ยังโสมนัสเวทนาโทมนัสสเวทนา และอุเบกขาเวทนานั้นเล่าก็แจกออกไปสิ่งละหก ๆ เหมือนกัน แจกเป็นจักขุสัมผัสสชาฐาน ๑ เป็นโสตสัมผัสสชาฐาน ๑ เป็นฆานสัมผัสสชาฐาน ๑ เป็นชิวหาสัมผัสสชาฐาน ๑ เป็นกายสัมผัสสชาฐาน ๑ เป็นมโนสัมผัสสชาฐาน ๑ เป็น ๖ อย่างเหมือนกัน
พึงเข้าใจเป็นใจความเถิดว่า ขณะเมื่อเราท่านทั้งปวงได้เห็นบิดามารดาคณาญาติมิตรสหายอันเป็นที่รัก เป็นพี่ป้าน้าอาบุตรภรรยาอันเป็นที่รักนั้นก็ดี เห็นรูปพระปฏิมากร พระสถูปพระเจดีย์ พระศรีมหาโพธิ์ พระสงฆ์สามเณร องค์ใดองค์หนึ่งอันเป็นที่ให้บังเกิดศรัทธาเลื่อมใสนั้นก็ดี แล้วมีความชื่นชมโสมนัสยินดีปรีดา หัวเราะร่าเริงบังเทิงใจอย่างนี้แลได้ชื่อว่าจักขุสัมผัสสชาโสมนัสเวทนา
ถ้ามิดังนั้น เห็นรูปที่ขัน ๆ แลชอบใจหัวเราะร่าเริงอย่างนี้ ก็ได้ชื่อว่าจักขุสัมผัสสชาโสมนัสเวทนาเหมือนกัน
ถ้าแลเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งปันไม่เป็นที่รัก เป็นต้นว่าเห็นคนอันเป็นอริกันอยู่แล้ว ถ้ามีความโทมนัสขัดเคืองคิดแค้นขึ้นมาอย่างนี้ ได้ชื่อว่าจักขุสัมผัสสชาโทมนัสเวทนา
ถ้าได้เห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งเข้า แลมัธยัสถ์เป็นท่ามกลางอยู่ ได้ชื่อว่าจักขุสัมผัสสชาอุเบกขาเวทนา
ถ้าได้ฟังสำเนียงอันชอบใจ เป็นต้นว่าได้ฟังสำเนียงสวดมนต์ภาวนาเสียงสำแดงพระสัทธรรมเทศนา แลมีความชื่นชมยินดียิ้มแย้มแจ่มในปรีดาปราโมทย์อย่างนี้ ได้ชื่อว่าโสตสัมผัสสชาโสมนัสเวทนา
ถ้าฟังเสียงสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว แลเป็นโทมนัสขัดเคืองขึ้นมาเป็นต้นว่า ได้ยินเขาติฉินนินทา ได้ยินเขาด่าตัดพ้อเย้ยหยันเปรียบ ๆ เปรย ๆ ได้ยินแล้วแลมีความโกรธแค้นขัดเคืองขึ้นมาอย่างนี้ได้ชื่อว่า โสตสัมผัสสชาโทมนัสเทวนา ว่าเวทนาเกิดแต่โสตสัมผัส
ถ้าได้ยินแล้วแลมัธยัสถ์เป็นท่ามกลางอยู่ ได้ชื่อว่าโสตสัมผัสสชาอุเบกขาเวทนา
ถ้าได้กลิ่นเป็นต้นว่า กลิ่นดอกไม้ธุปเทียนน้ำมันหอมกระแจะจันทร์ อันบุคคลนำไปบูชาไว้ในลาน พระพุทธรูปพระสถูปเจดีย์ แลมีความชื่นมโสมนัสยินดีปรีดาปราโมทย์ ก็ได้ชื่อว่าฆานสัมผัสสชาโสมนัสเวทนา
