บทนำ   ความรู้เรื่องพระไตรปิฎก  เอกสารทางประวัติศาสตร์   ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก   พระวินัยปิฎก  

พระสุตตันตปิฎก   พระอภิธรรมปิฎก   พระไตรปิฎก ๔๕ เล่ม   ชาดก  คำค้นหาพระไตรปิฎก  ธรรมปฏิบัติ  



๑. ว่าด้วยหนัง

๒.ว่าด้วยยา
...ของฉันบางอย่าง
...ถอนข้ออนุญาต

๓.ว่าด้วยกฐิน

๔.ว่าด้วยจีวร

๔.ว่าด้วยเหตุการณ์

 

ทรงอนุญาตของฉันบางอย่าง

              ทรงอนุญาตให้ฉันน้ำอ้อยที่ใส่ขี้เถ้าใส่แป้งเล็กน้อย (เพียงเพื่อให้ยึดติดกัน) ทรงอนุญาตให้ฉันถั่วเขียว และข้าวต้มเปรี้ยวใส่เกลือได้ สำหรับภิกษุผู้ไม่เป็นไข้ ให้เจือน้ำดื่มได้.

ห้ามเก็บอาหารค้างคืนในที่อยู่ เป็นต้น

              พระผู้มีพระภาคทรงอาพาธด้วยโรคลมในท้อง. พระอานนท์ของา ข้าวสาร ถั่วเขียว ด้วยตนเอง เก็บค้างคืนไว้ในที่อยู่แล้วต้มเองในที่อยู่เสร็จแล้วถวาย พระผู้มีพระภาคทรงทราบ จึงตรัสห้ามเก็บอาหารค้างคืนในที่อยู่ (อันโตวุตถะป ห้ามหุงต้มอาหารในที่อยู่ (อันโตปักกะ) และห้ามหุงต้มเอง (สามปักกะ) ผู้ล่วงละเมิดต้องอาบัติทุกกฏ แต่การอุ่นของที่สุกแล้วอนุญาตให้ทำได้. ต่อมาเกิดข้าวยากในกรุงราชคฤห์ ทรงอนุญาตให้เก็บอาหารค้างคืนในที่อยู่, ให้หุงต้มอาหารในที่อยู่, ให้หุงต้มเองได้. (แต่เมื่อบ้านเมืองกลับสู่สภาพปกติ ก็ทรงห้ามการเก็บอาหารค้างคืนที่อยู่ เป็นต้นนั้นอีก ดังที่ปรากฏข้างหน้า).

              อนึ่ง ทรงอนุญาตว่า (ในการเดินทางไกล) เห็นผลไม้ตกอยู่ ถ้าไม่มีกัปปิยการก (ผู้จัดทำสิ่งที่ควร) ก็ให้เก็บนำไปเอง ต่อพบกัปปิยการก จึงให้วางบนพื้นดิน ให้เขาจัดถวายให้ฉันได้. ทรงอนุญาตให้รับประเคนผลไม้ที่เก็บมาเองได้. (ข้อนี้ต่อมาก็ทรงยกเลิกเช่นเดียวกับเรื่องการเก็บอาหารในที่อยู่).

ทรงอนุญาตเรื่องการฉันหลายข้อ

              ทรงอนุญาตให้ภิกษุที่ฉันเสร็จแล้ว บอกไม่รับอาหารที่เขาเพิ่มให้แล้ว ฉันอาหารที่ไม่เป็นเดน ซึ่งนำมาจากบ้านเจ้าภาพได้ (ห้ามไว้ในสิกขาบทที่ ๕ โภชนวรรค ปาจิตติยกัณฑ์ แต่ทรงบัญญัติเพิ่มเติมว่า ถ้าเจ้าภาพนำมาถวายที่วัดอีกให้ฉันได้). อนึ่งถ้าเขาถวายไว้ก่อนเวลาอาหาร และถ้าของนั้นเป็นของป่า ของเกิดในสระก็ทรงอนุญาตให้ฉันได้. อนึ่ง ผลไม้ที่ไม่มีพืช หรือที่ปล้อนพืชออกแล้ว ไม่มีใครทำให้ควรก็ทรงอนุญาตให้ฉันได้. (ในข้อหลังนี้ มุ่งเพียงไม่ให้ทำลายเมล็ดพืชของผลไม้ ถ้าฉันโดยไม่ทำลายเมล็ดพืชก็ทำได้).

