ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก
๒๒๐. การทำตนให้ชุ่มด้วยความสุข
"ดูก่อนจุนทะ มีฐานะอยู่ ที่นักบวชเจ้าลัทธิอื่นพึงกล่าวอย่างนี้ว่า สมณศากยบุตร เป็นผู้ประกอบเนือง ๆ ในการทำตนให้ชุ่มด้วยความสุขอยู่ (สุขัลลิกานุโยค) เมื่อนักบวชเจ้าลัทธิอื่นกล่าวอย่างนี้ ท่านทั้งหลายพึงกล่าวว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย สุขัลลิกานุโยคอย่างไหนกัน ? เพราะสุขัลลิกานุโยคมีมากมาย หลายอย่าง มีประการต่าง ๆ ดูก่อนจุนทะ สุขัลลิกานุโยค ๔ อย่างเหล่านี้ ที่เลว ที่เป็นของชาวบ้าน เป็นของบุถุชน (คนที่ยังหนาไปด้วยกิเลส) ไม่เป็นของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับทุกข์ เพื่อสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อพระนิพพาน. สุขัลลิกานุโยค ๔ คือ
"๑. บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนเขลา ฆ่าสัตว์แล้ว ยังตนให้เป็นสุข ให้ชุ่มชื่น นี้เป็นสุขัลลิกานุโยคที่ ๑."
"๒. บุคคลบางคนในโลกนี้ ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขามิได้ให้แล้ว ยังตนให้เป็นสุข ให้ชุ่มชื่น. นี้เป็นสุขัลลิกานุโยคที่ ๒."
"๓. บุคคลบางคนในโลกนี้ กล่าวเท็จแล้ว ยังตนให้เป็นสุข ให้ชุ่มชื้น นี้เป็นสุขัลลิกานุโยคที่ ๓."
"๔. บุคคลบางคนในโลกนี้ พรั่งพร้อมบำเรออยู่ด้วยกามคุณ ๕ (คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่าปรารถนารักใคร่ชอบใจ). นี้เป็นสุขัลลิกานุโยคที่ ๔."
(ครั้นแล้วทรงแสดงการประกอบเนือง ๆ ในการทำตนให้ชุ่มด้วยความสุขที่เป็นฝ่ายดี คือสุขในฌาน ๔ ซึ่งไม่ข้องอยู่ด้วยการเบียดเบียนผู้อื่นหรือด้วยกาม แล้วทรงแสดงผลของการทำตนให้ชุ่มอยู่ในสุขคือฌานนั้นว่า จะทำให้เป็นพระโสดาบัน ผู้ละสัญโญชน์๑ ได้ ๓ (คือสักกายทิฏฐิ ความเห็นเป็นเหตุยึดถือกายของตน วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย และสีลัพพตปรามาส การลูบคลำศีลและพรต คือถือมงคลตื่นข่าว หรือติดในลัทธิพิธี) จะทำให้เป็นพระสกทาคามี ผู้ละสัญโญชน์ได้ ๓ (เหมือนพระโสดาบัน) แต่ทำราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลง จะมาสู่โลกนี้เพียงครั้งเดียวแล้วก็ทำที่สุดแห่งทุกข์ จะทำให้เป็นพระอนาคามี ผู้ละสัญโญชน์เบื้องต่ำได้ ๕ (คือ ๓ ข้ออย่างที่พระโสดาบันละได้ กับเพิ่มอีก ๒ ข้อ คือกามราคะ ความกำหนัดยินดีในกามและปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งแห่งจิตหรือความขัดใจ) เกิดเป็นอุปปาติกะ๒ แล้วนิพพานในที่นั้น ไม่ต้องมาสู่โลกนี้จากที่นั้นอีก จะทำให้เป็นพระอรหันต์ คือผู้สิ้นกิเลส).
ปาฏิกสูตร ๑๑/๑๔๕
๒๒๑. พราหมณ์เกิดจากปากพรหมแน่หรือ ?
