ตอนที่ ๑๑

            ธรรมานุปัสสนามหาสติปัฏฐานตอนนี้ พระพุทธเจ้าตรัสถึงเรื่องนิวรณ์ห้าว่า

  1. กามฉันทะ ความพอใจในรูปเสียงกลิ่นรสและสัมผัส กามแปลว่าความใคร่ มีความใคร่ในรูปสวย ๆ ในเสียงเพราะ ๆ ในกลิ่นหอม ๆ ในรสอร่อย และสัมผัสที่นิ่มนวลที่เราต้องการ บางคนต้องการแข็ง ได้รับสัมผัสแข็ง บางคนต้องการนิ่มนวล ได้รับสัมผัสนิ่มนวล
  2. พยาบาท คือความโกรธแล้วก็คิดจองล้างจองผลาญคนอื่น คิดจะประทุษร้าย คิดจะด่าเขาบ้าง คิดจะตีเขาบ้าง คิดจะฆ่าเขาบ้าง คิดจะกลั่นแกล้งให้เขาเสียบ้าง นี่เป็นอารมณ์คิด
  3. อุทธัจจะกุกกุจจะ อารมณ์ที่คิดนอกลู่นอกทาง ฟุ้งซ่านไปหาเหตุหาผลไม่ได้ นอกเหตุนอกผล ตั้งใจไว้ว่าเจริญในอานาปานสติกรรมฐานก็ดี เราคิดไว้ว่า แต่ไปเอาเรื่องราวภายนอกคิดแทรกเข้ามานี้เป็นอาการของอุทธัจจะกุกกุจจะ
  4. ถีนมิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอน จะเจริญสมถะก็ดี วิปัสสนาก็ดี หรือจะคิดสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผลก็ดี ความง่วงเหงาหาวนอนมันเข้ามาตัด
  5. ความสงสัย เรียกว่าวิจิกิจฉา สงสัยว่าผลที่เราทำนี้มันจะได้หรือไม่ได้ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านี่จริงหรือไม่จริง

            อาการของนิวรณ์ 5 อย่างนี้ขอรับพระคุณเจ้าที่เคารพ เป็นอาการที่กันความดี เป็นอาการของ อวิชชา คือ ความโง่ หรือโมหะ ความหลง
            คำว่า นิวรณ์ มันก็มาจากอวิชชา ความโง่ คนที่ว่าสวยที่สุดในโลก มันทรงความสวยอยู่ได้บ้างหรือเปล่า สภาพของรูปมันไม่ทรงสภาพอย่างนี้ มีความเสื่อมไปแล้วก็มีการสลายตัว
            กามฉันทะ ตัวนี้มันมาสอนจิตให้เห็นว่ารูปสวย แล้วให้เข้าใจว่าสวยตลอดเวลา เป็นความโง่ เสียงที่ผ่านหูไปแล้วก็หายไป มันเป็นสภาพอนัตตาอยู่เสมอ มันไม่คงสภาพ ฟังเสียงเพราะๆ ชอบใจ เสียงนั้นหยุดแล้วก็ต้องหาฟังใหม่ กลิ่นนี่เป็นสภาพเหมือนกัน รสก็เหมือนกัน กลิ่นผ่านจมูกนิดแล้วก็หายไป รสผ่านลิ้นหน่อยแล้วก็หายไป แล้วการสัมผัสที่ต้องการก็เหมือนกัน ที่ถูกต้องขณะสัมผัสก็ชื่นใจ แต่พอเลิกสัมผัสแล้วก็เปล่า เหลว นี่มันไม่มีอะไรคงสภาพ
            ความพยาบาท ที่คิดจะไปพิฆาตเข่นฆ่าคนอื่น จะไปฆ่าเขาทำไม จะไปโกรธเขาทำไม จะไปเกลียดเขาทำไม คนเกิดมามันก็มีดีมีชั่วเหมือนกัน เพราะอาศัยมีความโง่เสมอกัน
            ถีนมิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอน ความง่วงเหงาหาวนอน จะหากินทางโลกก็ตามทางธรรมก็ตาม ถ้าง่วงเสียแล้วมันก็ไม่มีท่า
            อุทธัจจะ กุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านความคิดพล่านเกิดขึ้นแก่จิต นี่เราคิดว่าจะไถนา พอคิดเรื่องไถนาเข้าแล้วไม่เอาแล้ว ไปคิดเรื่องสุ่มปลามาแทน
            วิจิกิจฉา ความสงสัย ที่พระพุทธเจ้าเทศน์ไว้นี่จริงหรือไม่จริงแล้วคำสั่งสอนที่ในพระไตรปิฎกเป็นของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า อย่างพระสูตรก็ดี ชาดกก็ดี นี่จริงหรือเปล่า
            ตอนมหาสติปัฏฐานสูตรตอนธรรมานุปัสสนานี่ พระพุทธเจ้าทรงสอนให้มีสัมปชัญญะว่านี่กามฉันทะมันเกิดขึ้นกับใจเราแล้วหรือยัง กามฉันทะนิวรณ์ ถ้าไม่มีก็จงรู้ว่าไม่มี ถ้ามีก็จงรู้ว่ามี แล้วพยาบาทความโกรธ ถีนมิทธะความง่วงเหงาหาวนอนหรือความฟุ้งซ่านในอารมณ์ของจิต ความสงสัยในพระรัตนตรัย มันเกิดมีในจิตหรือเปล่า ถ้ามันเกิดขึ้นจงรู้ว่ามันเกิดขึ้น แล้วหาทางระงับเสีย แล้วขณะใดถ้านิวรณ์มันว่างจากจิต เราก็มีอารมณ์รู้ว่านิวรณ์ว่างจากจิต อารมณ์ผ่องใสมีอาการจิตสบาย เราไม่มีในขันธ์ 5 ขันธ์ 5 ไม่มีในเรา เราไม่มีฉันทะความพอใจในรูปเสียงกลิ่นรสและสัมผัสใด ๆ พระพุทธเจ้าทรงสอนให้รู้นิวรณ์ ทั้ง 5 ประการก็เพราะว่า เมื่อรู้อยู่ว่ามันจะเกิด ก็กันไม่ให้มันเกิด มันเกิดแล้วก็ทำลายมันเสีย เมื่อทำลายมันแล้วก็ทำลายให้มันสิ้นไป ไม่ให้มันเกิดอีก ถ้านิวรณ์ 5 ประการไม่เกิดกับจิต อารมณ์ของจิตว่างจากนิวรณ์เมื่อไหร่ ก็ชื่อว่าจิตของท่านทรงปฐมฌานเป็นอย่างต่ำ