พึงเข้าใจไปทั่วเถิดว่าสุดแท้แต่ว่าจะได้กลิ่นแล้ว แลมีความชื่นชมยินดีปรีดาปราโมทย์ ก็ได้ชื่อว่าฆานสัมผัสสชาโสมนัสเวทนา
ถ้าได้กลิ่นชั่ว กลิ่นอันมิได้ชอบแลมีความโทมนัสขัดเคืองแค้นขึ้นมาก็ได้ชื่อว่าฆานสัมผัสสชาโทมนัสสเวทนา ว่าโทมนัสเกิดแต่ฆานสัมผัส ถ้าได้กลิ่นแล้วแลมัธยัสถ์ท่ามกลางอยู่ ก็ได้ชื่อว่าฆานสัมผัสสชาอุเบกขาเวทนา
ถ้าได้ลิ้มเลียรสแล้วก็ชื่อชมยินดี เหมือนอย่างนักเลงสุรานั้นได้ดื่มกินสุราก็ชื่นชมว่าเอร็ดอร่อย นับถือกันด้วยกินสุรายินดีปรีดาด้วยกันอย่างนั้นได้ชื่อว่าชิวหาสัมผัสสชาโสมนัสสเวทนา
ถ้าได้ลิ้มเลียรสแล้วมีความน้อยเนื้อต่ำใจ เหมือนหนึ่งท่านที่เป็นสัปบุรุษ อุตสาห์รักษาศีลของตนจะให้บริสุทธิ์ปราศจากมลทิล ครั้นว่ามีผู้มาข่มขืนให้กินสุรายาเมา เมื่อเขาขืนกรอกขืนเทลงในมุขทวารสุรานั้นล่วงลำคอเข้าไปได้ ก็มีความน้อยเนื้อต่ำใจนั้นหนักหนา อย่างนี้ได้ชื่อว่าชิวหาสัมผัสสชาโทมนัสสเวทนา
เป็นใจความว่า สุดแท้แต่ว่าลิ้มเลียรสแล้วมีความขึงความโกรธมีความน้อยเนื้อต่ำใจแล้ว ก็ได้ชื่อว่าโทมนัสสเวทนาเกิดแต่ชิวหาสัมผัส
ถ้าได้ลิ้มเลียรสแล้ว และมัธยัสถ์เป็นท่ามกลางอยู่ ก็ได้ชื่อว่าชิวหาสัมผัสสชาอุเบกขาเวทนา
ถ้าได้ถูกต้องสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ชอบอารมณ์ เป็นต้นว่าได้เชยชมซึ่งรูปอันเป็นวิสภาค และบังเกิดความกำหนัดยินดีด้วยราคะดำกฤษณาหรรษาภิรมย์ตามกิจประเวณีคดีโลก อย่างนี้ได้ชื่อว่ากายสัมผัสสชาโสมนัสสเวทนา
ถ้าถูกต้องเข้าแล้วและมีความโทมนัสขัดแค้น เหมือนหนึ่งว่าคนนั้นอยู่แล้ว ไม่ปรารถนาที่จะถูกต้องตัวเรา ว่าให้เห็นใกล้ ๆ เถิด เหมือนหนึ่งว่าคนที่กายชั่วเปื้อนไปด้วยตมและโคลน อสุจิลามกเหม็นเน่าเหม็นโขง คนเปื่อยหวะเป็นเรื้อนและมะเร็งคุดทะราด มิได้สะอาดเราไม่ปรารถนาจะให้ถูกต้อง ครั้นขืนเข้าเบียดเสียดเข้ามาให้ถูกต้องกายเรา ๆ ก็มีความแค้นยิ่งนักหนาอย่างนี้แล ได้ชื่อว่ากายสัมผัสสชาโทมนัสสเวทนา ว่าโทมนัสเกิดแต่กายสัมผัส ถ้าจะมาถูกต้องเข้าแล้ว และมัธยัสถ์เป็นท่ามกลางอยู่ก็ได้ชื่อว่ากายสัมผัสสชาอุเบกขาเวทนา
