ประการหนึ่ง โสกเป็นอาทิก็บังเกิดเป็นแต่กามาสวะ ในขณะบุคคลวิโยคพลัดพรากพัสดุกามแลกิเลสกาม แลอาสวะทั้งหลายคือทิฏฐาสวะภวาสวะ ก็บังเกิดด้วยโสกปริเทวทุกขโทมนัสเหมือนกัน อันว่าเทพยดาทั้งหลายมีอายุยืน บริบูรณ์ด้วยสีสัณฐ์พรรณมากด้วยสุขสถิตสถาพรยืนนานในวิมานอันสูง อันว่าเทพยดาทั้งหลายนั้น ครั้นได้ฟังพระสัทธรรมเทศนาแห่งสมเด็จพระสุคตทศพลญาณถึงซึ่งภัยความกลัวสะดุ้งจิต เกิดสังเวชต่าง ๆ อันบังเกิดแก่เทพยดา เมื่อเบญจวรรณบุพพนิมิตบังเกิดนั้นครั้นแล้วก็เกิดอัสสาทะ มีกำลังด้วยฉันทราคะอาลัยในอุปปัตติภพ คือขันธ์อันบังเกิดแต่กรรมนั้นขณะนั้นภวาสวะก็บังเกิดอวิชชาสวะก็พลอยบังเกิด เหตุดังนั้นจึงได้ชื่อว่าโสกปริเทวะเป็นอาทิเป็นปัจจัยแก่อวิชชาด้วยประการดังนี้
เมื่ออวิชชาเป็นปัจจัยเป็นมูลมีแล้ว สังขารเป็นปัตยุบันก็มีอันบังเกิดด้วย สังขารเกิดแล้ววิญญาณก็เกิดด้วยตราบเท่าถึงชรามรณะใหม่เล่าเหตุผลเป็นปรัมปราสืบ ๆ แห่งเหตุผลสืบเนื่องกันหาที่สิ้นที่สุดลงมิได้เหตุ ฉะนั้นภวจักรมีองค์ ๑๒ มีอวิชชาเป็นต้น มีชรามรณะเป็นที่สุดนั้นประพฤติเป็นไป ผูกเนื่องด้วยเหตุแลผลหาที่สุดลงมิได้ จึงชื่อว่าสำเร็จกิจด้วยโสกเป็นอาทิ
มีคำปุจฉาต่อไปเล่าว่า เมื่ออวิชชาประพฤติเป็นไปหาที่สุดระหว่างลงมิได้ดังนั้น ถ้าจะว่าอวิชชาเป็นกลางอวิชชาเป็นปลายก็จะได้อยู่ คำที่ว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ดังนี้ กล่าวด้วยสามารถอวิชชาเป็นต้นก็ผิด
วิสัชนาว่าคำที่ว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา จะได้กล่าวด้วยสามารถเป็นต้นนั้นหามิได้ กล่าวไว้เป็นประธานต่างหาก เพราะเหตุอวิชชานี้เป็นประธานแก่วัฏฏะทั้ง ๓ คือ กิเลสวัฏฏ์ กัมมวัฏฏ์วิปากวัฏฏ์ เมื่ออวิชชาบังเกิดขึ้นด้วยวัตถุอารมณ์สัมผัส แลเกิดขึ้นด้วยอาสวะโสกเป็นอาทิก็ดี แลอวิชชานุสัยที่ยังละเสียมิได้ก็ดี อวิชชาเหล่านี้แลเป็นอาสันนะเหตุเป็นประธานที่จะให้วัฏฏะธรรมบังเกิด แลวัฏฏะทั้ง ๓ บังเกิดแล้วรัดรึงเกี่ยวกระหวัดไว้ในคนพาลในสังสารวัฏฏะอันแวดล้อมไปด้วยทุกข์ต่าง ๆ เหตุจับมั่นซึ่งอวิชชา คือว่ายังมิได้ละเสียซึ่งอวิชชาอันเป็นประธาน ดุจหนึ่งว่า ขนดตัวแห่งอสรพิษซึ่งกระหวัดเข้าซึ่งแขนแห่งบุคคล