภิทาญาณ ปัญญาแกล้วกล้าสละสลวย สิ้นคำอปราจารย์แต่เท่านี้
พุทธา จ ปจฺเจกพุทฺธา จ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แลพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งปวงนั้น ย่อมถึงปฏิสัมภิทาด้วยอาการ ๒ ประการ
คือบุพพปโยค ได้บำเพ็ญพระวิปัสสนาไว้ในสำนักพระพุทธเจ้าแต่ก่อนนั้นประการ ๑
อธิคมะ ได้สำเร็จมรรคแลผลมีพระโสดาเป็นอาทิ มีพระอรหัตต์เป็นปริโยสานประการ ๑ เป็น ๒ ประการด้วยกัน
สาวกสาวิกา ฝ่ายพระสาวกสาวิกาทั้งปวงนี้ ถึงซึ่งปฏิสัมภิทาด้วยอาการ ๕ แลอาการ ๘ โดยนัยที่กล่าวแล้วแต่หลัง
อนึ่ง ปัญญาที่ให้สำเร็จเพียรในกรรมฐานภาวนานี้ ก็นับเข้าในปฏิสัมภิทาปัญญานี้เอง จะได้ต่างออกไปจากปฏิสัมภิทาปัญญานี้หาบ่มิได้
แลกาลเมื่อจะถึงซึ่งปฏิสัมภิทาปัญญานั้น พระเสขบุคคลถึงปฏิสัมภิทาในที่สุดแห่งเสขผลสมาบัติคือ โสดาปัตติผลญาณแลสกทาคามิผลญาณแลอนาคามิผลญาณ
ฝ่ายพระอเสขบุคคลนั้น ถึงปฏิสัมภิทาในที่สุดแห่งอเสขผลสมาบัติ คือพระอรหัตตผลญาณ
ได้ใจความว่า ปฏิสัมภิทาทั้ง ๔ จะเกิดแก่พระโสดาบันบุคคลนั้นย่อมเกิดในที่สุดแห่งโสดาปัตตผลญาณ เกิดแก่พระสกทาคามิบุคคลในที่สุดแห่งสกทาคามิผลญาณ เกิดแก่พระอนาคามิบุคคลในที่สุดแห่งอนาคามิผลญาณ เกิดแก่พระอรหันตบุคคลในที่สุดแห่งอรหัตตผลญาณ
พระพุทธโฆษาจารย์เจ้าสำแดงประเภทแห่งปัญญาด้วยทุกกะ ๕ ติกกะ ๔ จตุกกะ ๒ วิสัชนาในข้อปุจฉาเป็นคำรบ ๔ ที่ถามว่าปัญญามีอาการมากน้อยเท่าดังฤๅนั้นจบแล้ว จึงวิสัชนาในข้อปุจฉาเป็นคำรบ ๕ สืบต่อไป
ข้อที่ถามว่าปัญญานั้น ควรจักจำเริญด้วยพีธีดังฤๅ
ข้อนี้พระผู้เป็นเจ้าสำแดงข้อวิปัสสนาว่า
ยสฺมา อิมาย ปญฺญาย ขนฺธายตนอินฺทฺริยสจฺจสมุปฺปา ทาทิเภทา ธมฺมา ภูมิสีลวิสุทฺธิ เจวจิตฺตวิสุทธิจาติ อิมา เทฺว วิสุทฺธิโย มูลํ ฯ เป ฯ ปญฺจ วิสุทฺธิโย สมฺปาเทนฺเตน ภาเวตพฺพา
อธิบายว่า พระโยคาพจรผู้มีศรัทธา ประสงค์จักจำเริญวิปัสสนาภาวนานั้น พึงตั้งธรรม ๖ กองไว้เป็นพื้นก่อน
ธรรม ๖ กองนั้น คือ ขันธ์กอง ๑ อายตนะกอง ๑ ธาตุกอง ๑ อินทรีย์กอง ๑ อริยสัจกอง ๑ ปฏิจจสมุปบาทเป็นอาทิกอง ๑ รวมเป็น ๖ กองด้วยกัน