"ดูก่อนผู้สืบวงศ์แห่งวาสิษฐะและภารัทวาชะทั้งหลาย พวกพราหมณ์มิได้นึกถึงความเก่า จึงจะกล่าวกะท่านทั้งหลายว่า วรรณะพราหมณ์เท่านั้นประเสริฐสุด วรรณะอื่น ๆ เลว, วรรณะพราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะขาว วรรณะอื่น ๆ ดำ, พราหมณ์ทั้งหลายเท่านั้นย่อมบริสุทธิ์ คนที่มิใช่พราหมณ์ย่อมไม่บริสุทธิ์, พราหมณ์ทั้งหลายเป็นบุตร เป็นโอรสของพรหม เกิดจากปากพรหม มีพรหมเป็นแดนเกิด เป็นผู้อันพรหมสร้างสรรค์ เป็นทายาทของพรหม ดังนี้.
๓
"ดูก่อนผู้สืบวงศ์แห่งวาสิษฐะและภารัทวาชะทั้งหลาย คนย่อมเห็นกันทั่วไปว่า นางพราหมณีของพวกพราหมณ์ มีระดูก็มี มีครรภ์ก็มี กำลังคลอดก็มี กำลังให้บุตรดื่มนมก็มี ก็พวกพราหมณ์เหล่านั้น เกิดจากองค์กำเนิดของมารดา (โยนิชา) แท้ ๆ ยังกล่าวว่า วรรณะพราหมณ์เท่านั้นประเสริฐสุด วรรณะอื่นเลว เป็นต้น. พราหมณ์เหล่านั้นย่อมชื่อว่ากล่าวตู่พระพรหม กล่าวคำเท็จ และประสบสิ่งมิใช่บุญเป็นอันมาก."
อัคคัญญสูตร ๑๑/๘๘
๒๒๒. วรรณะ ๔ มีทั้งที่ทำชั่วทำดี
"ดูก่อนผู้สืบวงศ์แห่งวาสิษฐะและภารัทวาชะทั้งหลาย วรรณะ ๔ เหล่านี้ คือกษัตริย์ (นักรบ) พราหมณ์ (นักทำพิธี) แทศย์ (พ่อค้า) และศูทร (กรรมกร).
"ดูก่อนผู้สืบวงศ์แห่งวาสิษฐะและภารัทวาชะทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ที่เป็นกษัตริย์ก็มี เป็นพราหมณ์ก็มี เป็นแพศย์ก็มี เป็นศูทรก็มี ย่อมฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด (ยุให้เขาแตกร้าวกัน) พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ, มักได้ มีจิตพยาบาท มีความเห็นผิด. ธรรมเหล่าใดที่เป็นอกุศล นับเนื่องเข้าในอกุศล มีโทษ นับเนื่องเข้าในสิ่งมีโทษ ไม่ควรส้องเสพ นับเนื่องเข้าในสิ่งไม่ควรส้องเสพ ไม่ควรแก่พระอริยะ นับเนื่องเข้าในสิ่งไม่ควรแก่พระอริยะ เป็นธรรมดำ มีวิบากดำ อันผู้รู้ติเตียน. ธรรมเหล่านั้น บางข้อปรากฏในกษัตริย์ก็มี ในพราหมณ์ก็มี ในแพศย์ก็มี ในศูทรก็มี.
"ดูก่อนผู้สืบวงศ์แห่งวาสิษฐและภารัทวาชะทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ที่เป็นกษัตริย์ก็มี พราหมณ์ก็มี แพศย์ก็มี ศูทรก็มี ย่อมเว้นจากการฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม, ย่อมเว้นจากการพูดเท็จ การพูดส่อเสียด การพูดคำหยาบ การพูดเพ้อเจ้อ, ย่อมเป็นผู้ไม่มักได้ ไม่มีจิตพยาบาท ไม่มีความเห็นผิด. ธรรมเหล่าใดที่เป็นกุศล นับเนื่องเข้าในกุศล ไม่มีโทษ นับเนื่องเข้าในสิ่งไม่มีโทษ ควรส้องเสพ นับเนื่องเข้าในสิ่งควรส้องเสพ ควรแก่พระอริยะ นับเนื่องเข้าในสิ่งควรแก่พระอริยะ เป็นธรรมขาว มีวิบากขาว อันผู้รู้สรรเสริญ ธรรมเหล่านั้น บางข้อปรากฏในกษัตริย์ก็มี ในพราหมณ์ก็มี ในแพศย์ก็มี ในศูทรก็มี.