ถ้าและอารมณ์ที่เป็นอติอิฏฐารมณ์มาปรากฏแจ้งแก่มโนทวารเหมือนหนึ่งว่าหลับลงและฝันเห็นที่ชอบใจ เป็นต้นว่าฝันเห็นว่าบูชาพระรัตนตรัยด้วยดอกไม้และของหอมเครื่องสักการบูชาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ฝันว่าได้ฟังพระธรรมเทศนาก็ดี เมื่อฝันเป็นอาทิฉะนี้ และมีความชื่นชมโสมนัสยินดีปรีดาอย่างนี้แล ได้ชื่อว่ามโนสัมผัสสชาโสมนัสเวทนาว่าเวทนาเกิดแต่มโนสัมผัส
ถ้าฝันเห็นที่ชั่วไม่ชอบอารมณ์ และบังเกิดโทมนัสขัดแค้น ก็ได้ชื่อว่ามโนสัมผัสสชาโทมนัสเวทนา
ถ้าฝันและมัธยัสถ์เป็นท่ามกลางอยู่ ก็ได้ชื่อว่ามโนสัมผัสสชาอุเบกขาเวทนา
เวทนาทั้งหลายนี้ เมื่อจัดด้วยภูมินั้นก็จัดเป็นกามาพจรเวทนา ๕๔ รูปาพจรเวทนา ๑๕ อรูปพจรเวทนา ๑๒ โลกกุตตรเวทนา ๘ เป็น ๘๙ ด้วยกันเท่ากันกับจิต มากนักหนาถึงเพียงนี้ เหตุดังนั้นสมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาจารย์ จึงสงเคราะห์เวทนาทั้งปวงเข้าเป็นกองอันหนึ่งก็เรียกว่าเวทนาขันธ์
และสัญญาเจตสิกนั้น พระพุทธองค์ก็สงเคราะห์เข้าไว้เป็นกองอันหนึ่งเหมือนกันกับเวทนา
สัญญาเจตสิกนั้น เมื่อจำแนกออกไปโดยทวารนั้น จัดเป็นสัญญา ๖ ประการ เป็นจักษุสัมผัสสชาสัญญาประการ ๑ โสตสัมผัสสชาสัญญาประการ ๑ ฆานสัมผัสสชาสัญญาประการ ๑ ชิวหาสัมผัสสชาสัญญาประการ ๑ กายสัมผัสสชาสัญญาประการ ๑ มโนสัมผัสสชาสัญญาประการ ๑ เป็น ๖ ประการด้วยกัน
จักขุสัมผัสสชาสัญญานั้น ได้แก่สัญญาอันยุติในจักษุเกิดแต่ได้เห็นเป็นต้น ได้เห็นแล้วและสำคัญได้ว่าคนนั้นคนนี้สิ่งนี้สำคัญด้วยสามารถได้เห็น อย่างนี้ได้ชื่อว่าจักขุสัมผัสสชาสัญญา
ถ้าได้ฟังเสียงและสำคัญว่าเสียงสิ่งนั้น ๆ เสียงคนนั้น ๆ สำคัญได้ด้วยสามารถได้ยินเสียงนี้ ได้ชื่อว่าโสตสัมผัสสชาสัญญา
ถ้าได้ดมกลิ่นและสำคัญได้ว่าเป็นกลิ่นสิ่งนั้น ๆ กลิ่นคนนั้น ๆ สำคัญได้ด้วยสามารถได้ดมกลิ่นนั้น ได้ชื่อว่าฆานสัมผัสสชาสัญญา
ถ้าได้ลิ้มเลียดูก่อนจึงสำคัญได้ว่าสิ่งนั้น ๆ เป็นรากไม้อันนั้น เป็นยา สิ่งนั้นเป็นของสิ่งนั้น ๆ ได้สำคัญด้วยสามารถได้ลิ้มได้เลีย ได้บริโภคนี้ ได้ชื่อว่าชิวหาสัมผัสสชาสัญญา
