ตอนที่ ๑๕

            อริยสัจที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ จัดว่าเป็นยอดของธรรม อริยสัจตัวนี้เป็นตัวบรรลุมรรคผล
            อริยะ แปลว่าประเสริฐ หรือสะอาดหมดจดบริสุทธิ์ สัจจะ แปลว่าความจริง ที่เข้าถึงความสะอาดหมดจด หรือความประเสริฐนี้ได้ หรือจะแปลว่าความจริงที่พระอริยเจ้าทรงค้นพบก็ได้ หรือพระอริยเจ้าทรงเห็นแล้วก็ได้ ว่ายังไงก็ได้ คำแปลไม่สำคัญ สำคัญว่าเราเข้าถึงอริยสัจหรือเปล่า ตัวนี้สำคัญ อย่ามัวไปเถียงกันเรื่องคำแปล แปลว่ายังงั้นถูก แปลว่ายังงั้นผิด แต่ไอ้ใจของเรามันคิดถูกหรือคิดผิด มันปลงถูกหรือปลงผิด ดีกว่าไปเถียงกันเรื่องคำแปล
           อริยสัจนี้มีอยู่ 4 อย่าง คือ

  1. ทุกขสัจ
  2. สมุทัยสัจ
  3. นิโรธสัจ
  4. มรรคสัจ
มี 4 อย่างด้วยกัน จะพูดถึงทุกขสัจ
            สัจจะ แปลว่าความจริง ทุกขะ แปลว่าทนได้ยาก อะไรก็ตามที่จำจะต้องทน สิ่งนั้นเป็นทุกข์ทั้งนั้น แล้วก็อย่ามานั่งเถียงกันนาว่า อะไรบ้างต้นทนอย่างที่กำลังนั่งอยู่ก็ดี กำลังนอนอยู่ก็ดี ฟังอยู่ก็ดี ถ้านั่งตามสบายยังไม่ทุกข์ ถ้าถึงกับต้องทนนั่งละก็เป็นทุกข์ละ ถ้ารู้สึกปวดโน่นเข้ามานิด ปวดนี่เขามาหน่อย เมื่อยโน้นเข้ามานิด เมื่อยเข้ามาหน่อย อันนี้ก็เป็นทุกข์ เพราะมันต้องทน หรือบางท่านที่กำลังนั่งฟังอยู่นี่ บางคนก็เป็นไข้หวัดลงคออย่างผม เสียงแหบเสียงแห้งมีเสมหะที่คอไม่หลุด อาการรำคาญเกิดขึ้น อย่างนี้มันเป็นทุกข์ นี่เป็นอาการของความทุกข์ ผมชี้ทุกข์กันเลยนะมันเป็นความจริง สัจจะแปลว่าความจริง มันทุกข์จริง ๆ ถ้าจะมาบอกว่านี่มันยังทนได้ไม่ชื่อความทุกข์ ถ้าหากท่านที่กำลังนั่งฟังอยู่นี่ หิวข้าวหิวน้ำขึ้นมาก็เกิดควาทุกข์ เห็นหรือยังว่ามันทุกข์ ทีนี้ถ้าปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะก็เป็นทุกข์ อย่าทนนะ ถึงทนก็ทนได้ยาก ทนได้ไม่นานก็ต้องไปปล่อยมัน ถ้าความหนาวปรากฏ ความร้อนปรากฏ ความกระสับกระส่ายปรากฏ นี่ก็เป็นอาการของความทุกข์
