ตอนที่ ๑๓

            ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย อันได้แก่อายตนะภายใน 6 และอายตนะภายนอก 6 อย่างนี้ คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้จักจักษุ รู้จักรูป รู้จักสังโยชน์ ที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยจักษุกับรูป รู้ความเกิดแห่งสังโยชน์ซึ่งยังไม่เกิด มีอยู่อย่างใด ก็รู้อย่างนั้น การละสังโยชน์ที่เกิดแล้ว มีอยู่อย่างใดก็รู้อย่างนั้น ความไม่เกิดอีกต่อไปแห่งสังโยชน์ที่ละแล้ว มีอย่างไรก็รู้อย่างนั้น นี่เป็นถ้อยคำของพระพุทธเจ้าที่ตรัสกับภิกษุอายตนะมีอยู่ 2 อย่างทั้งภายใน และภายนอก คือ ภายในมี 6 ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นะขอรับ ข้างนอก 6 ก็ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส ธรรมนี่มี 6 อย่างด้วยกัน
            สังโยชน์แปลว่ากิเลสเป็นเครื่องร้อยรัด เรียกว่ามันทั้งร้อยทั้งรัดเกาะแน่นเลย เพราะอะไร เพราะลูกตาเป็นสื่อสำคัญ ตาเห็นรูปชอบรูป หูได้ยินเสียงชอบเสียง จมูกได้กลิ่น ชอบกลิ่น ลิ้นได้รส ชอบรส กายกระทบกระทั่งชอบสัมผัส เมื่อตาเห็นรูปติดรูป สังโยชน์มันเกิดอย่างนี้ หูฟังเสียงติดเสียง เสียงอะไร เสียงชมก็ติด เสียงด่าก็ติด เสียงชมก็ติด ติดชื่นใจ เสียด่าติด ติดเจ็บใจ จมูกดมกลิ่น ชอบใจกลิ่น หรือติดกลิ่น ถ้ากลิ่นหอมชอบใจ ถ้ากลิ่นเหม็นก็รังเกียจ คิดไม่หาย ลิ้นกระทบของก็ติดรส แล้วกายกระทบกระทั่งก็ติดสัมผัส เมื่อสังโยชน์เป็นกิเลสมาร้อยรัดแล้ว จงรู้ว่ามันเกิดขึ้นแล้ว ตอนนี้เป็นสัมปชัญญะ เป็นสมถะ สมถะเป็นกำลัง วิปัสสนาเป็นอาวุธ นำมาฆ่ากิเลสให้ตาย สังโยชน์มันมีอยู่ 10

  1. สักกายทิฏฐิ มีความหลงผิดเข้าใจว่าขันธ์ 5 คือร่างกายนี้เป็นเรา เป็นของเรา เรามีขันธ์ 5 ขันธ์ 5 มีในเรา ก็คิดว่าร่างกายของเรานี่มันไม่ตายหรอก มันไม่ตาย มันไม่ยอมตาย มันไม่ยอมสลายตัว มันอยู่กับเราตลอดเวลา แล้วก็ร่างกายของบุคคลอื่นก็เหมือนกัน ที่เราชอบเรารัก คิดว่าเขาจะไม่ตาย คิดว่าเขาจะไม่เปลี่ยนแปลง เขาจะอยู่กับเราตลอดเวลา นี่เป็นความคิดของบุคคลผู้เป็นเหยื่อของวัฏฏะ หมายความว่าเป็นเหยื่อของกิเลส
  2. วิจิกิจฉา สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้า
  3. สีลัพตปรามาส นี่ได้แก่การรักษาศีลไม่จริง
  4. กามฉันทะ มีความพอใจในรูปเสียงกลิ่นรสและสัมผัสตามที่อายตนะกระทบกระทั่ง รักอยากได้มาเป็นผัวเป็นเมีย อยากเคล้าเคลียอยู่คู่ครอง
  5. ปฏิฆะความพยาบาท ความกระทบกระทั่งจิต ความไม่ชอบใจที่เขาทำไม่ถูกใจเรา หรือพยาบาทการจองล้างจองผลาญ นี่ถ้ามันไม่ถูกใจละก็คิดอาฆาต