ถ้าได้สัมผัสถูกต้องก่อนจึงสำคัญได้ว่าเป็นสิ่งนั้น เป็นผู้นั้น เป็นตนของผู้นั้นสำคัญได้ด้วยสามารถได้ถูกต้องดังนี้ ได้ชื่อว่ากายสัมผัสสชาสัญญา
ถ้าสำคัญได้ด้วยมโนทวาร เหมือนท่านเป็นโยคาพจรเล่าเรียนซึ่งสมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน เมื่ออุคคหะและปฏิภาคะปรากฏแก่มโนทวาร และท่านสำคัญได้ว่าสิ่งนี้เขียว สิ่งนี้เหลือง สิ่งนี้แดงสำคัญได้ด้วยจิตอย่างนี้ได้ชื่อว่ามโนสัมผัสสชาสัญญา
ภิกษุและสามเณรที่ท่านมีศรัทธาอุตสาหะเล่าเรียน ซึ่งคันถธุระนั้นเล่า เมื่อชำนิชำนาญแล้วท่านระลึกขึ้นมา ท่านก็รู้ว่าบทนี้บาทนี้คาถานี้อยู่ในคัมภีร์นั้น ๆ สำคัญได้ว่าอยู่ผูกนั้น บรรทัดนั้น สำคัญได้ด้วยใจอย่างนี้ ได้ชื่อว่ามโนสัมผัสสชาสัญญา
ลักษณะที่สำคัญได้ว่าอยู่ในคัมภีร์นั้นผูกนั้น นั่นแลเป็นลักษณะแห่งสัญญา
ลักษณะที่จำได้นั้น เป็นพนักงานแห่งสติปัญญาต่างหาก จะเป็นพนักงานแห่งสัญญานั้นหามิได้ สัญญานี้ให้รู้แต่หยาบ ๆ ให้รู้แต่ว่าอยู่ที่นั้นให้รู้แต่เท่านั้น อันจะรู้วิเศษขึ้นไปนั้นลักษณะแห่งปัญญาสัญญานั้นรู้แต่หยาบ วิญญาณนั้นให้รู้เป็นอย่างกลาง ปัญญานั้นให้รู้เป็นอย่างยิ่งให้รู้วิเศษกว่าสัญญาและวิญญาณ
เป็นใจความว่า สัญญาที่เกิดขึ้นแล้ว และให้สำคัญได้ด้วยสามารถลำพังใจไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้ดม ไม่ได้ลิ้มเลีย ไม่ได้สัมผัสถูกต้องสำคัญได้ด้วยลำพังใจแห่งตน อย่างนี้ได้ชื่อว่ามโนสัมผัสสชาสัญญาจัดโดยทวารนั้นได้สัญญาถึง ๖ ประการ ดังพรรณนามาฉะนี้
ถ้าจะจัดโดยภูมิ สัญญานั้นจัดเป็นกามาพจรสัญญา ๕๔ รูปาพจรสัญญา ๑๕ อรูปพจรสัญญา ๑๒ โลกุตตรสัญญา ๘ ผสมเข้าเป็นสัญญา ๘๙ เท่ากันกับจิตมากนักหนาถึงเพียงนี้ นั้นแหละสมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาจารย์จึงจัดสัญญาเข้าเป็นกองหนึ่ง ได้ชื่อว่าสัญญาขันธ์
สังขารขันธ์นั้นได้แก่เจตนาเจตสิก ๆ นั้น มีลักษณะอันจะชักนำซึ่งจิตและเจตสิกทั้งหลายบรรดาที่เกิดพร้อมด้วยตน