กองที่เป็นปฐมที่ ๑ นั้น ได้แก่ขันธ์ทั้ง ๕ ประการ มีรูปขันธ์เป็นอาทิ กองที่ ๒ นั้นได้แก่อายตนะ ๑๒ ประการ มีจักขวายตนะเป็นอาทิ กองคำรบ ๓ นั้นได้แก่ธาตุ ๑๘ ประการ มีจักขุธาตุเป็นต้น กองคำรบ ๔ นั้นได้แก่อินทรีย์ ๒๒ มีจักขุนทรีย์เป็นอาทิ กองคำรบ ๕ นั้นได้แก่อริยสัจจธรรม ๔ ประการ กองคำรบ ๖ นั้นได้แก่ปฏิจจสมุปบาทธรรมมีอวิชชาเป็นทิ อาหาร ๔ ประการมีกวฬิงการาหารเป็นอาทิก็นับเข้าในกองคำรบ ๖
เมื่อพระโยคาพจรตั้งธรรม ๖ กองไว้เป็นพื้น คือพิจารณาให้รู้จักลักษณะแห่งธรรม ๖ กอง ยึดหน่วงเอาธรรม ๖ กองนี้เป็นอารมณ์ได้ลำดับนั้นพึงเอาศีลวิสุทธิมาเป็นราก บำเพ็ญศีลบำดพ็ญสมาธิให้ได้สำเร็จเป็นอันดีแล้ว จึงจำเริญวิสุทธิ ๕ ประการสืบต่อขึ้นไปโดยลำดับเอาทิฏฐิวิสุทธิแลกังขาวิตรณวิสุทธิเป็นเท้าซ้ายเท้าขวา เอามัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิแลปฏิปทาญาณทัสสวิสุทธิเป็นมือซ้ายมือขวาแล้ว เอาญาณทัสสนวิสุทธิเป็นศีรษะเถิด จึงจะอาจสามารถที่จะยกตนออกจากสงสารวัฏได้
แลขันธ์ ๕ ประการที่จัดเป็นพื้นนั้น ในที่หนึ่งสำแดงรูปขันธ์ ที่สองสำแดงวิญญาณขันธ์ ที่สามสำแดงเวทนาขันธ์ ที่สี่สำแดงสัญญาขันธ์ ที่ห้าสำแดงสังขารขันธ์
มีคำปุจฉาว่า เหตุไฉนพระผู้เป็นเจ้าพระพุทธโฆษาจารย์จึงยกเอาวิญญาณขันธ์ ที่สมเด็จพระสรรเพชญ์พุทธองค์ตรัสเทศนาไว้เป็นที่ห้ามาสำแดงในที่สอง คิดสำแดงรูปขันธ์ในที่หนึ่งแล้ว สำแดงวิญญาณขันธ์ในที่สอง อาศัยแก่เหตุผลเป็นประการใด มีคำวิสัชนาว่า
ตตฺถ ยสฺมา วิญญาณขกฺนฺเธ วิญฺญาเต อิตเร สุวิญฺเญยฺยา โหนฺติ
อธิบายว่า บริษัททั้งปวงนี้ ถ้ารู้จักวิญญาณขันธ์ก่อนแล้ว ก็อาจจะรู้จักเวทนาขันธ์สังขารขันธ์นั้นด้วยง่ายดาย
อันขันธ์ทั้ง ๓ คือเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ นั้นเป็นกองแห่งเจตสิก ประพฤติเนื่องด้วยวิญญาณขันธ์ รู้วิญญาณขันธ์ประจักษ์แจ้งแล้วก็รู้จักเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์โดยสะดวก เหตุพระพุทธโฆษาจารย์เจ้า ผู้แต่งคัมภีร์พระวิสุทธิมรรคขันธ์ในที่สองสำแดงเวทนาทิตยขันธ์ในที่ ๓-๔-๕ ด้วยประการฉะนี้