            ตั้งแต่เกิดมานี่ ใครเคยมีความสุขจริง ๆ บ้าง เอากันความสุขเฉพาะวัน เอาละ สมมติว่าวันนี้ที่ท่านตื่นมาวันพุธ แล้วก็ตั้งใจคิดว่าวันนี้จะฟังธรรมะในมหาสติปัฏฐานสูตรทั้งสี่ที่ผมมาพูด ทีนี้พอท่านตื่นนอนขึ้นแต่เช้าตรู่อาการที่หลับไปแล้ว ตื่นขึ้นมาหายอาการจากเพลีย ทีนี้ตื่นใหม่ ๆ มันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ล่ะขอรับ ลองนั่งนึก ว่ามันเป็นสุขเป็นทุกข์ ขี้ตาที่กรังหน้าอยู่ ขี้ฟันที่กรังปากอยู่ กลิ่นในปากไม่ดี หน้ากรัง ตามีขี้ตา ถ้าจะทิ้งมันไว้จะเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ มันจะเกิดความรำคาญไหม ถ้าเกิดความรำคาญละก็ นั่นไม่ใช่ความสุขหรือเป็นทุกข์ มันจะเกิดความรำคาญไหม ถ้าเกิดความรำคาญละก็ นั่งไม่ใช่ความสุขหรอกขอรับ เป็นความทุกข์แน่ นี่เป็นตัวทุกข์ตัวหนึ่งละ มันทุกข์เพราะรำคาญขี้หู ขี้ตา ขี้ฟัน เพราะปากเหม็น เราก็ต้องเดินไปล้างหน้า อาการที่เดินไปหยิบขันตักน้ำมาล้างหน้าต้องทำงาน ต้องมีอาการเครียดตัวส่วนใดส่วนหนึ่งเข้าไว้ คือว่ายืน หรือว่านั่ง มือซ้ายถือขัน มือขวาวักน้ำมาล้างหน้าหรือถือแปรงแปรงฟัน อาการที่ต้องทำแบบนี้ ถ้าไม่เลิกมันก็เหนื่อย มันก็เป็นทุกข์เหมือนกัน ทำน้อย ทุกข์น้อย ทำมาก ทุกข์มาก ทำนาน ทุกข์นาน ทำทั้งวัน ทุกข์ตลอดทั้งวัน เพราะมันเหนื่อยมันเมื่อยแต่นิด ๆ เราอาจจะยังไม่คิด แต่มันเป็นอาการของความทุกข์ ที่นี้ล้างหน้าแล้วแปรงฟันแล้ว หายจากความทุกข์ หน้ากรัง ฟันเหม็น ปากเหม็น หมดทุกข์ไปได้ชั่วขณะ อะไรมันตามมา ดีไม่ดีเจ้าตัวอุจจาระปัสสาวะมันจะโผล่หน้ามา มันก็จะต้องบอกว่า นี่ รีบนำฉันไปปล่อยเสียนะ ถ้าแกไม่รีบปล่อยฉัน ฉันจะจัดการให้แกขายขี้หน้าชาวบ้าน อาการอย่างนี้มีหรือเปล่าละขอรับ วัน ๆ หนึ่งมีไหม ปวดอุจจาระ ปัสสาวะ ถ้ามีก็จัดว่าเป็นทุกข์นะขอรับ นี่วันหนึ่งละนะ ในวันหนึ่งเราจัดว่ามีความสุขอะไรบ้าง ต่อมาสายนิด ชักหิวข้าว ถ้าเราไม่ไปกินมันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ขอรับ มันก็เป็นทุกข์นะขอรับ ถ้าไม่กิน กินเข้าไปแล้วก็สุขประเดี๋ยวเดียว สุขแค่อิ่ม สุขแล้วต่อไปมันก็หิวอีก ตอนกลางวันหิวเราก็ไปกินมันใหม่ มันก็สุขไปนิดเดียว แล้วตอนเย็นมันก็หิวอีก หิวแล้วกราก็กินมันใหม่ กินแล้วไม่ช้ามันก็หิวอีก นี่ มันไม่มีจังหวะพ้นจากความทุกข์ หิวเมื่อไรทุกข์เมื่อนั้น นี่เอาแต่ทุกข์ประจำวันกันก่อน ทีนี้มาตอนรับประทานอาหารแล้ว มีงานที่จะต้องทำอย่างบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท จะต้องไปทำนาบ้าง ไปค้าขายบ้าง ไปรับราชการบ้าง หรือว่าต้องดูแลลูกหลายอยู่กับบ้านบ้าง