เจตนานั้นเมื่อแจกออกไปโดยทวารนั้น แจกเป็นจักขุสัมผัสสชาเจตนา โสตสัมผัสสชาเจตนา ฆานสัมผัสสชาเจตนา ชิวหาสัมผัสสชาเจตนา กายสัมผัสสชาเจตนา มโนสัมผัสสชาเจตนา มโนสัมผัสสชาเจตนา ยกแต่เวทนาสัญญาเสียแล้วยังเหลืออยู่ ๕๐ นั้น จัดเป็นสังขารขันธ์สิ้นทั้งนั้น
พระพุทธโฆษาจารย์เจ้า เมื่อสำแดงรูปขันธ์ในที่ ๑ สำแดงวิญญาณขันธ์ในที่ ๒ เวทนาขันธ์ในที่ ๓ สัญญาขันธ์ในที่ ๔ สังขารขันธ์ในที่ ๕ ด้วยประฉะนี้
ลำดับนั้นจึงจำแนกอรรถาธิบายแห่งพระบาลีออกไปตามนัยแห่งพระอภิธรรมบทภาชนีย์ว่า
อทุธาสนฺตติสมยเขณวเสน จตุธา อตีตํ นาม โหติ ว่าเบญจขันธ์อันจะได้ชื่อว่าอดีต และอนาคต และปัจจุบัน มีกำหนดปริเฉท ๔ ประการ คือ อัทธาปริเฉทประการ ๑ สันตติปริจเฉทประการ ๑ สมยปริจเฉทประการ ๑ ขณปริจเฉทประการ ๑
อัทธาปริจเฉทนั้น กำหนดอัทธา ๓ ประการ คือ อดีตอัทธาประการ ๑ อนาคตอัทธาประการ ๑ ปัจจุบันอัทธาประการ ๑
ปฏิสนฺธิโต ปุพฺเพ อตีตํ กำหนดกาลอันเป็นเบื้องหลังในก่อน ตั้งแต่ปฏิสนธิในปัจจุบันภพนี้ไป ได้ชื่อว่าอดีตอัทธา
จตุโต อุทฺธํ กำหนดกานอันเป็นเบื้องหน้า ตั้งแต่จุติจิตในปัจจุบันภพนี้ได้ชื่อว่าอนาคตอัทธา
อุภินฺนมนฺตเร กำหนดกาลในระหว่างแห่งจุติและปฏิสนธิในปัจจุบันภพนี้ ได้ชื่อว่าปัจจุบันอัทธา กำหนดอัทธาทั้ง ๓ คืออดีตอัทธา อนาคตอัทธา ปัจจุบันอัทธา นี่แลได้ชื่อว่าอัทธาปริจเฉท
และสันตติปริจเฉทนั้น กำหนดสันตติ ๓ ประการ คือ อดีตสันตติประการ ๑ อนาคตสันตติประการ ๑ ปัจจุบันสันตติประการ ๑ เป็น ๓ ประการด้วยกัน
สภาคเอกอุตุสมุฏฺานเอกาหาวสมุฏฺานญฺจ ข้อซึ่งจะรู้กำหนดสันตตินั้น รู้ด้วยฤดูร้อนและเย็นอันยังบ่มิได้แปลก สมุฏฐานรูปอันยังมิได้แปลก รู้ด้วยอาหาร
อธิบายว่า ในระหว่างที่หนาวอยู่ และยังไม่กลับร้อน ร้อนอยู่และยังไม่กลับหนาวนั้นก็ดี ในระหว่างที่แสบท้องอยู่ยังมิได้บริโภคอาหารและยังไม่กลับอิ่มนั้นก็ดี ที่อิ่มอยู่ยังไม่กลับแสบท้องนั้นก็ดีกำหนดกาลในระหว่าง ๒ อย่างนี้ได้ชื่อว่าปัจจุบันสันตติ
ร้อนและเย็นที่แปลก อาหารสมุฏฐานรูปที่แปลก มีแล้วในเบื้องหลังแห่งปัจจุบันสันตติ ได้ชื่อว่าอนาคตสันตติ
กำหนดสันตติทั้ง ๓ คือ อดีตสันตติ อนาคตสันตติ ปัจจุบันสันตติ นี้แลได้ชื่อว่าสันตติปริจเฉท