อันจับมั่นซึ่งศีรษะแห่งอสรพิษอันเต็มไปด้วยพิษมิได้ละเสียนั้น ต่อเมื่อใดตัดเสียได้ซึ่งอวิชชา ด้วยอรหัตตมรรคประหารแล้วก็พ้นจากวัฏฏะธรรมทั้ง ๓ ประกอบเมื่อนั้นดุจหนึ่งตัดศีรษะแห่งอสรพิษขาดแล้ว แลสละเสียซึ่งขนดตัวแห่งอสรพิษจากแขนนั้น สมด้วยวาระพระบาลี อวิชฺชยเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ แปลว่า สงฺขารนิโรโธ อันว่าความดับซึ่งสังขาร เหตุชื่อว่าอวิชชาหาเศษมิได้ ด้วยพระอรหัตแท้จริง เหตุดังนั้นจึงกล่าวว่าสังขารบังเกิดแต่อวิชชาเป็นปัจจัยนี้ ด้วยสามารถอวิชชาเป็นประธานธรรมเท่านั้น จะได้กล่าวด้วยสามารถเป็นต้นนั้นหามิได้ นักปราชญ์พึงรู้ว่าภวจักรหาที่สุดลงบ่มิได้ด้วยประการฉะนี้
อนึ่ง ภวจักรปราศจากผู้แต่งผู้กระทำรู้เสวยนั้นหตุใด แลสังขารเป็นอาทิที่เป็นผลนั้น ประพฤติเป็นไปแต่เหตุทั้งหลายมีอวิชชาเป็นอาทิสิ่งเดียว ภวจักรนั้นก็ไม่มีผู้ตกแต่งคือพรหมแลปชาบดีมเหศวรอันสัตว์นับถือ พระพรหมผู้ประเสริฐตกแต่งโลก เป็นโลกบิดาว่ามานี้ก็เปล่าสิ้นทั้งนั้น
อนึ่ง เปล่าจากตัวตน ผู้จะเสวยสุขทุกข์ทั้งปวง เหตุดังนั้นจึงได้ชื่อว่าภวจักรปราศจากผู้ตกแต่งผู้กระทำ ไม่มีบุคคลผู้เสวยด้วยประการฉะนี้
อนึ่งเล่า ภวจักรนี้สูญเปล่าจากสภาวะเที่ยงจริง เหตุมีเกิดแลดับอยู่ทุกเมื่อสูญจากสภาวะงาม เหตุเป็นธรรมอันเศร้าหมองกอปรไปในธรรมอันเศร้าหมองเปล่าจากสุข เหตุมีเกิดแลดับเบียดเบียนอยู่เป็นนิจนิรันดร์ สูญเปล่าจากตน ไม่ประพฤติตามอำนาจแต่งตน เหตุประพฤติเนื่องอยู่ด้วยปัจจัยของตน สังขารทั้งปวงมีอวิชชาเป็นอาทิมิใช่ตน มิได้เป็นของตนมิได้ในตนมิได้อำนาจแห่งตน จึงได้ชื่อว่าภวจักรเป็นสุญญตาสูญเปล่าด้วยประการดังนี้
เมื่อนักปราชญ์รู้แจ้งว่า ภวจักรมีองค์ ๑๒ มีอวิชชาสำเร็จด้วยโสกเป็นต้น มีเบื้องต้นมิได้ปรากฏ ปราศจากผู้กระทำเสวยเปล่าจากตัวตนดังนี้แล้ว พึงรู้ซึ่งมูล ๒ แลอัทธา ๓
มูล ๒ นั้น คือ อวิชชาเป็นมูล ๑ ตัณหาเป็นมูล ๑ เป็นมูล ๒
อัทธา ๓ นั้น คือ อดีตอัทธา ๑ ปัจจุบันอัทธา ๑ อนาคตอัทธา ๑ อวิชชาสังขารทั้งปวงนี้ จัดเป็นอดีตอัทธา วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภาวะ ๘ นี้จัดเป็นปัจจุบันอัทธา ชาติ ชรา มรณะ ๓ นี้ จัดเป็นอนาคตอัทธา