การทำงานนี่มันเหนื่อยไหม ลองคิดดูบรรดาพระเจ้าพระสงฆ์ก็ต้องเข้าห้องเรียนศึกษาบ้าง ท่องหนังสือสวดมนต์บ้าง บางทีพวกที่เป็นหมอก็เตรียมยาไว้ เตรียมเวทย์เตรียมมนต์ไว้ ท่านที่เป็นนักเทศน์นักธรรมก็ค้นคว้าตำรับตำรา อาการอย่างนี้มันเป็นอาการเหนื่อยหรือเปล่าขอรับ เหนื่อยไหมบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทเวลาไปทำงานทำการมันเหนื่อยหรือเปล่า เหนื่อยทั้งกำลังกายแล้วก็เหนื่อยทั้งอารมณ์ ลองคิดดูให้ดี ทำงานแบกหาม ไม่ใช่ว่าไม่ต้องใช้ความคิด มันต้องใช้ความคิดเหมือนกัน จะแบกยังไงจะดี จะหามยังไงจะดี จะไถนาที่ตรงไหน จะหว่านข้าวที่ตรงไหน นี่อารมณ์มันต้องคิด อย่างพระคุณเจ้าที่ค้นคว้าตำรับตำราจะเป็นธรรมวินัย หรือตำราหมอดู ตำราหมอยา ตำราหมอเวทย์มนต์ก็ตาม มันก็เหนื่อยอารมณ์เหมือนกัน ไอ้การเหนื่อยนี่เป็นสุขหรือเป็นทุกข์เล่าขอรับ มันก็เป็นทุกข์นะขอรับ เห็นทุกข์หรือยัง นี่กว่าเราจะหลับลงไปได้ บางทีเรายังต้องเป็นทุกข์ เพราะอารมณ์ที่ไม่ถูกใจอีก เพื่อนของเราที่มีอยู่ประจำโลก มีอยู่ประจำบ้าน มีอยู่ประจำตัว ได้แก่คนอีกคนหนึ่งนะขอรับ ไม่ใช่ตัวเรา นี่บางทีก็สร้างอารมณ์ความดีใจให้ปรากฏบางทีสร้างอารมณ์ข้องใจให้ปรากฏในวันเดียวกัน อารมณ์ของเราก็ไม่ทรงตัว การเกิดความข้องในอารมณ์มันเป็นความสุขใจหรือทุกข์ใจขอรับ อย่างนี้ก็จัดว่าเป็นความทุกข์นี่เป็นอันว่า วันหนึ่งนี่เราหาความสุขจริงๆ ไม่ได้เลย นี่เอากันแค่วันหนึ่งนะนี่เรื่องธรรมดา ๆ ทีนี้ต่อมาไอ้การป่วยไข้ไม่สบาย ถ้ามันปรากฏ อย่างผมนี่ เอาผมเป็นตัวอย่าง อย่างผมนี่เวลาจะมาพูดกับพระคุณเจ้านี่ไข้มันจับมาก่อนนะขอรับ อาการหนาว ๆ อย่างนี้นะขอรับ มันเป็นไข้ ไข้แล้วก็หวัดด้วย แล้วก็เสมหะปะคอ พระคุณเจ้าและบรรดาญาติโยมที่รักที่กำลังนั่งฟัง ได้เคยป่วยไข้ไม่สบายไหม เคยมีไหม ถ้าไม่เคยมีก็บุญตัว ถ้าเคยมีลองนึกทบทวนไปดูว่าอาการมันเป็นยังไง ความทุรนทุรายใจมันปรากฏความทุรนทุรายกายมันปรากฏ แล้วอาการอย่างนี้มันเป็นความสุขหรือความทุกข์ล่ะขอรับ กรุณานั่งคิดด้วยนะขอรับ ว่านี่มันสุขหรือมันทุกข์