"ดูก่อนผู้สืบวงศ์แห่งวาสิษฐะและภารัทวาชะทั้งหลาย เมื่อวรรณะทั้งสี่ยังดาษดื่นทั้งสองทาง ยังประพฤติทั้งในธรรมที่ดำและขาว ที่ผู้รู้ติเตียนและสรรเสริญอยู่อย่างนี้ คำใดที่พวกพราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า วรรณะพราหมณ์เท่านันประเสริฐสุด วรรณะอื่น ๆ เลว, วรรณะพราหมณ์เท่านั้นขาว วรรณะอื่น ๆ ดำ, พราหมณ์ทั้งหลายเท่านั้นย่อมบริสุทธิ์ คนที่มิใช่พราหมณ์ย่อมไม่บริสุทธิ์, พราหมณ์ทั้งหลายเป็นบุตร เป็นโอรสของพรหม เกิดจากปากพรหม มีพรหมเป็นแดนเกิด เป็นผู้อันพรหมสร้างสรรค์ เป็นทายาทของพรหม ดังนี้. วิญญูชนทั้งหลายย่อมไม่รับรู้คำกล่าวของพราหมณ์เหล่านั้น. ข้อนั้นเพราะเหตุไร ?
"ดูก่อนผู้สืบวงศ์แห่งวาสิษฐะและภารัทวาชะทั้งหลาย เพราะบรรดาวรรณะ ๔ เหล่านี้ ผู้ใดเป็นภิกษุ เป็นพระอรหันต์ สิ้นอาสวะ (กิเลสที่ดองสันดาน) แล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ได้ทำหน้าที่เสร็จแล้ว วางภาระแล้ว บรรลุประโยชน์ของตนแล้ว สิ้นกิเลสเป็นเหตุมัดสัตว์ไว้ในภพแล้ว พ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ผู้นั้นย่อมกล่าวได้ว่า เลิศกว่าวรรณะทั้งสี่เหล่านั้นโดยธรรมอย่างแท้จริง มิใช่โดยอธรรม เพราะว่าธรรมเป็นของประเสริฐสุดในหมู่ชนทั้งในปัจจุบันและในอนาคต."
อัคคัญญูสูตร ๑๑/๘๘
๒๒๓. ตรัสเล่าเรื่องพระเจ้าปเสนทิโกศลปฏิบัติต่อพระองค์
"ดูก่อนผู้สืบวงศ์แห่งวาสิษฐะและภารัทวาชะทั้งหลาย พระเจ้าปเสนทิโกศลย่อมทรงทราบว่า พระอนุตตรสมณโคดมออกบวชแล้วจากศากยสกุล. ดูก่อนผู้สืบวงศ์แห่งวาสิษฐะและภารัทวาชะทั้งหลาย ก็แต่ว่ากษัตริย์ศากยะทั้งหลายย่อมเดินหลังถัดจากพระเจ้าปเสนทิโกศล ย่อมกระทำความเคารพ กราบไหว้ การลุกขึ้นต้อนรับ ย่อมทำอัญชลีกรรม สามีจิกรรม (การกระทำที่เหมาะที่ควรในการให้เกียรติ) ในพระเจ้าปเสนทิโกศล. กษัตริย์ศากยะย่อมกระทำความเคารพ กราบไหว้ เป็นต้นอันใดในพระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าปเสนทิโกศลย่อมทรงทำความเคารพ กราบไหว้ เป็นต้นนั้น ในตถาคต มิใช่เพราะทรงคิดว่า พระสมณโคดมเป็นผู้มีชาติดี เรามีชาติเลว, พระสมณโคดมเป็นผู้มีกำลัง เราเป็นผู้ทุรพล, พระสมณโคดมเป็นผู้น่าพอใจ เราเป็นผู้มีผิวพรรณทราม, พระสมณโคดมเป็นผู้มีศักดาใหญ่ เราเป็นผู้มีศักดาน้อย ดังนี้เลย. ที่แท้ทรงสักการะธรรม เคารพธรรม นับถือธรรม บูชาธรรม นอบน้อมธรรมต่างหาก พระเจ้าปเสนทิโกศลย่อมทรงทำความเคารพ กราบไหว้ การลุกขึ้นต้อนรับ ย่อมทรงทำอัญชลีกรรม สามีจิกรรมในตถาคตอย่างนี้. ดูก่อนผู้สืบวงศ์แห่งวาสิษฐะและภารัทวาชะทั้งหลาย โดยปริยายนี้แล ท่านทั้งหลายพึงทราบประการที่ธรรมเป็นของประเสริฐสุด ในหมู่ชนทั้งในปัจจุบันและอนาคต."