และสมัยปริจเฉทนั้น กำหนดสมัย ๓ ประการ คือ อดีตสมัย อนาคตสมัย ปัจจุบันสมัย
เอกวิถึ เอกชวน เอกาสมาปตฺติสมุฏฺานํ นักปราชญ์พึงสันนิษฐานว่า กาลอันกามาพจรชวนเสวยอารมณ์ แห่งละวิถี ๆ นั้นจัดเป็นสมัยแต่ละอัน ๆ
ถ้าจะว่าฝ่ายสหรคตนั้น การที่เข้าสู่สมาบัติแต่ละครั้ง ๆ นั้น จัดเป็นสมัยแต่ละอัน ๆ
สมัยที่เป็นเบื้องหลัง ๆ นั้น ได้ชื่อว่าอดีตสมัย สมัยที่จักมีในเบื้องหน้านั้น ได้ชื่อว่าอนาคตสมัย สมัยที่ประกอบในปัจจุบันนี้ ได้ชื่อว่าปัจจุบันสมัย กำหนดสมัยปริจเฉท ๓ ประการฉะนี้
แลขณปริจเฉทนั้น กำหนดเป็น ๓ ประการ เป็นอดีตขณะ อนาคตขณะ ปัจจุบันขณะ เหมือนกัน อดีตขณะนั้นคือ ขณะจิตที่ดับในเบื้องหลัง ๆ อนาคตขณะนั้น คือขณะจิตที่จะบังเกิดในเบื้องหน้า ๆ ปัจจุบันขณะนั้น ขณตฺตยปริยาปนฺนํ คือขณะจิตอันประกอบด้วยขณะทั้ง ๓ คือ อุปปาทขณะ ฐิติขณะ ภังคขณะ ที่บังเกิดในปัจจุบัน
เป็นใจความว่าขันธ์ทั้ง ๕ ที่สมเด็จพระสรรเพชญ์พุทธองค์ตรัสเทศนามาเป็นอดีต อนาคต ปัจจุบันนั้น มีการสังเกตด้วยปริจเฉททั้ง ๔ คือ อัทธาปริจเฉท สมยปริจเฉท ขณปริจเฉท โดนพรรณามาฉะนี้
และลักษณะที่จะจัดรูปธรรม เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบันด้วยสามารถสันตตินั้น เฉพาะจัดแต่อุตุชรูป และอาหารชรูป และจิตชรูป
กามฺมสมุฏฺฐานสฺส อตีตาทิเภโท นตฺถิ และกัมมัชชารูปนั้นจะได้จัดเป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน ด้วยสามารถสันตติหาบ่มิได้ กัมมัชชรูปนั้นผู้อุปถัมภ์ค้ำชูทั้ง ๓ กองจะพลอยเป็น อดีต อนาคต ปัจจุบัน ก็เพราะอุปถัมภ์แก่อุตุชรูป อาหารรูป จิตชรูป
วิสัชนาในเบญจขันธ์ อันเป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน ยุติแต่เท่านี้
แต่นี้จะวิสัชนาด้วยเบญจขันธ์ภายในและภายนอกสืบต่อไป
นิยกชฺฌตฺตํปิ อชฺฌตฺตํ ปรปุคฺคลิกํปิจ พหิทฺธาติ เวทิตพฺพํ
นักปราชญ์พึงรู้ว่าขันธ์ทั้ง ๕ ซึ่งยุติในสันดานแห่งตนนี้แล ได้ชื่อว่าเบญจขันธ์ภายใน
และขันธ์ทั้ง ๕ ที่ยุติในสันดานแห่งบุคคลผู้อื่น ๆ นั้น ได้ชื่อว่าเบญจขันธ์ภายนอก