            ทีนี้มาว่ากันถึง ร่างกายมันเปลี่ยนแปลง ตอนเป็นหนุ่มเป็นสาวไม่ต้องพูดกันมันยังเมามันอยู่ ถ้าหากว่าท่านยังไม่แก่ ท่านเห็นคนแก่ไหม เคยเห็นคนแก่ไหม จะกินอะไรก็ไม่ถนัด ฟันไม่ดี มองอะไรก็ไม่ถนัด ตาไม่ดี ฟังอะไรก็ไม่ถนัด หูไม่ดี จะทำอะไรก็ไม่ถนัดเพราะกำลังไม่มี เห็นคนแก่แล้ว หรือตัวเองกำลังจะแก่ก็ตาม มีความรู้สึกว่า คนแก่มีความสุขหรือความทุกข์ขอรับเคยเห็นคนไหนคนแก่บ่นว่ามีความสุขเพราะแก่มีไหม ถ้าไม่เห็นมีก็ลองถามเขาดู ความเป็นคนแก่กับคนหนุ่ม สมัยเป็นหนุ่ม ๆ กับคนแก่นี่น่ะ จะแลกกันจะเอาอย่างไหน เห็นว่าอย่างไหนจะดีกว่ากัน ถ้ามีคนส่วนมากเขาว่าคนแก่ดีละก็ ก็พยายามเห็นว่าแก่เป็นความสุขเถิดขอรับ แล้วถ้าเขาบอกว่าแก่แล้วไม่เป็นเรื่อง หูตาก็ไม่ดี ฟันก็ไม่ดี ร่างกายก็ไม่ดี สติปัญญาก็ไม่ดี ความจำเสื่อม ถ้าได้ยินอย่างนี้ก็โปรดทราบว่าอาการของความทุกข์ปรากฏกับคนแก่ ถ้าความตายมันจะเข้าถึงคนที่ยังปลงจิตไม่ได้ จิตใจไม่เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ยังมีความหวาดหวั่นในความตายเกรงความตายมันจะปรากฏ ดิ้นรนไม่อยากให้ตาย ทีนี้คนที่จะตาย ทุกขเวทนามันก็บีบคั้นหนัก ถ้าป่วยไข้ไม่สบายนะ คือมันบีบ ขั้นถึงตายเลย เวลาเราป่วย ๆ ธรรมดาก็รู้สึกว่า นั่นแค่ป่วย แค่ทุกข์ ทุกข์ไม่หนักนัก ทีนี้ความตายมันปรากฏ ทุกขเวทนามันบีบหนัก อาการเจ็บโน่นปวดนี่มันปวดแสนสาหัส เป็นอากาของความสุขหรือความทุกข์ ก่อนตายถ้าเห็นว่ามีความสุขก็ตามใจเถอะขอรับ แต่ผมเห็นว่ามีความทุกข์แน่ นี่พูดกันอย่างทุกข์ผิว ๆ นะขอรับ เห็นหรือยังพระคุณเจ้าที่เคารพ สำหรับพระคุณเจ้าที่ยังหนุ่มซี ยังหนุ่มอยู่ยังเมามันนะขอรับ ไปนอนคิดนอนตรองเสียให้ดี นี่ว่าเพียงแค่ทุกข์รอบชีวิต รอบประจำวัน เป็นชีวิตประจำวันนะขอรับ เรียกว่าวันหนึ่ง ๆ ที่เราจะไม่มีความทุกข์ไม่มี จะว่ากันให้ดีละก็วันหนึ่ง ๆ คนที่จะมีความสุขจริง ๆ ไม่มี หาความสุขอะไรไม่ได้ นี่ว่าถึงความทุกข์ภายในรอบ ๆ ตัว ที่นี้มายังมีความทุกข์นอกเข้ามาอีก คนเราเกิดมาแล้วนะขอรับ มีกฎประจำใจอยู่อย่างหนึ่ง เรียกว่าประจำตระกูล ถ้าหญิงก็ต้องแต่งงานกับผู้ชาย ผู้ชายต้องแต่งงานกับผู้หญิง นี่เป็นประเพณีของท่านผู้หลักผู้ใหญ่ ท่านถือว่าถ้าเราไม่ไดแต่งงานแล้ว มันก็ไม่เป็นฝั่งเป็นฝา ไม่เป็นหลักเป็นแหล่ง หาความสุขไม่ได้ เมื่อสมัยที่เป็นโสดอยู่ เราจะไปเหนือเราจะไปใต้เมื่อไรก็ได้ เราจะขี้เกียจก็ได้ เราจะขยันก็ได้ เรียกว่าไปไหนมาไหนเป็นอิสระ ไม่ต้องเอาใจใคร