อัคคัญญสูตร ๑๑/๙๑
(หมายเหตุ : พระสูตรนี้ พระพุทธเจ้าตรัสสอนพวกพราหมณ์แห่งสกุลวาสิษฐะและภารัทวาชะ ศัพท์เต็มว่า วาเสฏฺฐภารทฺวาชา ซึ่งนับถือศาสาอื่นมาก่อน ภายหลังมาขอบวชในพระพุทธศาสนา จึงมาพักอบรม อยู่กับภิกษุทั้งหลายตามวินัยเรื่องการอยู่ปริวาสของผู้บวชในศาสนาอื่นมาก่อน)
๒๒๔. เรื่องของพราหมณ์ผู้กระด้างเพราะถือตัว
สมัยนั้น พราหมณ์ผู้กระด้างเพราะถือตัว อาศัยอยู่ในกรุงสาวัตถี พราหมณ์นั้นไม่ไหว้มารดา ไม่ไหว้บิดา ไม่ไหว้อาจารย์ ไม่ไหว้พี่ชาย.
สมัยนั้น พระผู้มีพระภาค อันบริษัทใหญ่แวดล้อมทรง แสดงธรรมอยู่. ขณะนั้นพราหมณ์ผู้กระด้างเพราะถือตัว คิดว่า พระสมณโคดมนี้ อันบริษัทใหญ่แวดล้อม ทรงแสดงธรรมอยู่ ถ้าอย่างไรเราพึงเข้าไปหาพระสมณโคดม ถ้าพระสมณโคดมจักพูดกับเรา เราก็จักพูดด้วย ถ้าพระสมณโคดมจักไม่พูดกับเรา เราก็จักไม่พูดด้วย.
ลำดับนั้น พราหมณ์ผู้กระด้างเพราะถือตัว จึงเข้าไปใกล้พระผู้มีพระภาค ครั้นเข้าไปใกล้แล้ว จึงยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง. ขณะนั้นพราหมณ์ผู้กระด้างเพราะถือตัว คิดว่า พระสมณโคดมย่อมไม่รู้อะไร จึงใคร่จะกลับจากที่นั้น.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบความคิดของพราหมณ์นั้น จึงตรัสกะพราหมณ์ด้วยคาถา (คำกวี) ว่า "ดูก่อนพราหมณ์ ความถือตัวมีแก่ใครในโลกนี้ ก็ไม่เป็นของดีเลย. ท่านมาด้วยความต้องการอันใด ก็พึงกล่าวความต้องการนั้นเถิด"
ลำดับนั้น พราหมณ์นั้น คิดว่า พระสมณโคดมย่อมรู้จิตของเรา จึงหมอบลงแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า ณ ที่นั้น แล้วจุมพิตพระบาทของพระผู้มีพระภาคด้วยปาก เอามือนวดฟั้น (พระบาท) ประกาศนามของตนว่า "ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์คือมานถัทธะ ข้าพระองค์คือ มานถัทธะ (ผู้กระด้างเพราะถือตัว)."
ลำดับนั้น ที่ประชุมนั้นก็เกิดความรู้สึกอัศจรรย์ใจว่า "น่าอัศจรรย์หนอ เรื่องไม่เคยมี มามีขึ้น พราหมณ์ผู้นี้ไม่ไหว้มารดา ไม่ไหว้บิดา ไม่ไหว้อาจารย์ ไม่ไหว้พี่ชาย ก็แต่ว่าพราหมณ์นี้กลับทำความเคารพอย่างยิ่งเห็นปานนี้ในพระสมณโคดม."
ลำดับนั้น พราหมณ์นั้นนั่งบนอาสนะของตนแล้ว จึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า "ไม่ควรทำความถือตัวในใคร ? ควรมีความเคารพอย่างไร ? ควรนอบน้อมใคร ? ควรบูชาอย่างดีต่อใคร ?"