ทรงห้ามทำการผ่าตัดหรือผูกรัดที่ทวารหนัก

              ทรงห้ามผ่าตัด หรือผูกมัดด้วยหนังหรือผ้า ภายในบริเวณ ๒ นิ้ว โดยรอบทวารหนัก ผู้ฝ่าฝืนต้องอาบัติถุลลัจจัย (เกี่ยวกับริดสีดวงทวาร).

ทรงห้ามฉันเนื้อที่ไม่ควร

              ๑. ทรงห้ามฉันเนื้อมนุษย์ ผู้ฉัน ต้องอาบัติถุลลัจจัย. ภิกษุจะฉันเนื้อสัตว์ ต้องพิจารณาก่อน ขืนฉัน ทั้งไม่พิจารณา ต้องอาบัติทุกกฏ. (นางสุปปิยาอุบาสิกาเห็นภิกษุอยากฉันเนื้อ หาเนื้อไม่ได้ จัดตัดเนื้อตนเองปรุงอาหารถวาย)

              ๒. ทรงห้ามฉันเนื้อสัตว์ที่ไม่สมควรอีก ๙ ชนิด คือ เนื้อช้าง, เนื้อม้า, เนื้อสุนัขบ้าน, เนื้องู, เนื้อราชสีห์ (สิงโต), เนื้อเสือโคร่ง, เนื้อเสือดาว, เนื้อหมีและเนื้อสุนัขป่า.

ทรงอนุญาตและไม่อนุญาตของฉันบางอย่าง

              ๑. ทรงอนุญาตข้าวยาคู และขนมผสมน้ำผึ้ง ทรงสรรเสริญข้าวยาคูว่ามีอานิสงส์มาก (ส่วนหนึ่งแปลไว้ในข้อความน่ารู้ ในหมายเลข ๖๒)

              ๒. ถ้าเป็นข้าวยาคู แบบข้น มีเนื้อข้าวมาก ที่เรียกว่าโภชชยาคู ซึ่งฉันได้อิ่ม ถ้ารับนิมนต์ฉันที่อื่นไว้ ห้ามฉันยาคูชนิดนี้ของผู้อื่น ก่อนไปฉันในที่นิมนต์

              ๓. ทรงแสดงธรรมโปรดเวลัฏฐะ กัจจานะ ผู้ถวายงบน้ำอ้อยแก่ภิกษุทั้งหลายให้ได้ดวงตาเห็นธรรม ปฏิญญาตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต ต่อมาทรงปรารภเรื่องงบน้ำอ้อย ทรงอนุญาตให้ภิกษุที่ป่วยไข้ฉันได้ แต่ภิกษุผู้ไม่ป่วยไข้ ให้ละลายน้ำฉัน.

เสด็จแสดงธรรมที่ปาฏลิคามและโกฏิคาม

              พระผู้มีพระภาคเสด็จจากรกุงราชคฤห์ไปยังปาฏลิคาม ทรงแสดงธรรมโปรดอุบาสกชาวปาฏลิคาม เรื่องโทษแห่งศีลวิบัติ (ความบกพร่องแห่งศีล) ของผู้ทุศีล และอานิสงส์แห่งศีลสัมปทา (ความสมบูรณ์ด้วยศีล) ของผู้มีศีล.

              มหาอำมาตย์แห่งมคธ ชื่อสุนีธวัสสการะ นิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เพื่อฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว พระผู้มีพระภาคเสด็จข้ามแม่น้ำคงคาไปยังโกฏิคาม (ตั้งอยู่ในแคว้นวัชชี) ทรงแสดงธรรมเรื่องอริยสัจจ์ ๔.