ไม่ต้องเป็นห่วงใยอะไรมาก เราอยู่กับพ่อแม่ของเรา เรามีความสุขมาก จะทุกข์หนักอยู่อย่างหนึ่งก็คือพ่อแม่คอยขัดใจ ถ้าจะทำอะไรลงไปท่านก็จะติว่า อย่างโน้นไม่ดี อย่างนี้ไม่ดี นั่นอย่าทำ นี่อย่าทำ จงทำอย่างโน้น จงทำอย่างนี้ นี่เราก็จะเหนื่อยกาย แล้วมันเหนื่อยใจอยู่นิดตรงนี้ที่ว่า ท่านผู้หลักผู้ใหญ่ไม่เห็นใจคนหนุ่มสาว นั่นมันทุกข์แค่นี้นา ทีนี้ไอ้จะมีกินไม่มีกินเราไม่หนักใจ แล้วก็ไม่ต้องมีความห่วงใยมาก จะไปไหนก็ได้ พ่ออยู่บ้านแม่อยู่บ้าน พี่อยู่บ้าน น้องอยู่บ้าน จะเที่ยวค้างวันค้างคืนยังไงก็ได้ พอเริ่มแต่งงานขึ้นมาแล้ว อารมณ์อิสระมันก็หายไป ถ้าจะไปทางไหนก็เกรงใจสามีเกรงใจภรรยา เขาจะต้องอยู่คนเดียว จะไปนานเกินไปเขาก็จะบ่นเอาหาว่าไม่เป็นห่วงงานบ้าน ความจริงเขาถือว่าไม่ห่วงเขาน่ะนะ เขาบอกว่าไม่ห่วงงานบ้าน ไม่สนใจ เมื่อตอนอยู่กับพ่อกับแม่เรามีความสบาย จะมีหรือไม่มีเป็นหน้าที่พ่อแม่จะรับผิดชอบ ความทุกข์ในบ้านทั้งหมดลูกทุกคนจะมีกินมีใช้หรือไม่ จะป่วยไข้ไม่สบาย จะมีความสุขความทุกข์ พ่อกับแม่เป็นผู้รับภาระ เรามองไม่เห็นทุกข์ตอนนี้ แต่ทว่ามาแต่งงานกันแล้ว แยกจากพ่อแยกจากแม่ ถ้ามีบ้านมีเรือนอยู่ก็ดี ถ้าไม่มีบ้านมีเรือนก็ต้องหาสตางค์ปลูกบ้านปลูกเรือน ตอนหาสตางค์นี่จะไปทำนาก็ดี จะไปค้าขายก็ดี จะไปรับจ้างก็ตาม หรือว่าจะประกอบอาชีพอะไรก็ตาม มันต้องหนักนะขอรับ มาเรื่องของเหนื่อยกายเหนื่อยใจอีกแล้ว มันเป็นความทุกข์ กว่าจะรวบรวมเงินทองขึ้นมาได้ก็แสนยาก ต้องอดหลับอดนอน ตากลมตากฝน ฟันฝ่าอันตราย เป็นอาการของความทุกข์นาขอรับ ทีนี้เมื่อปลูกบ้านขึ้นแล้วก็เกรงว่าภัยจะมีกับบ้าน กลัวอัคคีภัย กลัวไฟจะไหม้บ้าน กลัวโจรภัย กลัวโจรจะมาปล้นทรัพย์สิน วาตภัย กลัวน้ำจะมาท่วมบ้าน ทำให้บ้านพังไหลตามน้ำไป แล้วก็ไอ้บ้านที่ปลูกขึ้นมามันก็รูจักเก่า รู้จักทรุด รู้จักโทรม ต้องหาเงินมาซ่อมมาแซม นี่เราต้องทำเองทั้งหมดนะขอรับ ต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่พ่อไม่ใช่แม่นะ ต้องเป็นตัวของตัวเอง แล้วการอย่างนี้มันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ขอรับ เห็นหรือยังว่ามันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ทีนี้เอาละรื่องบ้านทิ้งไป มาคู่ผัวตัวเมียการอยู่ด้วยกัน 2 คน