พระผู้มีพระภาคได้ทรงภาษิตพระคาถาตอบว่า "ควรมีความเคารพในมารดา ในบิดา ในพี่ชาย ในอาจารย์เป็นที่สี่ ท่านควรนอบน้อมและบูชาอย่างดีในพระอรหันต์ ผู้สงบเย็น ผู้ทำหน้าที่เสร็จแล้ว ผู้ไม่มีกิเลสที่ดองสันดาน. ผู้ละมานะได้ ไม่กระด้างเพราะอนุสัยนั้น๓ เป็นผู้ยอดเยี่ยม." (พราหมณ์ผู้กระด้างเพราะถือตัว ก็ประกาศตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต)
มานถัทธสูตร ๑๕/๒๖๑
๒๒๕. อย่าโกรธเมื่อใครติเตียนพระพุทธเจ้า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนเหล่าอื่นอาจกล่าวติเตียนเรา ติเตียนพระธรรม หรือติเตียนพระสงฆ์. ท่านทั้งหลายไม่พึงผูกอาฆาต ขุ่นเคือง ไม่พอใจในบุคคลเหล่านั้น. เพราะถ้าท่านทั้งหลายโกรธเคือง หรือไม่พอใจในบุคคลที่กล่าวติเตียนเรา ติเตียนพระธรรม หรือติเตียนพระสงฆ์นั้น, อันตรายเพราะความโกรธเคืองนั้น ก็จะพึงเป็นของท่านทั้งหลายเอง. ถ้าท่านทั้งหลายโกรธเคือง หรือไม่พอใจในบุคคลที่กล่าวติเตียนเรา ติเตียนพระธรรม หรือติเตียนพระสงฆ์ จะรู้ได้ละหรือว่า คำกล่าวของคนเหล่าอื่นนั้น เป็นคำกล่าวที่ดี (สุภาษิต) หรือไม่ดี (ทุพภาษิต) ? "ไม่ทราบ พระเจ้าข้า." "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายพึงชี้แจง (คลี่คลาย) เรื่องที่ไม่เป็นจริง ให้เห็นว่าไม่เป็นจริง ในข้อที่คนเหล่าอื่นกล่าวติเตียนเรา ติเตียนพระธรรม หรือติเตียนพระสงฆ์ ให้เขาเห็นว่าข้อนั้นไม่จริง ข้อนั้นไม่แท้ ข้อนั้นไม่มีในพวกเรา ข้อนั้นไม่ปรากฏในพวกเรา ดังนี้."
พรหมชาลสูตร ๙/๓
๒๒๖. อย่าดีใจตื่นเต้นเมื่อใครชมเชยพระพุทธเจ้า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนเหล่าอื่นอาจกล่าวชมเชยเรา ชมเชยพระธรรม หรือชมเชยพระสงฆ์ ท่านทั้งหลายไม่พึงแสดงความชื่นชมโสมนัส หรือความรู้สึกตื่นเต้นในบุคคลเหล่านั้น เพราะถ้าท่านทั้งหลายมีความชื่นชมโสมนัส มีความตื่นเต้นในบุคคลที่กล่าวชมเชยเรา ชมเชยพระธรรม หรือชมเชยพระสงฆื อันตรายเพราะเหตุนั้น ก็จะพึงเป็นของท่านทั้งหลายเอง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายพึงรับรองเรื่องที่เป็นจริง ให้เห็นว่าเป็นจริง ในข้อที่คนเหล่าอื่นกล่าวชมเชยเรา ชมเชยพระธรรม หรือชมเชยพระสงฆ์ ให้เขาเห็นว่าข้อนั้นจริง ข้อนั้นแท้ ข้อนั้นมีในพวกเรา ข้อนั้นปรากฏในพวกเรา ดังนี้."
พรหมชาลสูตร ๙/๔
๑. สัญโญชน์ คือกิเลสที่ร้อยรัดสัตว์หรือผูกมัดสัตว์ไว้ในความเวียนว่ายตายเกิด
๒. อ่านว่า อุปะปาติกะ คือเกิดแบบเติบโตขึ้นทันที ที่เกิดของพระอนาคามี คือสุทธาวาส ๕
๓. มานะ คือความถือตัว จัดเป็นอนุสัยคือกิเลสที่ดองสันดานอย่างหนึ่ง
|