รูปขันธ์กำหนดโดยเอกวิธโกฏฐาส ได้แก่ธรรมชาติอันมีลักษณะรู้ฉิบหายประลัยด้วยเย็นร้อนเป็นอาทิ เป็นส่วนอย่างเดียว แต่บรรดาสรรพสิ่งทั้งปวง ที่รู้ฉิบหายด้วยเย็นแลร้อนเป็นต้น ได้นามบัญญัติชื่อว่ารูปสิ้นด้วยกัน
แลรูปนั้นเมื่อสำแดงโดยทุกกะต่างออกเป็น ๒ คือ ภูตรูปประการ ๑ อุปาทายรูปประการ ๑
ภูตรูปนั้นได้แก่ธาตุทั้ง ๔ คือ ปฐวีธาตุ ๑ อาโปธาตุ ๑ เตโชธาตุ ๑ วาโยธาตุ ๑
สำแดงซึ่งลักษณะแลกิจแลผลแห่งภูตรูปนั้น มีพิศดารอยู่ในจตุธาตุววัตถานนิเทศนั้นแล้ว
ในที่นี้จักสำแดงซึ่งอาสันนการณ์แห่งภูตรูป ที่ยังมิได้สำแดงในจตุธาตุววัตถานนิเทศนั้น
นักปราชญ์พึงสันนิษฐานว่า ภูตรูปคือธาตุทั้ง ๔ ประการนี้ ถ้อยทีถ้อยเป็นอาสันนการณ์แห่งกันแลกัน
อธิบายว่า อาโปธาตุโชธาตุวาโยธาตุทั้ง ๓ นี้เป็นเหตุอันใกล้ที่จะให้บังเกิดปฐวีธาตุ
แลเตโชธาตุวาโยธาตุปฐวีธาตุทั้ง ๓ นี้ เป็นเหตุอันใกล้ที่จะให้บังเกิดอาโปธาตุ
วาโยธาตุปฐวีธาตุอา)บธาตุทั้ง ๓ นี้ เป็นเหตุอันใกล้ที่จะให้บังเกิดเตโชธาตุ
แลปฐวีธาตุอาโปธาตุเตโชธาตุทั้ง ๓ นี้ เป็นเหตุอันใกล้ที่จะให้บังเกิดวาโยธาตุ
ตกว่าธาตุทั้ง ๔ ถ้อยทีถ้อยเป็นอาสันนเหตุแห่งกันแลกัน บังเกิดด้วยกัน จะได้พลัดพรากปราศจากกันหาบ่มิได้
มีอาโปแล้วก็คงมีปฐวีธาตุ มีเตโชแล้วก็คงมีปฐวีธาตุ มีวาโยแล้วก็คงมีปฐวีธาตุ มีเตโชแล้วก็คงมีอาโปธาตุ มีวาโยแล้วก็คงมีอาโปธาตุ มีปฐวีแล้วก็คงมีอาโปธาตุ มีวาโยแล้วก็คงมีเตโชธาตุ มีปฐวีแล้วก็คงมีเตโชธาตุ มีอาโปแล้วคงมีเตโชธาตุ มีปฐวีแล้วคงมีวาโยธาตุ มีอาโปแล้วคงมีวาโยธาตุ มีเตโชแล้วคงมีวาโยธาตุ จะได้ล่วงพ้นห่างไกลกันหาบ่มิได้
แลอุปาทายรูปนันได้บังเกิดแก่รูป ๒๕ ประการนั้น แต่บรรดาที่อาศัยซึ่งภูตรูปเป็นที่ตั้งแล้วแลบังเกิด
อุปาทายรูป ๒๔ ประการนั้น คือ จักขุประสาท ๑ โสตประสาท ๑ ฆานประสาท ๑ ชิวหาประสาท ๑ กายประสาท ๑ รูปารมณ์ ๑ สัททารมณ์ ๑ คันธารมณ์ ๑ รสารมณ์ ๑ อิตถินทรีย์ ๑ ปุริสินทรีย์ ๑ ชีวิตินทรีย์ ๑ หทัยวัตถุ ๑ กายวิญญัติ ๑ วจีวิญญัติ ๑ อากาสธาตุ ๑ ลหุตารูป ๑ มุทุตารูป ๑ กัมมัญญตารูป ๑ อุจจายรูป ๑ สันตติรูป ๑ ชรตารูป ๑ อนิจจตารูป ๑ กวฬิงการาหารรูป ๑ สิริเป็นอุปาทายรูป ๒๔ ประการด้วยกัน