นางอัมพปาลีถวายป่ามะม่วง

              นางอัมพปาลี (ผู้เป็นหญิงนครโสเภณี) ได้เดินทางโดยขบวนยานจากกรุงไพศาลี (ราชธานีแห่งแคว้นวัชชี) ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงโกฏิคาม แล้วนิมนต์ฉันในวันรุ่งขึ้น. คณะกษัตริย์ลิจฉวีแห่งกรุงไพศาลี ก็เดินทางไปโกฏิคาม เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลนิมนต์ฉันในวันรุ่งขึ้น แต่พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์ของนางอัมพปาลีไว้ก่อนแล้ว คณะกษัตริย์ลิจฉวีขอร้องนางอัมพปาลีให้พวกตนได้เลี้ยงก่อน นางไม่ยอม. ในวันรุ่งขึ้นเมื่อถวายอาหารแด่พระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์เสร็จแล้ว จึงกราบทูลถวายป่ามะม่วงให้เป็นสังฆาราม.

สีหเสนาบดีเปลี่ยนศาสนา

              สีหเสนาบดีเป็ฯสาวกนิครนถ์ (ศาสนาเชน) ได้ฟังคณะกษัตริย์ลิจฉวีสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย ก็ใคร่จะไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค เมื่อไปปรึกษากับอาจารย์คือนครนถนาฏบุตร ก็ถูกห้ามปรามถึง ๓ ครั้ง ในที่สุดได้ตัดสินใจไปเฝ้าโดยไม่บอกอาจารย์. เมื่อได้ไปเฝ้ากราบทูลถามถึงข้อที่มีคนกล่าวหาพระผู้มีพระภาค ซึ่งได้ทรงชี้แจงโดยละเอียดแล้วทรงแสดงธรรมโปรด. สีหเสนาบดีได้ดวงตาเห็นธรรม (เป็นโสดาบันบุคคล) และได้นิมนต์ฉันภัตตาหารในวันรุ่งขึ้น. พวกนิคนถ์เที่ยวพูดว่า สีหเสนาบดีฆ่าสัตว์มาทำเป็นอาหารเลี้ยงพระ พระสมณโคดมรู้อยู่ก็ยังฉันเนื้อสัตว์นั้น. สีหเสนาบดีได้ทราบก็ปฏิเสธว่าไม่เป็นจริง แล้วก็ถวายอาหารแด่พระผู้มีพระภาค พร้อมทั้งภิกษุสงฆ์ต่อไปจนเสร็จ.

              พระผู้มีพระภาคทรงปรารภเหตุนั้น จึงทรงบัญญัติพระวินัย ห้ามฉันเนื้อสัตว์ที่เขาฆ่าทำถวายเจาะจงภิกษุ ทรงปรับอาบัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้ฉัน และทรงอนุญาตปลาและเนื้อที่บริสุทธิ์โดยเงื่อนไข ๓ ประการ คือ ไม่ได้เห็น, ไม่ได้ฟัง, ไม่ได้นึกรังเกียจ (ว่าเขาฆ่าเพื่อให้ตนบริโภค).


๑. ข้าวเปรี้ยวใส่เกลือ แปลจากคำว่า โลณโสจิรกํ ในฉบับยุโรป เป็น โลณโศวีรกํ คำว่า โสวีรก ในสันสกฤต เป็น เสาวีรก (sour gruel) ใช้เป็นอาหารอ่อนสำหรับคนไข้

บทนำ   ความรู้เรื่องพระไตรปิฎก  เอกสารทางประวัติศาสตร์   ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก   พระวินัยปิฎก  

พระสุตตันตปิฎก   พระอภิธรรมปิฎก   พระไตรปิฎก ๔๕ เล่ม   ชาดก  คำค้นหาพระไตรปิฎก  ธรรมปฏิบัติ