  6. รูปราคะ หลงอยู่ในรูปฌาน คิดว่าฌานเป็นของวิเศษ
  7. อรูปราคะ หลงในอรูปฌาน
  8. มานะ การถือว่าเราเสมอเขา เราดีกว่าเขา เราเลวกว่าเขา
  9. อุทธัจจะ อารมณ์จิตฟุ้งซ่าน คิดนอกลู่นอกทาง
  10. อวิชชา ความโง่
ตัดสังโยชน์ 10 นี้ ก็สามารถเข้าพระนิพพานได้
            สักกายทิฏฐิ ตามที่พูดมาแล้วในขันธวรรค หรือขันธบรรพ ที่พระสารีบุตรบอกกับบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย ตัดสักกายทิฏฐิได้ตัวเดียวไปนิพพานได้ จะเป็นพระโสดาก็ได้ เป็นอานาคาก็ได้ สมมุติว่าตาเป็นรูป มันเกิดรักรูปเข้า ทีนี้รูปไหนล่ะที่เรารัก ไปยืนเปรียบเทียบดู มองดูว่าเรามีเท้าเขามีเท้าหรือเปล่า เรามีหนังเขามีหนังหรือเปล่า เรามีตามีหู มีจมูกมีฟัน มีเลือดมีเสลด มีน้ำเหลือง แล้วเขามีหรือเปล่า เมื่อมันเกิดมาใหม่แล้ว มันเก่าหรือเปล่า รูปคนรูปบ้านเราชอบใจเดี๋ยวเราก็ละ มันเก่าแล้วเราก็ไม่ชอบ เครื่องประดับประดา ประเดี๋ยวก็หยิบประเดี๋ยวก็วาง ไอ้ที่ติดมากนี่คือรูปคน รูปคนนี้ไม่ใช่ชอบรูปอย่างเดียว ชอบลูบชอบคลำเสียด้วย ชอบสัมผัสนี้มันชอบมาก ทีนี้ ตัวรูปตัวนี้แหละไปลองคลำ ๆ ดูว่าเขามีเหมือนเรา นึกเข้าไปในท้องดูว่าเขามีอะไรเหมือนเราไหม ถ้ามีแล้วก็ลองพิจารณาดูว่ารูปนี้สะอาดหรือสกปรก น่าประคับประคองหรือเปล่า แล้วก็ดูต่อไป รูปนี้มีอาการเปลี่ยนแปลงไหมนะ แล้วในที่สุดมันพังไหม เมื่อพังแล้วมันก็สะอาดหรือมันเก่า มันผุมันเปื่อย มันเหม็นหรือมันหอม หาความเป็นจริง นี่เรียกว่ารูปภายนอกที่เราชอบนะ รูปภายในคือร่างกายของเรา ว่ามันทรงสภาพไหม มันเปลี่ยนแปลงไหมแล้วมันจะตายไหม ถ้ารู้ว่ามันจะเปลี่ยนแปลง มันจะตาย มันจะสกปรก แล้วก็มันไม่เป็นมิตรที่ดีสำหรับเรา จะชอบมันทำไมโมกขธรรม คือธรรมเป็นเครื่องพ้นจากความตายมีอยู่ ทำไมจึงไม่ชอบ นั่นก็คือพระนิพพาน ทำใจยังไงจึงจะเห็นชัด นวสี 9 คือ อสุภกรรมฐานมา เอาธาตุ 4 มา เอาปฏิกูลสัญญามาช่วยประกอบ เวลาเจริญวิปัสสนาญาณต้องเอาสมถะมาช่วยประกอบ ถ้าตัดรูปไปได้ตัวเดียว เห็นแล้ว ว่าจะต้องเสื่อม ต้องตาย คิดบ่อย ๆ ให้ชิน พิจารณาให้เห็น หนัก ๆ เข้ามันก็จะมีความรังเกียจคล้าย ๆ รังเกียจสิ่งโสโครก คืออสุภกรรมฐาน ได้แก่คนเน่าคนเปื่อย สุนัขเน่าสุนัขเปื่อยนั่นเอง เมื่อเกิดนิพพิทาญาณความเบื่อหน่ายแล้ว ต่อมาสังขารุเปกขาญาณ ความวางเฉยในสังขารมันก็ปรากฏ ในร่างกายนะ ก็เชิญป่วยซี มียาฉันก็รักษา หายก็หาย ไม่หายก็ตามใจนายซิ ตามใจ จะตายรึ? ก็ตามใจซี ฉันรู้แล้วนี่ ว่าแกจะตาย ไอ้แกกับฉันนี่ชาตินี่ชาติเดียว เป็นชาติสุดท้ายนะ ต่อไปเลิกคบกัน เราไม่ต้องการ ท่านโคทิกะบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา บวชมาแล้วได้แต่เพียงฌานโลกีย์ ไม่ได้อรหัตตผล พระโสดาก็ไม่ได้ เกิดความป่วยไข้ไม่สบายอย่างหนักบวมทั้งตัว ในที่สุดก็เกิดเบื่อสังขาร เบื่อขันธ์ 5 คิดว่าเกิดมาทันพระพุทธเจ้าแล้วขันธ์ 5 ยังเป็นโทษ เลยไม่ต้องการขันธ์ 5 อีก คิดว่าชาตินี้ชาติเดียว เราเป็นเหยื่อของขันธ์ 5 ชาติหน้าขันธ์ 5 ไม่มีสำหรับเรา เมื่อไม่ต้องการความเกิดอีกทั้งหมด ขึ้นเชื่อว่าขันธ์แล้วไม่ต้องการ เลยเอามีดโกนเชือดคอตาย ไปนิพพาน ในหลักสูตรนักธรรมโทนี่การไปนิพพานมีนิพทิทาญาณ สังขารุเปกขาญาณเสียหน่อยเดียว ก็ไปได้ ทีนี้เมื่อตัดสักกายทิฏฐิได้แล้ว เสียง กลิ่น รสสัมผัสก็เหมือนกัน ตัดได้หมด ให้ตัดรูปเสียงเถอะ ไอ้เสียงมันก็มาจากรูป ไอ้รสแห่งการสัมผัส รสกระทบลิ้นมันก็มาจากรูป ไอ้สัมผัสมันก็มาจากรูป ทำไมว่ารสมาจากรูป กินรูปเข้าไปได้รึ? ก็กินปลากินหมูนี่ไม่ใช่รึ กินผักกินน้ำพริกน่ะ มันรูปทั้งนั้นแหละ จะไปเอาแต่รูปคนยังไงเล่า นี่มันก็เป็นรูปด้วยกันหมดแหละ เมื่อตัดสักกายทิฏฐิได้แล้ว ต่อไปเมื่อมีความสงสัยในคำสอน ก็นึกว่านี่เราเห็นตามจริงพระพุทธเจ้าแล้วนี่ ท่านกล่าวว่า คนเกิดแก่เจ็บตายเหมือนกันหมด ก็เลิกสงสัย ทีนี้ ถ้าเราจะเอาดีแล้ว เห็นดีแล้วตามพระพุทธเจ้าก็นึกว่า
            ศีลนี่แหละจะนำเราไปพระนิพพาน กำลังใจมันก็เกิด ก็รักษาศีลได้
            กามฉันทะ เรากำจัดความพอใจในรูปเสียงได้แล้วกามฉันทะมันก็หมดไป ถ้ามีอารมณ์ที่เป็นอนุสัย ก็ค่อย ๆ คิด มันก็หายไป แล้วมาพยายาม โอ๊ มันจะเกิดมาได้ยังไงเล่าก็เรารู้ว่าเขาจะตาย เขาก็ต้องเจ็บเขาเอง มันก็หายไป ทีนี้ ถ้าอารมณ์จับพระนิพพานแล้วนี่ตอนนี้ เป็นพระอนาคามีแล้วนี่แหละ กำจัดพยาบาทได้เป็นพระอนาคามีแล้ว รูปราคะในปฐมฌานในรูปฌานก็ดีหรืออรูปราคะในอรูปฌานก็ดี อย่าคิดว่าฌานเป็นของเลิศประเสริฐไม่มีสิ่งอื่นยิ่งกว่า มันคิดไม่ได้แล้ว เพราะวิปัสสนาญาณที่มีกำลังสูงกว่ามีความบริสุทธิ์กว่าเข้าถึงแล้ว เหมือนกับเรียนมัธยมแล้วเห็นว่าชั้นประถมไม่สำคัญหมายความว่าชั้นประถมไม่ใช่ชั้นเลิศ ต้องเรียนชั้นอุดมต่อไป
            มานะ เมื่อรู้ว่าคนคนเหมือนกันแล้ว มานะมันจะเกิดที่ไหน อุทธัจจะความฟุ้งซ่านก็เหมือนกัน ในเมื่ออารมณ์จับพระนิพพานแล้วความฟุ้งซ่านไม่มี มีอย่างเดียว คืออย่างที่อื่นไม่เห็นด้วย เห็นด้วยเฉพาะนิพพานเท่านั้น จับเฉพาะพระนิพพานจิตไม่คลาดจากพระนิพพาน อย่างนี้เรียกว่าไม่มีอุทธัจจะ อวิชชาความโง่ เมื่อรู้มาแค่นี้แล้วมันจะโง่ยังไง ไม่มีการโง่หรอก ไม่ต้องไปตัดหรอก มันตัดหมดของมันเอง นี่เป็นอันว่าอายตนะทั้ง 6 ต้องตัดด้วยสักกายทิฏฐิ สังโยชน์ที่เกาะร้อยรัดจึงจะหมดไป