ทั้งสองเป็นพ่อบ้านแม่เรือนถ้าอาการป่วยไข้ไม่สบายของตัวของเราเองถึงสามีภรรยาก็ตาม หรือคนในบ้าน ถ้ามันเกิดขึ้น ก็ไม่ใช่หน้าที่ของพ่อแม่แล้ว เราไม่เคยเป็นหมอก็ต้องเป็น ไม่เคยอดหลับอดนอนเพราะคนป่วยไข้ไม่สบายก็ต้องอดหลับอดนอน ไม่เคยจ่ายเงินจ่ายทองค่าหมอรักษาโรคก็ต้องจ่าย นี่เป็นอาการของความสุขหรือความทุกข์ขอรับ
            ทีนี้ มาว่าถึง 2 ตายายที่แต่งงาน เมื่อระหว่างที่อยู่กันตามลำพังกับพ่อกับแม่ จะไปไหนมาไหนก็ได้ ไม่ต้องเอาใจกัน คราวนี้พอแต่งงานเข้าแล้วต่างคนต่างต้องเอาใจกัน ก็เกิดเป็นคน 2 พวก ไม่ใช่เอาใจเฉพาะสามีหรือภรรยา ต้องเอาใจพวกของสามีและพวกของภรรยาอีกด้วย คนกลุ่มใหญ่ การหนักอะไรก็ตาม ไม่เท่ากับหนักอารมณ์ ไม่เท่ากับหนักใจ เราเห็นว่าอย่างนี้ดี เขาจะเอาอย่างโน้น เราเห็นว่าอย่างโน้นดี เขาจะเอาอย่างนั้น บางทีทำตามเขาชอบใจแล้ว เขายังว่า เขายังนินทาอีกว่าทำไม่ดีไม่เรียบร้อย การกระทบกระทั่งกับจิตมันก็เกิดขึ้น อาการอย่างนี้เป็นความสุขหรือความทุกข์ขอรับ มันก็เป็นความทุกข์นะขอรับ ทีนี้ มาพอมีลูกเห็นแล้วนี่ คนที่มีลูกก็เห็นแล้วนี่ คนที่มีลูกก็เห็นแล้วนี่ คนที่มีลูกรู้แล้วนะ เวลากลางคืนหลับๆ สบายๆ พ่อเจ้าคุณร้องขึ้นมาก็ต้องตื่น สมัยที่ยังไม่มีลูกไม่ต้องตื่นนะขอรับ นอนตั้งแต่หัวค่ำยันสว่าง สบาย ถ้ามีลูกเข้าแล้ว เจ้าใหม่มันเกิด มันทำยังไง มันเรียกไม่เลือกเวลา ดีไม่ดีกำลังกินข้าวกินปลา พ่อเจ้าพระคุณขี้ออกมาเสียอีกแล้ว ไอ้ขี้นี่ใครๆ ก็เกลียด มันเหม็น แต่ว่าขี้ลูกนี้เหม็นไม่ได้ ละชามข้าวที่กำลังกินอยู่นั่นแหละ ไปปาดขี้ทิ้ง ไปเช็ดขี้ลูก แล้วก็ล้างมือมากินข้าวใหม่ อาการอย่างนี้มีไหมขอรับ หรือบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทเคยพบมาไหมคนที่ไม่เคยมีลูกเคยเห็นเขามีลูกไหม แล้วเวลาลูกป่วยไข้ไม่สบาย มันยังพูดไม่ได้นี่มันยังเด็ก ๆ ความทุกข์เกิดแค่ไหน บางทีมืดค่ำดึกดื่นยามสองยามก็ต้องเดินไปตามหมอจะถูกอันตรายฆ่าตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อาการอย่างนี้มันเป็นความสุขหรือความทุกข์ขอรับนี่ละบรรดาพระคุณเจ้าที่เคารพและญาติโยมที่รัก ว่าถึงความทุกข์มันก็ทุกข์ทุกอย่าง ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่าเราเกิดมาแล้วมันมีแต่ความทุกข์ อันนี้ไม่ได้ยกแบบมาพูดกัน นะแบบท่านก็ว่าไว้เป็นกลาง ๆ ก็บอกแล้วนี่ว่าไม่ถือตำรานัก เอาอาการที่เราเห็นกัน เราเห็นกันนะว่าอะไรเป็นทุกข์ แล้วความทุกข์จะมีหรือไม่มีก็ต้องอาศัยคนมีปัญญาเป็นปัจจัยนะ ถ้าไม่ใช้ปัญญาแล้ว มันจะมองไม่เห็นทุกข์ ถ้าใช้ปัญญาแล้วมันจะมองเห็นทุกข์ ต้องค่อย ๆ คิดไปนะขอรับ เอาสตินี้เป็นตัวนึกเข้าไว้ในโพชฌงค์ นึกว่าพระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่าคนที่เกิดมาแล้วมีแต่ความเป็นทุกข์ ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บไข้ไม่สบายเป็นทุกข์ การพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ การตายเป็นทุกข์ นี่หลักใหญ่ ๆ นี่อย่างหนึ่งท่านกล่าว ปิยโต ชายเต โสโก ปิยโต ชายเต ภยํ ความเศร้างโศกเสียใจเกิดจากความรักไอ้ความเศร้าโศกเสียใจก็เป็นอาการของความทุกข์ ภัยอันตรายทั้งหลายเกิดขึ้นก็เพราะอาศัยความรัก นี่เรียกว่าความรัก มันจึงทุกข์ ไอ้นั่นมันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ทุกคนเต็มไปด้วยความทุกข์ ทุกคนนั้นอยู่ในระหว่างท่ามกลางของคนทุกข์ ทีนี้เมื่อเราเห็นแล้ว่าเราทุกข์ เราก็ควรทำทางหนีทุกข์ทางหนีทุกข์จะหนีทางไหนล่ะ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทจะไปเมืองเหนือ จะไปเมืองใต้ จะไปเมืองจีน จะไปเมืองฝรั่ง จะไปเมืองแขก มันก็ไม่พ้นความทุกข์ แม้ว่าจะไปเป็นเทวดา เป็นพรหม ก็ไม่พ้นความทุกข์ เพราะอะไร เพราะทุกข์มันเกาะอยู่กับใจ ทุกข์คือตัวอารมณ์ ที่เรายังยอมรับนับถือว่าเหตุของความทุกข์เป็นเหตุของความสุข ถ้าเรายังนึกถึงว่าเหตุของความทุกข์เป็นเหตุของความสุข แล้วก็ใช้เหตุนั้นปฏิบัติเรื่อยไป ความทุกข์มันก็เกิด อย่างคนที่เห็นว่าการด่าชาวบ้านเป็นของดี เรื่องความสุขใจ ก็ด่าชาวบ้านเรื่อยไป ชาวบ้านเขาไม่ชอบใจก็มีศัตรูมากขึ้น ข้อนี้มีอุปมาฉันใด เหตุของความทุกข์ก็เหมือนกัน เหตุของความทุกข์ได้แก่อะไร บรรดาท่านพุทธบริษัทในอริยสัจ ท่านเรียกสมุทัย ไม่ใช่กระดาษไทยนะ สมุทัย สมุทัยที่เป็นเหตุของความทุกข์ก็มี ตัณหา 3 ประการ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภาวตัณหา ถ้าตัดตัณหา 3 ประการได้เมื่อไรเมื่อนั้นก็ชื่อว่าสิ้นทุกข์ ถ้าตัณหา 3 ประการนี้ยังไม่ลบไปจากใจเมื่อไร เมื่อนั้นเราก็ยังชื่อว่าเป็นผู้มีทุกข์